กรุงมะนิลา ห้องไอซียู VVIP ของโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุด
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้วที่ซูย้าวเข้าไปอยู่ในนั้น หลังจากการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จ เธอยังคงไม่ได้สติ ผ่านพ้นภาวะวิกฤต 48 ชั่วโมงมาได้แล้ว อาการคงที่ แต่กลับยังไม่ฟื้นขึ้นมา
คุณหมอชี้แจงว่า หลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บ อันดับแรกเธอโดนฉีดยาห้ามเลือดได้ทันเวลา ห้ามเลือดเอาไว้ได้ดีมาก เป็นวิธีการช่วยชีวิตยามฉุกเฉินที่ยอดเยี่ยม แต่ หลังจากนั้น นอกจากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในเวลาเดียวกันจึงทำให้บาดแผลเกิดติดเชื้อ ยังได้ถูกป้อนยาโลวาสแตตินที่มีประโยขจ์ทางการสลายเลือดอีก
ความรุนแรงของบาดแผลทำให้มีเลือดออกอีกครั้ง ด้านหลังศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เสียเลือดมาก เส้นประสาทจึงได้รับบาดเจ็บไปด้วย แม้การผ่าตัดจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่เป็นเพียงแค่การประคองชีวิตเอาไว้ นอกจากนี้ จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของเธอเองแล้ว ไม่เช่นนั้น ก็คงหมดหนทาง
กี่วันมานี้ ลี่เฉินซีอยู่ข้างเตียงตลอด คอยดูแลไม่ห่าง กำลังมองผู้หญิงที่หมดสติอยู่บนเตียง ด้วยความกระวนกระวายใจ
ผู้ช่วยเสี่ยวหยางเสนอความเห็นออกมา “ประธานลี่ คุณลองดูว่าย้ายคุณซูไปดูแลที่โรงพยาบาลในประเทศจะดีไหม?” อันที่จริง ที่นี่ก็ไม่ใช่ในประเทศ ลี่เฉินซียังต้องทำงาน ยังต้องจัดการเรื่องต่างๆ ของบริษัทลี่ซื่อ ไม่ควรพักอยู่ที่นี่นานจนเกินไป ยิ่งอยู่นาน ก็ยิ่งมีปัญหาต่างๆ ตามมาแน่ๆ ย้ายไปในประเทศ ก็ค่อนข้างดีกว่า
ลี่เฉินซีอาบน้ำที่โรงแรมเสร็จแล้ว ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดอยู่ที่หน้ากระจก ผูกเนคไท คำพูดของผู้ช่วยวนเวียนอยู่ที่ข้างหู เขารู้ดีว่า ถ้าเธอยังคงไม่ตื่น ส่งกลับไปในประเทศ ก็จะดูแลได้สะดวกมากกว่า……
“ระยะนี้อยู่ที่นี่ไปก่อน ส่วนจะกลับเมือง A เมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที” ลี่เฉินซีสีหน้าหม่นหมอง จัดเนคไทเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
เขารู้สึกได้ว่า ซูย้าวจะต้องฟื้น
ตอนนี้เธอแค่เหนื่อยเกินไป ต้องการพักผ่อนให้เต็มที่สักระยะหนึ่งก็เท่านั้น
หลายปีมานี้ เขายังไม่เข้าใจเธออีกเหรอ? ไม่มีอะไรที่จะพังทลายความแข็งแกร่งของเธอได้ แค่อาการบาดเจ็บภายนอกเพียงเล็กน้อยจะจัดการเธอได้ยังไงกัน?
