“คุณอยากส่งชาร์ลีไปที่เมืองนอก?”
ลี่เฉินซีฟังแล้วอึ้งเล็กน้อย และได้ทวนซ้ำอีกรอบอย่างประหลาดใจ
หานฉ่ายหลิงพยักหน้า มองเขาด้วยสายตาอ่อนนุ่ม “ชาร์ลีเคยใช้ชีวิตที่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก และไม่รู้สึกแปลกกับทางโน้น ส่งกลับไปอีกก็ไม่เป็นไรค่ะ ทางโน้นเตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว จะต้องดูแลเขาได้ดีแน่นอนค่ะ”
“แต่คุณต่างหากที่เป็นแม่ของชาร์ลี ไม่ให้เด็กอยู่ข้างกายคุณตั้งแต่เด็ก แบบนี้จะดีหรอครับ?”เขาย้อนถาม
พูดตามตรง ลี่เฉินซีคิดไม่ถึงจริงๆว่าหานฉ่ายหลิงจะสามารถทำการตัดสินใจแบบนี้ ละทิ้งลูกในไส้ของตัวเอง ให้ลูกไปใช้ชีวิตในต่างแดน สำหรับคนเป็นแม่แล้ว น่าจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้วมั้ง!
“ก็เพราะว่าเขาเป็นลูกในไส้ของฉัน ฉันยิ่งต้องทำการตัดสินใจในเวลาแบบนี้ค่ะ!” หานฉ่ายหลิงยิ้มอ่อนๆ หน้าตาที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ทำให้ลี่เฉินซีทึ่งมาก
เธอพูดอีกว่า “ฉันได้ยินคุณป้าบอกว่า ซีซีเด็กคนนี้เหมือนเคยได้รับอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ ไม่พูดจากับคนอื่น เธออายุห้าขวบแล้ว อีกปีสองปีก็ต้องเข้าประถมศึกษาแล้ว ตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จาสักที คงจะไม่ค่อยดีมั้งคะ! ต่อไปฉันไม่อยากได้ยินใครว่าอะไรที่มันไม่รื่นหูของซีซีอ่ะค่ะ”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพราะฉะนั้น ความหมายของคุณคือ……”
“ฉันอยากดูแลซีซีให้ดีๆ และยังมีเจิ้งเอ๋อ พอวันไหนซีซีสามารถเปิดปากพูดเหมือนคนปกติแล้ว เจิ้งเอ๋อก็ฟื้นแล้วเหมือนกัน ถึงเวลาพอฉันมีเวลาว่างแล้ว ค่อยหาเวลาไปรับชาร์ลีกลับมา ชดเชยความรักจากแม่ที่เขาขาดหายไป ก็ได้เหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?” เธอพูด
ลี่เฉินซีคอยสังเกตสีหน้าเล็กน้อยของผู้หญิง ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาหาความสูญเสียจากใบหน้าเธอไม่เจอแม้แต่เสี้ยวเดียว และความเจ็บปวดที่กำลังพรากจากกับลูกในไส้
ไม่ก็คือความสามารถในการเสแสร้งของเธอเก่งเกินไป ไม่ก็คือ……..เธอไม่มีความผูกกับชาร์ลีเลย!
แต่ไม่ว่าจะคือสถานการณ์แบบไหน ลี่เฉินซีล้วนรู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมสูงจนเหนือจินตนาการของเขา
คิดไม่ถึงว่าสรรพสิ่งเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เธอจะกลายเป็นคนแปลกหน้าเหมือนอย่างตอนนี้
“เฉินซี มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หานฉ่ายหลิงไม่รู้สึกผิดปกติ กลับกันยังถามเสียงเบา
เขาส่ายหัวแล้วกุมมือของเธอไว้ “ไม่มีอะไรครับ รู้สึกแค่ว่าชาร์ลีเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทางนี้ก็มีซีซีกับเตียวเตียวอยู่พอดี ก็อย่าเพิ่งให้เด็กไปเลย อยู่ที่นี่ก่อน เด็กๆอยู่ด้วยกันก็ดีออกไม่ใช่เหรอครับ?”
“แต่ว่า แบบนี้คุณคงจะเหนื่อยมากเลยมั้งคะ?” เธอทำหน้าขี้ขลาดตาขาว สีหน้าเป็นห่วงเขามาก
เขากลับยิ้มอย่างเรียบเฉย “เหนื่อยอะไรกันครับ? แค่เล่นกับเด็กๆเป็นครั้งคราวเฉยๆ ไม่เป็นหรอกครับ ยิ่งไปกว่านั้น คุณก็เป็นว่าที่ภรรยาของผมแล้ว ลูกของคุณ ก็คือลูกของผมไม่ใช่เหรอครับ?”
ทันใดนั้น หานฉ่ายหลิงรู้สึกอุ่นใจมากเป็นพิเศษ เธอเข้าใกล้ไปที่อ้อมกอดเขาอย่างเป็นธรรมชาติ และโอบกอดผู้ชายไว้แน่น “เฉินซี คุณดีจังเลยค่ะ!”
