บทที่ 208 คุณให้อภัยฉันได้ไหม
หลังจากนั้นไม่กี่วัน อาการป่วยของ อานโล๋ก็สามารถควบคุมได้ สติสัมปชัญญะของเธอดีขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่นอนสลบไสลตลอดเวลา เธอสามารถพยุงตัวเองให้ค่อยๆลุกขึ้นนั่งได้ และยังสามารถทำทานอาหารได้อย่างปกติแล้ว
เมื่อเทียบกับกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ถือดีขึ้นมากๆ
แม้แต่ซูย้าวเองก็คิดไม่ถึงว่าร่างกายของคุณแม่ของเธอจะฟื้นตัวได้ดีขนาดนี้ นอกจากขอบคุณโม่ป่ายแล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณใครได้อีก
เหมือนกับว่าหลังจากวันนั้นที่ได้เจอซัวฉ่ายลี่แล้ว สภาพของอานโล๋ดูดีขึ้นเยอะมาก ไม่รู้ว่าเพราะโรคใจของเธอได้รับการรักษาหรืออย่างไร เพียงแต่ในสายตาของซูย้าว เห็นว่าคุณแม่พูดน้อยกว่าแต่ก่อน ไม่ชอบขยับเขยื้อน ชอบนั่งอยู่ริมหน้าต่างเงียบๆคนเดียว และมองทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกอย่างเหม่อลอย
สามารถนั่งได้ทั้งเช้าโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ซูย้าวกลับมาจากการไปหาโม่หว่านหว่าน มองหน้าลูกชาย เจิ้งเอ๋อทุกอย่างดูดี หว่านหว่าน ดูแลเป็นอย่างดี เธอจึงค่อนข้างเบาใจ
“เจิ้งเอ๋อ สบายดีไหม” อานโล๋ดึงสติกลับคืนมาแล้วถามเธอขึ้น
ซูย้าวพยักหน้า แล้วก็เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆคุณแม่
อานโล๋กุมมือลูกสาวของตัวเอง แล้วก็ลูบหลังมือเบาๆ จากนั้นทอดถอนใจแรง แล้วพูดขึ้น “แม่รู้หมดแล้ว และก็รู้ว่าตอนนี้หนูอยู่ในสภาวะที่ต้องเลือก มันยากที่จะต้องปล่อยวางบางสิ่ง ดังนั้นแม่จึงไม่อยากขออะไร เพียงแค่ขอให้หนูคิดให้ดีๆ แล้วก็ทำตามเท่านั้นก็พอ”
เธอมองแม่ของเธอ ดวงตาแจ่มใสค่อยๆถูกปกคลุมด้วยไอหมอก
ในโลกใบนี้คนที่เข้าใจเธอมากที่สุดก็มีเพียงแต่คุณแม่เท่านั้น
“ถ้าหากหนูรู้สึกว่าตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว และก็ชอบแบบนี้ อย่างนั้นก็ให้มันเป็นแบบนี้เถอะ! แต่ถ้าหากหนูต้องการอยากจะเปลี่ยนแปลง หนูก็สามารถทำได้ เพียงแต่——”
อานโล๋ลากเสียงยาว แววตาที่ลุ่มลึกมองมาที่เธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าใช้อารมณ์ คิดไตร่ตรองให้ดีๆ แล้วค่อยลงมือทำ อย่าให้ผู้อื่นมาขัดขวางหรือมีบทบาทสำคัญ”
ซูย้าวเข้าใจในความหมายของคำพูดคุณแม่ จึงก้มหัวเล็กน้อยเพื่อสื่อว่าเธอนั้นเข้าใจ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเจิ้งเอ๋อ เธอจะตัดสินใจสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
“หนูเกิดมาก็เผชิญแต่ความยากลำบาก หากวันหนึ่งแม่ไม่ได้อยู่แล้ว ในโลกใบนี้หนูจะยังสามารถพึ่งพาใครได้อีก เจิ้งเอ๋อยังเด็ก เขายังต้องการการดูแลและการปกป้องจากหนู แล้วหนูจะทำอย่างไร”
อานโล๋ทอดถอนใจ เรื่องราวมาถึงขนาดนี้ แต่กลับไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะสามารถฝากฝังให้ดูแลลูกสาวได้ จึงเจ็บปวดดวงใจยวดยิ่ง
อันที่จริงเมื่อมองซูย้าวแล้ว เธอยังมีคำพูดอื่นที่อยากจะพูด อยากจะเอ่ยชื่ออีกคนหนึ่งขึ้นมา แต่เมื่อคำพูดมาถึงที่มุมปาก แล้วเห็นสายตาที่ขุ่นมัวสับสนของซูย้าว ทำให้ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้
เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ผ่านเรื่องราวที่ทำร้ายจิตใจเจ็บปวดรวดร้าวทรมานเหมือนกัน
