บทที่ 71 คำขอบคุณที่ฉันติดค้างคุณ
ซูย้าวยืนอยู่ตรงบันไดของชั้นสอง มือข้างหนึ่งจับราวจับบันไดไว้ กลางฝ่ามือมีเหงื่อซึมหนึ่งชั้นตั้งนานแล้ว นัยน์ตาจับจ้องไปยังลี่เฉินซีที่กำลังเดินจากไปอย่างไม่คลาดสายตา หัวสมองกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ทีแรกก็นึกว่าตัวเองกินยาที่ชั้นบนแล้วก็คงจะได้แล้ว นึกไม่ถึง เขากลับยังไม่เชื่อ แล้วต้องให้พ่อบ้านมองเธอกิน…….
สามารถสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังสั่นสะเทือน เหมือนทุกๆ การเต้นของหัวใจหนึ่งที ภายในร่างกายก็ใกล้จะเกิดลมมรสุมและคลื่นใหญ่ซัด
ความเจ็บปวดที่ไม่อาจอดทนไหว
รอจนกว่าเธอได้สติกลับมา ด้านนอกห้องจึงมีเสียงของรถยนต์ที่กำลังสตาร์ท เกรงว่าพ่อบ้านจะเห็นว่าตนเองยืนอยู่บันได เลยรีบเดินขึ้นบันไดอย่างเบามือเบาเท้า
บางครั้งคนเรามักจะเป็นแบบนี้ พยายามอดกลั้นและอ่อนข้อให้เพื่อให้เรื่องราวสงบลง และกุเรื่องสร้างภาพหลอกลวง และไม่ยอมเปิดโปงความจริงที่เห็น
ทว่ารอให้กลับไปถึงห้อง พอปิดประตู ภายใต้ดวงตากลับเหมือนมีไอหมอกผุดขึ้นมา และมันก็ได้บดบังการมองเห็น
เธอรอจนกว่าอารมณ์ของเธอนิ่งพอ และแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น จึงจะลงไปชั้นล่างใหม่
พ่อบ้านมองเธอ แล้วพูดด้วยความเกรงใจ “คุณผู้หญิง อรุณสวัสดิ์ค่ะ! “
เธอมองหนูเจิ้งเอ๋อที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่เลี้ยง เด็กน้อยเห็นแม่ ก็รีบยื่นมือมาทางเธอ
ซูย้าวเดินไป แล้วอุ้มเด็กน้อย
จากนั้นก็สื่อสารกับพ่อบ้านด้วยภาษามือ “ขอถามหน่อยค่ะ ยาคุมอยู่ที่ไหนหรอคะ? ฉันหาไม่เจอค่ะ”
พ่อบ้านจึงนิ่งงันไปทันที จากนั้นก็พยักหน้าไม่หยุด แล้วไปหาออกมาพลางยื่นให้เธอ ภายใต้สายตาของเธอ ซูย้าวเทยาออกมาอีกไม่กี่เม็ด แล้วใช้น้ำอุ่นกลืนเข้าไป
เธอแพ้ยาคุม โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เหมือนวันนี้ ก็กินไปสองครั้ง
ผ่านไปไม่นาน ยังไม่ได้รอกินอาหารเช้า ก็รู้สึกไม่สบายกระเพาะเพราะเกิดอาการปั่นป่วน เธอรู้สึกเจ็บและทรมาน เธอไม่วางเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดได้ จากนั้นก็รีบสาวเท้าวิ่งไปที่ห้องน้ำ แล้วจับโถส้วมอ้วกไม่หยุด
เธออ้วกจนหมดไส้หมดพุง จนกว่าจะมีน้ำลายเปรี้ยวๆ ออกมา เธอถึงจะเงยหน้าขึ้นด้วยความอ่อนล้า จากนั้นก็ไปบ้วนปาก
แล้วมองใบหน้าที่ขาวซีดของตนเองในกระจก กระเพาะของเธอไม่สบาย เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดภายในใจ มันจะถือว่าร้ายแรงอะไร?