“เด็กโง่ ต่อไปอย่าพูดคำพูดที่ว่าจะส่งชาร์ลีไปอีก ผมยอมรับคุณได้ แล้วทำไมจะยอมรับลูกของคุณไม่ได้ล่ะ?”
ลี่เฉินซีมองผู้หญิงในอ้อมกอด
รอยยิ้มที่สดใส ทำให้คนสบายใจ “ต่อไปชาร์ลีก็เป็นลูกชายของผม เขาจะเหมือนลี่เจิ้งกับซีซี ไม่ว่าเวลาไหนผมก็จะปฏิบัติอย่างยุติธรรมครับ”
เพราะยังไงซะ เด็กคนนั้น……
หานฉ่ายหลิงตื่นเต้นเกินไป ในใจรู้สึกอบอุ่น เธอซบอยู่ที่อ้อมกอดเขาคอยเพลิดเพลินกับความหวานแหววที่ยากจะได้รับ ก็เลยละเลยความมืดมนที่แวบผ่านสายตาของผู้ชายอย่างรวดเร็ว และความเย็นชาที่โผล่ขึ้นมาจากมุมปากของเขา
……….
อีกฝั่งของตัวเมือง ในห้องประชุมของบริษัท โอวหยางเช่อฟังการรายงานต่างๆของผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จแล้วนั่งอยู่ที่นั่น ใบหน้าที่สงบนิ่งไม่มีสีหน้าอารมณ์ส่วนเกิน หลินหวั่นหญิงหมุนปากกาอย่างไม่หยุด เล็บสีแดงสดคอยเคาะอยู่บนโต๊ะ สายตาที่ไม่แยแสคอยมองทิศทางของซูย้าวอย่างไม่ขาดสาย
ในที่สุด เธอก็อดเปิดปากถามไม่ได้ “ใกล้จะถึงไตรมาสถัดไปแล้ว พรีเซ็นต์เตอร์สินค้าใหม่ของครั้งนี้ นอกจากดารายุโรปของทางฝั่งสำนักงานใหญ่แล้ว พวกเรายังต้องจ้างไอดอลหลายท่านในประเทศด้วย ใครมีอะไรดีๆแนะนำมั้ย?”
พอพูดถึงเรื่องจ้างพรีเซ็นเตอร์ดารา ด้านล่างก็เอะอะโวยวายเสียงดังเลย มีคนไม่น้อยต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กัน
โดยเฉพาะพวกที่ยังเยาว์วัยอยู่ คนแรกที่นึกถึงก็ย่อมเป็นไอดอลที่ตัวเองชอบและเลื่อมใสอยู่แล้ว ต่างก็แจ้งชื่อออกมาพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย
หลินหวั่นหญิงฟังแล้วเหมือนล้วนไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ เธอขมวดคิ้วและเงียบกริบตลอด
“อานซินเออร์เป็นไงบ้างคะ?”
จู่ๆมีคนพูดถึงชื่อนี้
แววตาของซูย้าวมีแรงกระเพื่อม อานซินเออร์ ชื่อนี้เหมือนไม่ใช่เพิ่งจะเคยได้ยินแค่ครั้งแรก รายการโทรทัศน์ในสองปีนี้ก็สามารถเห็นเงาได้อยู่เป็นประจำ เหมือนจะเป็นราชินีไอดอลที่วงการบันเทิงเพิ่งจะดันขึ้นมาใหม่
“สองปีนี้อานซินเออร์ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม หน้าตาสวยหวาน ได้รับการยอมรับว่าเป็นนางฟ้าในใจของหนุ่มๆ อีกทั้งยังมีหุ่นที่เพอร์เฟคเหมือนนางแบบ ให้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์ น่าจะไม่เลวมั้งคะ?” มีคนพูด
ยากที่หลินหวั่นหญิงจะพยักหน้า เหมือนพึงพอใจกับข้อเสนอนี้ เธอแค่พูดว่า “แบบใหม่ที่ไตรมาสนี้ออกมา ก็คือมุ่งเป้าไปที่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าของสาวๆ เลือกอานซินเออร์ไม่เลวจริงๆ!”