อานโล๋ย่อมเข้าใจดี ซูย้าวยังไม่อยากที่จะปล่อยมือไปจากลี่เฉินซี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็คงไม่พร้อมที่จะมอบหัวใจให้แก่ชายอื่น พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่หวังว่าเธอจะสามารถเลือกทางที่ดีที่สุด
อีกฟากหนึ่งของเมือง ในห้องนอนที่บ้านตระกูลหาน หานฉ่ายหลิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบโทรศัพท์เพื่อจะนัดทานอาหารกลางวันกับลี่เฉินซี
ข้อความยังไม่ทันถูกส่ง พ่อหานได้ยกผลไม้ขึ้นมาบนตึก
มองเห็นเธอที่กำลังถือโทรศัพท์ ก็พอจะเดาออกถึงเรื่องราว จึงวางผลไม้ไว้ข้างๆ จากนั้นก็นั่งลง “ฉ่ายหลิง หนูกับเฉินซีก็รู้จักกันมาหลายปี ตอนนั้นก็เคยคบกัน บอกความจริงกับพ่อมาเถอะ ว่าลึกๆแล้วหนูเข้าใจเขาหรือเปล่า”
หานฉ่ายหลิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “พ่อ พ่อหมายความว่าอย่างไร”
“พ่อก็แค่ถามว่าหนูเข้าใจตัวเขาหรือเปล่า หนูแค่ตอบตามความเป็นจริงก็พอ” พ่อหานถามขึ้นอีกครั้ง
เธอหัวเราะเบาๆอย่างมั่นใจ “แน่นอนอยู่แล้วว่าหนูต้องเข้าใจตัวเขา หนูรู้ว่าเขาชอบทานอะไร ชอบสีอะไร ที่ที่เขาชอบไปประจำ กีฬาโปรด งานอดิเรก รวมไปถึงวิธีการจัดการของเขา แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เขาใช้พูด อยู่ล้วนเข้าใจเป็นอย่างดีค่ะ!”
เมื่อพูดเช่นนี้ พ่อหานก็คิ้วขมวดแน่นขึ้น
หานฉ่ายหลิงกลับมึนงง “ทำไมพ่อถึงถามเช่นนี้ล่ะ พ่อกำลังเป็นห่วงอะไรอยู่หรือเปล่า หรือว่าพ่อไปได้ยินอะไรมา”
ก่อนอื่นได้ถอนหายใจขึ้น สักพัก พ่อหานจึงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อหนูเข้าใจเขาดีขนาดนี้ อย่างนั้นก็น่าจะรู้ว่า เขาเป็นฉลาดมากแค่ไหน บริษัทลี่ซื่อมีสายตาอยู่รอบด้าน มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่เราจะคาดถึง ลี่เฉินซีไม่ใช่ผู้ชายปกติธรรมดาทั่วไป”
เธอก็ยิ่งสงสัย “พ่อต้องการจะพูดอะไรคะ ทำไมหนูถึงฟังไม่ค่อยเข้าใจ”
“ ลูกสาวของพ่อ หนูแกล้งป่วยเพื่อตบตาเขา หนูคิดว่าเขาจะไม่รู้เชียวหรือ หรือคิดว่าการแสดงของหนูกับความร่วมมือของคุณหมอ จะทำให้เขาไม่สามารถจับพิรุธได้”
คำพูดนั้นดังอยู่ในแก้วหู หานฉ่ายหลิงชะงักงัน
“ ให้พ่อเดานะ ไม่มีทางที่ลี่เฉินซีจะไม่รู้ แต่แค่ไม่แสดงออกมาให้หนูรู้เท่านั้น หนูนัดเขาทานข้าว เขาก็ไปตามนัด หนูให้เขามาหาหนู เขาก็มาตามที่หนูต้องการ ไม่แตกต่างไปจากวันธรรมดาทั่วไป ……”
คนที่ยิ่งเงียบไม่ให้สุ้มให้เสียง คนที่ทำอะไรแล้วไม่ทิ้งร่องรอยหลงเหลือไว้ ยิ่งเป็นคนที่น่ากลัว
พวกเงียบๆน้ำนิ่งไหลลึก คมในฝัก ความสงบหลังจากพายุลูกใหญ่ซัดโหมกระหน่ำ เป็นสิ่งที่น่ากลัวและทำให้อกสั่นขวัญแขวนที่สุด
หลังจากที่พ่อหานคิดไตร่ตรอง ก็รู้สึกว่าผิดปกติ ถึงได้พูดขึ้นเพื่อเตือนสติลูกสาว
สีหน้าของหานฉ่ายหลิงจมดิ่งลง ก่อนหน้านี้เธอจมปลักอยู่ในภวังค์ของเขาจนโงหัวไม่ขึ้น และเพียงต้องการที่จะยืดเวลาออกไป เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับเขาอย่างหวานแหวว จนมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป ตอนนี้พอคิดขึ้นมาได้ ก็รู้สึกว่ามีลมหนาวดังหวีดหวิวจนให้ความรู้สึกน่ากลัว
“ถ้าหากว่าเขารู้เรื่องราวทั้งหมด และก็รู้ความจริง แต่กลับไม่ยอมเปิดโปงหนู อย่างนั้น……”