ไม่รู้ว่าพ่อบ้านเห็นฉากๆ นี้ จึงยืนอยู่ข้างนอกแล้วถอนหายใจไม่หยุด ถ้าไม่ใช่เพราะว่าซูย้าวเป็นฝ่ายพูดถึงยาคุม เธอไม่อยากให้คุณผู้หญิงได้กินเลย
คุณผู้ชายและคุณผู้หญิงเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย อีกอย่างยังมีฐานะทางครอบครัวที่ดี ถ้าเกิดมีลูกคนที่สองจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
ทว่า พ่อบ้านมองออก ซูย้าวเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามและเข้าใจผู้อื่น บางครั้ง เธอมักจะทำความเข้าใจในคำพูดและสังเกตสีหน้าของผู้อื่น เธอรู้จักกาลเทศะเกินไปแล้ว นี่ทำให้คนอื่นรู้สึกเอ็นดูเธอจริงๆ
ตอนที่หานฉ่ายหลิงมา ซูย้าวกำลังอ้อมเจิ้งเอ๋ออยู่ตรงกลางสวนดอกไม้ด้านหลังบ้านแล้วกำลังชมทิวทัศน์ เด็กน้อยไม่ค่อยชอบชมดอกไม้ต้นไม้ ทว่าสำหรับสีสันสดใสพวกนี้ ก็มีความรู้สึกที่พิเศษ
มือเล็กๆ ก็ได้ยื่นไปจับดอกไม้หนึ่งดอก ทว่าพอให้เขาจริงๆ กลับไม่ชอบ
พี่เลี้ยงที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้ม “คุณหนูโตแล้ว ต้องได้รับการชื่นชอบจากสาวน้อยแน่นอน! “
ซูย้าวก็รู้สึกเหมือนกัน เด็กน้อยคนนี้เกิดมาหน้าตาดีตั้งแต่เด็ก ผิวขาวผ่อง แล้วยังมีดวงตาแววใสที่กลมโต หน้าตาเหมือนลี่เฉินซีมาก พอโตขึ้น จะไปเหลือหรอ?
หานฉ่ายหลิงเดินมากับพ่อบ้านในตอนนี้ แล้วมองเห็นสถานการณ์ทางนี้ จึงอดหัวเราะไม่ได้ พอเดินมา เจิ้งเอ๋อร์เห็นเธอก่อน มือเล็กๆ อีนุงตุงนัง แสดงให้เห็นว่าต้องการให้เธออุ้ม
“โธ่ หนูเจิ้งเอ๋อร์ของฉัน เป็นเด็กดีจริงๆ! ” หานฉ่ายหลิงเดินไป แล้วกางแขนทั้งสองข้างออก
ซูย้าวมองเธอ แล้วทำตามความหมายของเธอ จึงได้ยื่นเด็กน้อยให้เธอ
หานฉ่ายหลิงอุ้มเจิ้งเอ๋อร์ไว้ แล้วกล่อมเขาไปสักพัก จากนั้นก็ส่งให้พี่เลี้ยง แล้วก็พูดกับซูย้าว “ฉันได้ยินว่าเธอกลับมาแล้ว อยากจะมาเยี่ยมเธอ……”
เธอคลายยิ้มอ่อนๆ แล้วใช้ภาษามือสื่อสาร “ครั้งที่แล้วเรื่องที่อยู่ตรงบ้านใหญ่ตระกูลซู ฉันจะติดค้างคำขอบคุณคุณอยู่”
ไม่ว่าจะยังไง บ้านใหญ่ตระกูลซูสามารถคงสภาพถึงตอนนี้ ไม่ได้มีใครมาแย่งไป ทุกอย่างก็ต้องยกความดีความชอบให้หานฉ่ายหลิง ต่อให้ต้องเสียบริษัทของตัวเองไป ก็จะรักษาบ้านใหญ่ตระกูลซูไว้ แค่น้ำใจนี้ ซูย้าวควรที่จะขอบคุณเธอดีๆ
หานฉ่ายหลิงกลับยิ้มเห็นฟัน แค่พูดขึ้น “ฉันตกลงกับเธอแล้ว พูดได้ก็ได้ทำได้ นี่มีอะไรน่าขอบคุณล่ะ? “
หยุดชะงักไปสักพัก เธอก็พูดขึ้นต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทของฉันขาดเงินมากขนาดนั้น ก็คือเฉินซีที่เป็นคนให้ฉัน คิดๆ ดูแล้ว ฉันก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบอะไรมากเท่าไหร่! “
“…….”
