ในห้องสอบสวนสถานีตำรวจ กัวหลินนั่งอยู่ในนั้นอย่างสงบเสงี่ยม มองผู้ชายที่สืบสวนเธออยู่ตรงหน้า ใบหน้าภายใต้หมวกตำรวจอ่อนเยาว์ เด็ดเดี่ยว ถึงแม้จะไม่หล่อเหลา แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน
แต่อวัยวะต่างดูเหมือนจะเป็นไปตามบรรยากาศรอบๆ เย็นชาบึ้งตึง แววตาเคร่งขรึม ยังเต็มไปด้วยความเฉยเมยและแปลกแยก
“คุณกัว?”
ชายหนุ่มใช้นิ้วเคาะโต๊ะ เรียกสติเธอกลับมา
“คิดนานขนาดนี้ กำลังคิดถึงเมื่อหลายวันก่อนอยู่ใช่ไหม ตอนที่ชั้นบนสุดแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลเซ็นเดอร์โดนวางเพลิง คุณขึ้นไปทำอะไรบนดาดฟ้า?” ตำรวจถาม ท่าทางจริงจัง ดูแข็งทื่อหน่อยๆ
กัวหลินได้สติกลับมานานแล้ว สายตานิ่งสงบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ส่ายหน้าเบาๆ “ฉันยังจำไม่ได้”
“คุณกัว ฉันต้องเตือนคุณสักหน่อย การให้ความร่วมกับการตรวจสอบคดี ไม่ใช่แค่หน้าที่ของพลเมืองเท่านั้น และยังมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการลบล้างข้อสงสัยในตัวคุณได้อีกด้วย!” ชายหนุ่มกล่าว
เธอยิ้ม จับโต๊ะมือเดียวและจับคางเงยขึ้น “งั้นในความประทับใจของคุณ ฉันกลายเป็นคนวางเพลิงแล้วหรือยัง?”
“นอกจากคุณจะบอกเหตุผลที่ตอนนั้นอยู่บนตึก และมีหลักฐานที่เป็นจริง ไม่งั้น คุณต้องสงสัยหนักมาก” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง
กัวหลินพยักหน้า “งั้นถ้าพูดอย่างนี้ ฉันควรจะเชิญทนายไหม?”
“คุณมีสิทธิ์เรียกทนาย แต่การสอบสวนคดียังคงดำเนินการตามขั้นตอนแกติ!” ชายหนุ่มกล่าว
กัวหลินมองดูอย่าเงียบๆ จากนั้นไม่นานก้มหน้าลง ขนตาหนาปิดบังความคิดในสายตา เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และพูดว่า “ทนายไม่จำเป็นหรอก ฉันอยู่ที่นี่มาก็น่าจะประมาณ20ชั่วโมงแล้วสินะ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว และรู้ทันทีว่าเธออยากจะพูดอะไร “คุณกัว ต้องให้ฉันพูดอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ ข้อสงสัยของคุณใหญ่มาก!นอกจากจะมีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่งั้น…”
พูดไม่ทันจบ กัวหลินก็ขัดจังหวะขึ้นมา “หาหลักฐาน ควรจะเป็นงานของตำรวจไม่ใช่หรือไง? อีกอย่างถ้าพวกคุณมีหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนว่าฉันเป็นคนวางเพลิง ก็ไม่ต้องมาสอบสวนอย่างนี้ ลงโทษและดำเนินคดีไปได้เลยก็ได้สิ!”
กัวหลินพูดได้ตรงกับในใจของชายหนุ่ม นั่งลงตรงนั้นและยิ้มเงียบๆ ไขว้ขาที่สวยงาม มองนาฬิกาข้อมือ “ยังมีเวลาอยู่ที่นี่ได้อีก18ชั่วโมง”
ความหมายก็คือ เตือนให้ชายหนุ่มเร่งรีบสืบสวน อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป จะเสียดายเวลา
ในเมื่อไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เวลาในการกักขังตัวมีแค่48ชั่วโมงเท่านั้น
ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ตั้งแต่เริ่มทำงานนี้ ใกล้ชิดกับผู้ต้องสงสัยทุกวัน บางคนเห็นเย่อหยิ่งยิ่งกว่ากัวหลินมีมากมาย ดังนั้นสำหรับชายหนุ่มแล้ว ชินกับท่าทางอย่างนี้มานานแล้ว
เขาคิด และเปิดดูเอกสารด้วยมือเดียว และพูดอีกครั้งว่า “คุณทำงานที่บริษัทหานซื่อมาสามปีแล้ว ตอนนั้นเพราะหานฉ่ายหลิงช่วยออกค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากให้แม่คุณ คุณเข้าทำงานในบริษัทHSเพราะความรู้สึกขอบคุณสินะ?”