เพียงแต่ตอนนี้ เขาต้องทำใจให้สบาย รอคอยอย่างสงบ
เชื่อใจเธอ ก็พอแล้ว
ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ
มาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง สถานการณ์ของซูย้าวเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง บนร่างกายมีสายระโยงระยาง จ้องมองผู้หญิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง สีหน้าขาวซีดดูไม่ดี แม้จะผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว แต่สำหรับเธอ ราวกับยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
ลี่เฉินซีเดินเข้าไปในห้องคนไข้ ดึงเก้าอี้ออกมา นั่งลงไปเหมือนทุกวัน เปิดลิ้นชักที่หัวเตียง หยิบสมุดกับดินสอออกมา ก้มหน้าวาดอะไรบางอย่างอยู่ในสมุด
“ซูย้าว ผมรู้ว่า คุณแค่เหนื่อยเกินไป อยากจะพักผ่อนสักหน่อย ใช่ไหม?” ลี่เฉินซีกำลังมองเธอ ค่อยๆ จับมือของเธอ
“คุณคงไม่ปล่อยให้ผมรอนานเกินไป ที่บ้านยังมีเด็กๆ กำลังรอให้เรากลับไปอยู่นะ ซูย้าว คุณจะตื่นขึ้นมา แล้วเราจะกลับไปด้วยกัน……”
ลี่เฉินซีค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากมาย สถานการณ์ของเธอกับลี่เจิ้งไม่ต่างกันมาก มีจุดที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เธอก็ยังไม่โดนระบุว่าเป็นเจ้าหญิงนิทรา ยังมีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกมาก
สถานการณ์อย่างนี้ ราวกับจิตวิญญาณที่กำลังหลงทาง หาทางกลับมาไม่เจอ เขาจึงต้องคอยดูแลอยู่ข้างกายเธอ เรียกเธอบ่อยๆ เผื่อเธอจะได้ยิน แล้วเจอทางกลับมา
ใกล้เคียงกับการคาดเดาของลี่เฉินซี ซูย้าวในตอนนี้ หลงทิศทางอยู่จริงๆ เหมือนกับเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในหลุมที่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยโลกแห่งภาพมายา ราวกับความฝัน แต่กลับหลบหนีไม่ได้
ท่ามกลางหมอกหนาที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เธอเดินอยู่นาน เดินจนอ่อนระโหยโรยแรง หมดเรี่ยวหมดแรงจริงๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นด้วยสัญชาตญาณ จึงเจอเข้ากับบ้านหลังหนึ่ง
เดินเข้าไปด้วยความสงสัย เคาะๆ ประตู แล้วพบว่าประตูไม่ได้ล็อกเอาไว้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงเดินเข้าไป ในบ้านว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย แต่กลับพบว่าในที่ไกลๆ มีคนคนหนึ่งยืนอยู่
ด้านหลังของคนคนนั้น เริ่มแรกค่อนข้างแปลกตา แต่มองอย่างละเอียดอีกครั้ง ซูย้าวก็ตะลึงงัน
หลังจากผ่านความตื่นตระหนกตกใจไปแล้ว น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นออกมา
เพราะร่างที่หันหลังอยู่นั้น คืออานโล๋นั่นเอง
ห้าปีแล้ว
เวลาที่ยาวนานขนาดนี้ เธอฝันนับครั้งไม่ถ้วน อยากจะเจอแม่อีกครั้ง แต่ยังไงก็ไม่เคยฝันถึงเลย ครั้งนี้ที่ได้เจอแม่ ทำให้ซูย้าวถลาเข้าไปอย่างไม่สนใจอะไรเลย
“แม่คะ……”
อานโล๋ก็หันหลังมา กอดเธอเอาไว้อย่างแนบชิด “ลูกสาวแม่ มาที่นี่ได้ยังไง?”
“แม่ ที่นี่ไม่ใช่ความจริง ใช่ไหมคะ? ที่นี่คือ……” ซูย้าวชัดเจนมาก เธอรู้ว่าแม่จากไปตั้งนานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะได้พบกันอีก
นอกจากว่า นี่เป็นความฝัน
และในความจริง นี่ก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้น
“ในเมื่อลูกรู้อยู่แล้ว งั้นลูกมีอะไรจะพูดไหม?” อานโล๋ยังคงเหมือนกับตอนนั้น มองเธอด้วยสายตาที่รักใคร่อ่อนโยน เพียงแต่ในดวงตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
บนโลกนี้แม่คนไหนจะไม่สงสารลูกสาวของตนเองบ้างล่ะ? หลายปีมานี้เห็นลูกสาวได้รับความลำบาก ในฐานะที่เป็นแม่ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ แม้จะตายไปแล้ว กลายเป็นวิญญาณที่โดดเดี่ยว ต่อให้จะอยู่ในความฝัน ก็ยังคงสงสารอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซูย้าวดึงมือของแม่เอาไว้แน่น พูดออกมาอย่างร้อนรนทนไม่ไหว “พาหนูไปด้วย! แม่คะ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว……พาหนูไปจากที่นี่นะคะ เราจะไม่แยกจากกันตลอดไป……”
“นี่คือสิ่งที่ลูกเลือกใช่ไหม?” อานโล๋ถาม
เธอก็บอกได้ไม่ชัดเจน เพียงแต่ความคิดอย่างนี้เก็บไว้ในใจไม่ไหวแล้ว ทำให้เธอควบคุมไม่อยู่
“ตอนนี้หนูยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอคะ?”