คำๆ นี้พอออกจากปากของหานฉ่ายหลิง ถึงแม้ซูย้าวจะตกตะลึง และเหมือนจะมีความรู้สึกเหมือนถูกแมวข่วน ทว่าไม่พูดไม่ได้ หานฉ่ายหลิงก็ถือว่าน่าเชื่อถือ อย่างน้อย ก็ไม่เคยหลอกลวงเธอ
“จริงๆ เรื่องนี้ฉันก็รู้สึกผิดกับเธอ” เธอพูดขึ้นอีก ขณะเดียวกัน หานฉ่ายหลิงจับมือซูย้าวไว้ “เพราะว่าฉันดื้อรั้นที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ทำให้เธอกับเฉินซีต้องทะเลาะกัน และเกือบจะได้หย่ากัน โชคดีที่ตอนนี้สามารถปรับความเข้าใจและคืนนี้กันได้ ไม่งั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเธอยังไง! “
ซูย้าวนิ่งงันเล็กน้อย แล้วไม่สามารถแน่นอนได้ว่า นี่เป็นคำพูดใจจริงของผู้หญิงคนนี้จริงๆ หรอ?
จะพูดยังไงดี?
ซูย้าวไม่เคยไปสานความสัมพันธ์กับคนในสังคมอย่างลึกซึ้ง สำหรับความสามารถในการสังเกตและวิเคราะห์คน ถือว่าประสบการณ์ไม่เพียงพอเลย เธอแค่พึ่งพาจิตสัมผัส ในความทรงจำของเธอที่ประเมินหานฉ่ายหลิง กลับไม่เหมือนอย่างโม่หว่านหว่าน ก็มีความรู้สึกดีมาก
ดังนั้น นี่ก็คงจะเป็นจุดบกพร่องที่แย่ที่สุดของซูย้าว
หานฉ่ายหลิงดีเด่นขนาดนี้ และยังจิตใจดีอ่อนโยน แล้วยังไม่ขาดตกบกพร่องอะไร ผู้หญิงดีแบบนี้ มันเหมาะสมกับลี่เฉินซีมาก เธอนี่แหละที่เหมือนมือที่สามที่เป็นส่วนเกิน และเข้าครอบครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่นโดยพลการ
“อยากกลับไปดูบ้านใหญ่หน่อยไหม? ” หานฉ่ายหลิงถามอย่างกะทันหัน
ซูย้าวนิ่งงัน กลับบ้านใหญ่?