กัวหลินเข้าใจความหมายที่นอกเหนือจากนี้ เธอมองลึกเข้าไปในตาของชายหนุ่ม “คุณคิดจะพูดอะไร?”
“และการวางเพลิงครั้งนี้ หานฉ่ายหลิงได้ช่วยชีวิตลี่เจิ้งเพื่อนตัวน้อยวัย8ขวบผู้สืบทอดคนต่อไปของบริษัทลี่ซื่อที่อยู่ในภาวะหลับใหล เพื่อให้งานหมั้นในวันนี้กับประธานของบริษัทลี่ซื่อราบรื่น” ชายหนุ่มพูดพลาง
กัวหลินมองเขา และรีบถามต่อว่า
“ตอนที่เกิดไฟไหม้ คุณและหานฉ่ายหลิงปรากฏตัวพร้อมกันที่ห้องพักคนไข้ชั้นบนสุด แต่หานฉ่ายหลิงช่วยลี่เจิ้งไว้ จากนั้นได้หมั้นกับลี่เฉินซีอย่างราบรื่น แต่กลับกันคุณต้องสงสัยอย่างหนัก คุณกัว คุณฉลาดมาก ฉันเชื่อว่าคุณรู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการบอกไปคืออะไรใช่ไหม?” ชายหนุ่มมองตาเธออย่างเข้มงวดและลึกซึ้ง
กัวหลินรู้ดี ตอนนั้นเพราะตัวเองเร่งรีบช่วยเหลือหานฉ่ายหลิง ทำให้พลาดไปหลายจุด ดังนั้นเรื่องการวางเพลิงถ้าตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป จะพบเบาะแสบางอย่าง และตัวเองก็กำลังตกที่นั่งลำบาก
แต่ เธอจะทำให้เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงหานฉ่ายหลิงไม่ได้
ไม่งั้นที่ทำไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด ก็จะหายไปกับตา!“ฉันไม่เข้าใจจริงว่าคุณกำลังคิดพูดอะไรอยู่” กัวหลินเอนตัวอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ โดยไม่คิดจะตอบคำถามตรงไปตรงมา
ในห้องสอบสวน ตำรวจพอจะเดาความคิดของกัวหลินได้แล้ว ขณะกำลังรอ แค่รอหลักฐานชิ้นสุดท้าย ก็สามารถตัดสินโทษให้หญิงสาวได้แล้ว และความจริงจะถูกเปิดเผย
……
ที่โรงแรม
วันนี้ทั้งวันสำหรับซูย้าวแล้ว มันยากมาก คิดไม่ถึงว่าเรื่องของตระกูลเถียนจะใหญ่โตได้ขนาดนี้ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
เธอหลับไปบนโซฟาสักพัก และตื่นมาเพราะเสียงโดนกระดิ่งประตูปลุก
เตียวเตียวเกรงว่าจะรบกวนเธอ จึงรีบวิ่งออกมาจากห้องไปเปิดประตู คิดไม่ถึงว่าซูย้าวจะโดนเสียงดังรบกวนจนตื่น
หลินโม่ป่ายเดินก้าวขาเข้ามา ได้ยินเตียวเตียวบอกว่า “คุณน้ากำลังหลับ เธอเหนื่อยมาก คุณอย่ารบกวนเธอโอเคไหม?”
“ได้สิ!ลุงไม่เสียงดังรบกวนคุณน้า!” หลินโม่ป่ายลูบหัวเตียวเตียว คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะฉลาดและรู้เรื่องรู้ราวขนาดนี้
เดินเข้ามาด้านใน กลับเห็นซูย้าวลุกขึ้นมานั่งอยู่บนโซฟาแล้ว หาวอย่างง่วงนอน และพูดว่า “โม่ป่าย คุณมาแล้วหรือ!”
เธอกวักมือเรียกเตียวเตียวมากอด มองผ้าห่มที่อยู่บนตัว ก็รู้ทันทีว่าหลังจากที่ตัวเองหลับ เตียวเตียวเด็กน้อยคนนี้ห่มให้ อดรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาไม่ได้
หลินโม่ป่ายนั่งลงข้างเธอ มองรอยช้ำและบาดแผลบนหน้าเธอ เป็นห่วงจนขมวดคิ้วแน่น “คนพวกนี้ เกินไปแล้วจริงๆ!”