ในเมื่อเลือกคนได้แล้ว งั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาต่อจากนี้ก็คือจะติดต่ออานซินเออร์ยังไง และเซ็นสัญญาพรีเซ็นต์เตอร์กับงานที่ตามมาทีหลังแล้ว
งานพวกนี้ ล้วนมีผู้เชี่ยวชาญไปรับผิดชอบและจัดการ พูดตามหลักแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่ต้องถึงขั้นซูย้าวมาจัดการเอง แต่ดันเรื่องมันบังเอิญขนาดนี้ นาทีที่มาถึงกะทันหัน ถึงเธอไม่รู้จะทำยังไงดี แต่ก็จำเป็นจะต้องยอมรับ
หลินหวั่นหญิงได้จัดเตรียมให้คนอื่นมารับผิดชอบงานนี้ แต่ทุกคนผลักกันไปผลักกันมาและมีสีหน้าลำบากใจ คอยหาสาเหตุรับมือกันอย่างลวกๆ
“แค่ให้พวกคุณติดต่อไปผู้จัดการส่วนตัวของอานซินเออร์เอง ถึงขั้นต้องใช้แรงขนาดนี้เลยเหรอ?” หลินหวั่นหญิงชักจะอารมณ์ขึ้นแล้ว
“รองประธานหลิน ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากทำนะคะ แต่ว่าคุณไม่รู้จักอานซินเออร์ท่านนี้ สองปีนี้เธอดังเปรี้ยงปร้างเป็นเรื่องจริง ข่าวลือที่ว่าปฏิบัติกับคนอย่างเป็นมิตรก็เป็นเรื่องจริง แต่เธอก็ไม่เคยรับงานพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันเลยนะคะ!”
หลินหวั่นหญิงอึ้งค้างไว้ “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“จริงค่ะ วงในต่างก็รู้กันว่าอานซินเออร์เป็นคนที่ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว เรื่องที่เธอไม่สมัครใจทำ ไม่ว่าใครก็หมดหนทางค่ะ!”
หลินหวั่นหญิงฟังแล้วหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “เรื่องที่เธอไม่อยากทำ ก็จะไม่ทำงั้นเหรอ? ตลก! เธอนึกว่าหล่อนเป็นใคร? ก็เป็นแค่นักแสดงคนหนึ่งเฉยๆ เป็นแค่อาชีพๆหนึ่งเฉยๆ อย่าคิดว่าตัวเองเลิศเลอเพอร์เฟคไปหน่อยเลย!”
ทุกคนย่อมรู้อยู่แล้วว่าพวกดาราก็คือต้องมีคนดันถึงจะนับว่าเป็นดารา ไม่งั้นก็เป็นแค่นักแสดงธรรมดา ไม่ต่างอะไรกับอาชีพของคนทั่วไปหรอก นอกจากได้ขึ้นกล้องเยอะหน่อย ก็ไม่มีผลประโยชน์ที่เหนือกว่าเลย
แต่อานซินเออร์คนนี้ ดันไม่เหมือนศิลปินท่านอื่น………
มีคนเดินมากระซิบที่ข้างหูของหลินหวั่นหญิงหลายคำ ทีนี้หลินหวั่นหญิงถึงรู้ในทันที “อ๋อ ที่แท้มีคนหนุนหลังนี่เอง! ดูท่าอานซินเออร์คนนี้ไม่ธรรมดานะเนี่ย!”
“รองประธานหลิน งั้นสู้เราเปลี่ยนตัวเลือกจะดีกว่ามั้ยคะ ยังมีดาราอีกมากมายที่เดินสายไอดอล สู้…….”
ยังไม่ทันได้พูดรายชื่อของคนอื่นออกมา ก็ถูกหลินหวั่นหญิงปฏิเสธอย่างเฉียบขาด เธอพูดโดยตรงว่า “ไม่ คนอื่นไม่โอเค เอาอานซินเออร์เนี่ยแหละ!”
“แต่ว่า…….”
“ไม่มีแต่ว่า เธอไม่เคยรับงานพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าครั้งนี้สามารถเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้พวกเรา ก็เป็นการพิสูจน์การพูดปากต่อปากพอดีไม่ใช่เหรอ?” หลินหวั่นหญิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะต้อง สำเร็จภารกิจที่ยากลำบากนี้ให้ได้
สำหรับเรื่องนี้ ซูย้าวไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น
เธอสำเร็จภารกิจที่ยากลำบากของเธอ ตัวเองใช้ชีวิตสงบของตัวเอง ต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
จนปัญญา ที่ยังไม่รอให้ซูย้าวได้คิดว่าตอนเที่ยงจะทานอะไร ทางโน้นก็มีเสียงของหลินหวั่นหญิงก้องมาแล้ว “ประธานซู ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของคุณกับอานซินเออร์ไม่เลว? เป็นแบบนี้หรือเปล่า?”
ซูย้าวอึ้ง “ฉันกับอานซินเออร์? รองประธานหลิน
ฟังใครพูดมาคะ?”
“ฟังใครพูดมันไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือ พวกนี้ล้วนเป็นความจริงใช่มั้ย! ในเมื่อแบบนี้ งั้นสู้ประธานซูเห็นใจบริษัทหน่อย ดูแลพนักงานคนอื่นๆหน่อย ภารกิจหนักที่จ้างอานซินเออร์ก็มอบให้ประธานซูรับผิดชอบแล้ว คนอื่นคงไม่มีความคิดเห็นมั้ง?”
“……..”
กว่าทุกคนจะหลุดพ้นจากเรื่องรับมือยากไม่ใช่ง่ายๆ ย่อมปรารถนาอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าซูย้าวมีความคิดเห็นนะ!