มีกุญแจหนึ่งพวง เอาออกจากกระเป๋าของหานฉ่ายหลิง แล้วส่งไปให้เธอในมือ “นี่เป็นกุญแจของบ้านใหญ่ตระกูลซู ตอนนี้จะได้ส่งกลับให้เจ้าของ”
เธอมองกุญแจที่ยื่นเข้ามาใกล้ ภายในใจจึงรู้สึกหม่นหมอง
สถานที่นี้เคยมีความทรงจำมากมาย เป็นที่ๆ เธอเห็นแม่เลี้ยงทำให้พ่อต้องตายเพราะยาพิษกับตา สถานที่นี้ที่เธอถูกแม่เลี้ยงป้อนยาพิษจนเป็นใบ้ ที่นี่ มีทั้งเรื่องทุกข์เศร้าและเรื่องที่มีความสุขจนนับไม่ถ้วน จริงๆ ตอนนั้นเธอเกลียดเข้ากระดูกดำ ทว่าตอนนี้กลับยากที่จะลืมเลือน
บางทีมนุษย์ ก็ช่างมีความหมายเหลือเกิน
“ไปเถอะ! ฉันจะไปกับเธอเอง ดีไหม? ” หานฉ่ายหลิงจับมือเธอ แล้วยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน
ซูย้าวไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ อีกทั้งเธอก็จากบ้านใหญ่มาหลายปีแล้ว จริงๆ ก็ควรกลับไปดู
จึงได้อาศัยรถของหานฉ่ายหลิงไปแล้วตอนที่ถึงบ้านใหญ่ ก็คือเวลาบ่ายสี่โมงเย็นกว่าๆ แล้ว
ช่วงเวลาค่ำคืนของฤดูร้อนมักจะสายหน่อยๆ พระอาทิตย์ยังคงส่องสว่างเจิดจ้า แสงแดดแยงตา เธอลงจากรถ จึงไม่ยกมือบังไม่ได้ และสายตากลับถูกบ้านหลังใหญ่ข้างหน้าด้วยความน่าดึงดูด
เถาวัลย์จำนวนมากล้อมไปทั่วบ้านอย่างหนาแน่น ทำให้บ้านเก่าหลังนี้ได้ผ่านสภาพอากาศทั้งลมทั้งน้ำแข็งมาเนิ่นนาน ดูค่อนข้างโบราณและดูมีเสน่ห์มากๆ
บ้านหลังเก่าที่ไม่ได้ผ่านกันซ่อมแซมมานานหลายปี ประตูเหล็กตรงหน้าประตู ก็รั้วโลหะที่โอบล้อมไปทั่วสี่ทิศ สีทาบ้านก็หลุดลอกไปแล้วและดูโล่งโจ้ง เหมือนดั่งร่องรอยบนใบหน้าของคนชราที่แก่ย่น สามารถพิสูจน์ได้อย่างแท้จริงว่านี่ได้ผ่านการผันผวนมานานนับหลายสิบปี
ทีแรกในสวนก็มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด หลายปีมานี้ตระกูลซูก็ไม่มีใครกลับมา ตั้งแต่ซูกว่างชางเสียชีวิต ซัวฉ่ายลี่ก็แต่งงานใหม่กับเซียวควน อาจจะเพราะว่าในใจรู้สึกผิด ทำเรื่องเลวๆ ไว้ ก็คงจะกลัวว่าตอนกลางดึกจะมีผีมาเคาะประตู และมักจะรู้สึกว่าบ้านเก่ามีผีชอบออกมาโวยวาย จึงได้ว่างทิ้งไว้ แล้วย้ายไปอยู่ในบ้านใหม่ตรงใจกลางเมือง
หลังจากที่นี่เตรียมการถูกประมูล ก็ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาตัดหญ้า ดังนั้นวันนี้ในสวนจึงดูสะอาดกว่าที่ผ่านมา มองไปไกลๆ ก็เห็นสวนดอกกุหลาบ ดูสดใสและงดงามมาก ข้างๆ ยังมีชิงช้าสองอัน และกำลังขยับไปตามทิศทางลม
เรื่องราวเก่าๆ เหมือนดั่งหมอก มีเรื่องที่ผ่านมามากมายเกินไปจริงๆ ในหัวสมองของซูย้าวผุดออกมา ช่างน่าแปลกมาก ที่จู่ๆ นัยน์ตาที่มีไอระเหยขึ้นมา แล้วทำให้สายตามัวพร่า
ผ่านไปสักพัก ไม่ง่ายเลยที่ตนเองจะกลบความวุ่นวายใจ จากนั้นก็หันไปมองหานฉ่ายหลิง แล้วใช้ภาษามือสื่อสาร “ขอบคุณคุณมากจริงๆ ถ้าไม่มีคุณ บ้านเก่าหลังนี้ ก็คงจะไม่ได้คงอยู่แน่นอน”