เขาพูดพลาง ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว เอาไข่ไก่ใส่หม้อสองใบ รอให้ต้มสุกแล้วเอามาใช้ช่วยอาการบวม
ซูย้าวลุกขึ้นเดินไปข้างประตูห้องครัว มองร่างสูงใหญ่ที่กำลังยุ่งอยู่ด้านใน ริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ “ไม่ต้องต้มไข่หรอก ฉันไม่เป็นไรจริงๆ!”
ขณะพูดสังเกตเห็นรอยช้ำบนใบหน้าของหลินโม่ป่าย อดถามไม่ได้ว่า “คุณล่ะ บนหน้าตัวเองก็มีแผลไม่ใช่หรือไง?”
เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ยกมือขึ้นมาลูบแผลบนหน้าตัวเอง ยิ้มอย่างอึดอัด “ฉันไม่เป็นไร ผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่ง คุณไม่เหมือนกัน”
หลินโม่ป่ายจัดการธุระในมือเสร็จ จึงเดินออกมา จับมือเธอเบาๆ “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะส่งคนมาดูแลคุณ ไม่ว่าจะไปบริษัทหรือไปที่ไหน จะไม่ปล่อยให้ไปคนเดียวอีกแล้ว!”
“ฉันก็คิดไม่ถึง ว่าเรื่องจะใหญ่โตขนาดนี้…” เมื่อตอนบ่าย หลินเวยติดต่อเธอมาแล้ว เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงนี้ ดูเหมือนว่าจะหลบหลีกไม่ได้แล้ว
แต่โชคดีที่เขามีข้อได้เปรียบมากมาย ไม่น่าจะเสียเปรียบ แค่การวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนส่วนใหญ่ตอนนี้ไปอยู่ทางฝ่ายตระกูลเถียน ต้องคิดหาทางดึงกลับมาถึงจะดี
คิดถึงเรื่องนี้ซูย้าว กัดริมฝีปากล่างตัวเองโดยไม่รู้ตัว
แค่ความเคยชินอย่างหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะการเคลื่อนไหวนิดๆ ของเธอทำให้ใครบางคนถึงกับหยุดหายใจ และดวงตาลึกล้ำยิ่งขึ้น
ขณะนั้น หลินโม่ป่ายปล่อยมือเธอ “พวกเขาจงใจมาที่ฉัน แต่คิดไม่ถึง ว่าจะทำให้คุณเหนื่อยไปด้วย!”
“ยังไม่ตรวจสอบเรื่องราวให้ชัดเจน อย่าเพิ่งตัดสินเร็วเกินไป ไม่ว่าจะต่อต้านคุณหรือฉัน มีข้อแตกต่างไหม?” เธอถามกลับ
สุดท้ายก็ต้องหาทางเผชิญรับมือกับมันไม่ใช่หรือไง? ยังไงสถานการณ์ก็เลวร้ายมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อคดีความไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ งั้นต้องหาทางรับมือกับอีกฝ่าย ไม่มีใครยอมให้ใคร การแข่งขันย่อมสูงเป็นธรรมดา
หลินโม่ป่ายถอนหายใจเบาๆ และมองเธอ “คุณยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม? ฉันทำให้แล้วกัน!”
“คุณจะทำกับข้าว?” เธอตกใจเล็กน้อย
แต่เขากลับพับแขนเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ และสวมผ้ากันเปื้อน เปิดตู้เย็นดูว่ายังพอมีวัตถุดิบอะไรบ้าง เตรียมจะผัดกับข้าวสักสองอย่าง พูดไปพลางยุ่งไปพลางว่า “ลืมแล้วหรือไง? เมื่อก่อนฉันเข้าครัวบ่อยไม่ใช่หรือไง?”
เธอยิ้ม จริงอย่างที่ว่า ไม่ใช่แค่หลินโม่ป่ายเข้าครัวบ่อย แต่ฝีมือเขาทำได้ไม่เลวด้วย
เตียวเตียวเห็นคนกำลังทำอาหาร นัยน์ตาดำเล็กเป็นประกาย “คุณลุงทำอาหารเหรอ? รออย่างคาดหวังเลยนะ!”
“รอได้เลย เด็กน้อย รออีกนิดทำหนูอิ่มจนตกใจ!” หลินโม่ป่ายยิ้ม เตรียมโชว์ฝีมือ