อานโล๋มองไปที่ด้านหลังของเธอ ซูย้าวก็ค่อยๆ หมุนตัวมองไปตามสายตาของแม่ จึงพบว่าด้านหลังของตนเอง ไม่รู้ว่ามีประตูใหญ่สองบานนี้ ปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
อานโล๋ลูบแก้มเธอเบาๆ “ลูกเอ๋ย ลูกอยากจะอยู่ที่นี่ หรืออยากจะไปจากที่นี่กันแน่ล่ะ?”
“แม่คะ หนูไม่อยากไปจากแม่……” ซูย้าวพูดความคิดที่แท้จริงที่สุดในใจออกมา
อานโล๋พยักหน้า “แม่ก็ไม่อยากจากลูกไป เพียงแต่ลูกเคยคิดไหม ลูกก็เป็นแม่คนนะ ลูกๆ ของลูกล่ะ? พวกเขาก็กำลังคิดถึงลูกอยู่นะ!”
ซูย้าวตะลึงงันไปทันที ในหัวปรากฏภาพของลี่เจิ้ง ซีซี เตียวเตียว แล้วก็ลูกชายตัวน้อยคนนั้นที่โดนคนอุ้มไปเมื่อห้าปีก่อน
“นอกจากเด็กๆ ลูกยังมีความเป็นห่วงอยู่ ซูย้าว ใจของลูก ไม่ได้อยู่ที่นี่” อานโล๋พูดความจริงออกมา
เธอมองอานโล๋ด้วยสายตาเลอะเลือน “แต่แม่คะ หนูเชื่อว่าเขา จะเป็นพ่อที่ดีได้ จะดูแลเด็กๆ แทนหนูได้เป็นอย่างดี หนูเหนื่อยมากแล้ว ชีวิตยากลำบากเหลือเกิน พาหนูไปเถอะค่ะ ไม่ดีเหรอคะ?”
“ได้สิ!” อานโล๋ตอบด้วยความยินดี “แม่พาลูกไปด้วยได้อยู่แล้ว เพียงแต่ ลูกคิดดีจริงๆ แล้วใช่ไหม? ต่อไปจะไม่ได้เจอพวกเขาอีกแล้วนะ……”
ไม่ได้เจออีกแล้ว……
ซูย้าวจมลงไปท่ามกลางความลังเล ในหัวปรากฏใบหน้าหล่อเหลาของลี่เฉินซีออกมาอย่างรวดเร็ว คำพูดที่เขาเคยพูดแต่ละประโยค ทุกเรื่องที่เขาเคยทำ ถึงเขาจะไม่เคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอ ไม่เคยทำเรื่องโรแมนติก ไม่เคยมีแม้กระทั่งคำสัญญา แต่ เธอปฏิเสธไม่ได้เลย ในเวลาอย่างนี้ คนแรกที่ใจคิดถึง ยังคงเป็นเขา
นี่คงเป็นความรักสินะ!
ไม่คิดเล็กคิดน้อย เพียงหวังว่าอีกฝ่ายจะมีความสุข ความรักที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ร่างของเขาที่อยู่ในหัวค่อยๆ เลือนราง เปลี่ยนเป็นลี่เจิ้งตอนยังเล็ก นั่งส่งเสียงเอิ้กอ้ากอยู่ตรงนั้น ในปากของเด็กน้อยกำลังร้องเรียก ‘แมะแมะ’
ยังมีซีซีกับเตียวเตียว เด็กน้อยทั้งสองคนที่แสนจะดื้อและชอบก่อกวน……
คิดไปคิดมา ซูย้าวยังคงหมดหนทางที่จะหลุดพ้นจากสิ่งที่ผูกมัดในใจไปได้จริงๆ ส่ายหัวพูดกับอานโล๋ “ขอโทษนะคะ แม่ หนูก็มีลูก ถึงตอนนี้หนูจะลำบาก แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง ก็ไม่สามารถหาเหตุผลและข้ออ้างเพื่อจากพวกเขาไปได้!”
“แม่คะ หนูอยู่ที่นี่กับแม่ไม่ได้แล้ว ขอโทษนะคะ……”
เธอหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด หันหลังออกไปอย่างใจร้าย แต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตู ก็ค่อนข้างสับสน ยังคงยืนอยู่ด้วยความลังเลใจ
แล้วจู่ๆ ก็มีแรงหนึ่งปะทะเข้ามาที่ด้านหลังโดนไม่ทันตั้งตัว ผลักเธออย่างแรง
ร่างกายโซเซเล็กน้อย แล้วออกไปจากในบ้าน ตอนที่เธอหันกลับมาอีกครั้ง ภาพด้านหลังก็หายไปหมดแล้ว แทนที่ด้วย ท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นมา ค่อยๆ สว่างขึ้น