พ่อหานมองดูเธอ “อย่างนั้นก็แปลได้ว่าอะไร ฉ่ายหลิง หนูอย่าบอกนะว่าหนูไม่รู้ พ่อว่าไปสารภาพบอกความจริงกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆเถิด”
ลูกสาวคือดวงใจของพ่อ เป็นคนที่รักที่สุด พ่อหานกุมมือลูกสาวของตัวเองด้วยความเป็นห่วง “เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีด้วยกันมาหลายปี ต่อให้หนูพูดความจริง เขาก็จะไม่ทำอะไรหนูอย่างแน่นอน และจะยังคงรักษาความสัมพันธ์นี้ต่อไปอีก แต่ถ้าไม่ ต่อไปหนูจะทำอย่างไร”
“เอ่อ……”
หานฉ่ายหลิงแววตาสับสน ความคิดก็รู้สึกสับสนวุ่นวายไปด้วย เรื่องมากมายก็พัวพันปนเปกันไปหมด ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งกลัวไม่กล้าที่จะคิดต่อไปอีก
ที่ริมทะเลยามค่ำคืน ลมทะเลพัดเบาๆโชยเข้ามา ทำให้ผมดำของหญิงสาวพันกันเล็กน้อย รีสอร์ตตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ล้อมรอบด้วยซุ้มเก้าอี้เอน แสงไฟจางๆ ให้ความรู้สึกภาพในบทกวี
หานฉ่ายหลิงสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว กำลังเหยียบอยู่บนหาดทรายที่นุ่มนิ่ม ยืนอยู่ที่ชายหาด หันหน้าไปทางทะเล คลื่นลมทะเลซัดกระทบตบที่เท้าของเธอ จนทำให้ชุดนั้นเปียกปอน
แต่เธอกลับได้ไม่สนใจ ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลในค่ำคืนยามราตรี ผืนน้ำดูเหมือนสงบเงียบ แต่จริงๆแล้วภายใต้แสงสาดระยิบระยับ ซ่อนด้วยคลื่นซัดสาดโหมกระหน่ำ
“ทำไมถึงมาที่นี่ได้”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังมาจากด้านหลัง หานฉ่ายหลิงจึงได้หันหลังมามอง เห็นลี่เฉินซีที่ใส่ชุดสูทสวมรองเท้าหนัง
ดูเหมือนเขาจะตรงมาจากบริษัท เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยน เดินใกล้เข้ามาหาเธอ เธอได้กลิ่นบุหรี่บนตัวเขา กลิ่นนั้นเข้มข้น ไม่รู้ว่าวันนี้ได้สูบไปมากเท่าไหร่
“ป่วยอยู่ มาในที่แบบนี้ ระวังจะยิ่งทำให้ป่วยหนักกว่าเดิมนะ” ลี่เฉินซีพลางพูดพลางถอดชุดสูทออกมาคลุมให้เธอ
เธอเป็นเหมือนกระต่ายน้อยที่เชื่อฟัง ยอมให้เขาคลุมชุดสูทให้ตัวเธออย่างง่ายดาย สัมผัสถึงลมหายใจที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ที่มีกลิ่นบุหรี่เข้มข้น หานฉ่ายหลิงดึงมือของเขาขึ้นทันใด ดวงตาเศร้าสั่นไหวจนแดงก่ำ
“เฉินซี”
เขาจ้องมองเธอ ยกมุมปากขึ้นเสมือนยิ้ม “เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้”
“การมาที่นี่ ไม่ทำให้คุณหวนคิดถึงอะไรบางอย่างเลยเหรอ” เธอพยายามพูดเลี่ยงๆ แต่ว่ามาพูดตอนนี้ ไม่สายไปหน่อยเหรอ
ลี่เฉินซีจับมือของเธอแล้วหันไปมองผืนทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วก็หรี่ตาลง “ที่นี่เหรอ ทำไมจะไม่หวนคิดถึงล่ะ”
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เธอกับเขาตกลงปลงใจถึงสถานะของเขาทั้งสองในตอนนั้น และที่นี่ เกือบจะเป็นจุดจุดเดียวกันด้วยซ้ำ ในคืนนั้นของฤดูร้อน เขาได้จัดเตรียมสถานที่โรแมนติกเพื่อขอความรักจากเธอ ให้เธอตกลงปลงใจเป็นแฟนของเขา
เรื่องราวเหล่านั้นผ่านมาหลายปีแล้ว
กาลเวลาผ่านไป เมื่อกลับมาอีกครั้ง สถานที่ยังคงเดิมแต่คนได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เฉินซี……” จู่ๆหานฉ่ายหลิงขานเรียกชื่อเขาขึ้น จ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ราวกับว่าจะร้องไห้ในวินาทีถัดไป “ถ้าหากว่าฉันทำอะไรผิดพลาดไป คุณจะสามารถให้อภัยฉันได้ไหม”