บทที่ 227 ข้าดูเหมือนคนที่จะรังแกได้ง่ายๆ หรือ
ฝ่ามือของเฉียวหลินเริ่มชื้นเหงื่อ เขาไม่คิดเลยว่าองค์ชายเซียวและฮ่องเต้เซียวจะอยู่ที่นี่ เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขา พวกเขาคงจะทราบเรื่องการกระทำผิดทั้งหมดที่ตระกูลเฉียวได้ทำลงไปเป็นที่เรียบร้อย ครั้งนี้พวกเขาคงถึงกาลอวสานจริงๆ เสียแล้ว
เมื่อเหลือบตามองหญิงสาวที่อยู่ในมือของตน เฉียวหลินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย “นายน้อยสาม ถ้าท่านไม่อยากให้นางตาย เช่นนั้นก็ปล่อยพวกข้าไป”
หากพวกเขารอดชีวิตกลับไปได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะสามารถกลับไปแจ้งเจ้านายของตนได้อย่างทันท่วงที และกลับมาเอาคืนได้อีกครั้งเมื่อถึงเวลา
เฉียวเทียนช่างมองมือซึ่งจับคอของหนิงเมิ่งเหยาอยู่ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว
”เหยาเหยา ข้าไม่ชอบให้เขาจับคอเจ้า” เฉียวเทียนช่างบอกนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หนิงเมิ่งเหยาขยับคอออกมาก่อนยกมือของตนขึ้นจับคอของเฉียวหลินในทันที ระหว่างจ้องเขม็งไปยังชายที่มองนางด้วยความหวาดกลัว นางก็เอ่ยถากถางขึ้นว่า “ข้าดูเหมือนคนที่จะมารังแกกันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือ”
เป็นเรื่องปกติที่เฉียวหลินจะรู้จักหนิงเมิ่งเหยา เขามั่นใจว่านางไม่มีทางรู้วรยุทธ์ใดๆ ได้ ทว่า… ถ้านางรู้วรยุทธ์จริงๆ เช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีเรื่องร้ายใดๆ ที่จะสามารถทำอันตรายนางได้เช่นนั้น แล้วมันเกิดอะไรกันขึ้นล่ะนี่
หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจสิ่งที่เฉียวหลินคิดและเข้าโจมตีในทันที
หนิงเมิ่งเหยาใช้พละกำลังของตนราวๆ เจ็ดสิบส่วนในการต่อยเฉียวหลิน ทำให้เขาต้องล่าถอยกลับไปสองสามก้าวก่อนจะกระอักเลือดออกมา กลุ่มชายชุดดำเปลี่ยนสีหน้าก่อนเริ่มเข้าจู่โจมนางพร้อมกัน
“พวกเจ้าคงจะประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป” นางเยาะขึ้นอย่างเย็นชา ไม่ได้หลบการโจมตีของพวกเขา แต่กลับพุ่งเข้าใส่ตรงๆ แทน
ใช้เพียงฝ่ามือและการขยับร่างกายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในขณะที่ศัตรูถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะสามารถหาจุดยืนที่มั่นคงของตนเจอ
เฉียวเทียนช่างรู้พละกำลังของหนิงเมิ่งเหยาดี จึงไม่ได้ตกใจเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น หลินจือโยวและคนอื่นๆ เองก็ไม่ต่างกัน กลับกัน เซียวชวี่เฟิงและน้องชายของเขากลับมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างตกตะลึง นางเป็นหญิงผู้หนึ่งที่เคยอ่อนแอและบอบบางนัก แต่ภายในคืนเดียว นางกลับกลายเป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์ไปเสียแล้ว พวกเขายังสติดีอยู่หรือเปล่านี่
“จัดการพวกมัน” แน่นอนว่าเฉียวเทียนช่างคงไม่ปล่อยให้หนิงเมิ่งเหยาเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เขารุดเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอย่างรวดเร็ว
ด้วยความช่วยเหลือของเฉียวเทียนช่างและคนที่เหลือ กลุ่มคนในชุดดำรวมถึงเฉียวหลินจึงถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด
หนิงเมิ่งเหยารั้นที่จะอยู่กับพวกเขาทั้งคืนและรู้สึกเบื่อหน่ายมาเป็นเวลานาน หลังจากจับกุมทุกคนได้เป็นที่เรียบร้อย นางก็บอกลาเฉียวเทียนช่างก่อนกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน สำหรับความสงสัยของเซียวชวี่เฟิงนั้น เฉียวเทียนช่างคงจะเป็นผู้อธิบายให้เขาฟังเอง
ที่ห้องโถง เซียวชวี่เฟิงมองเฉียวเทียนช่าง “เกิดอะไรขึ้นกัน” จู่ๆ นางแข็งแกร่งขึ้นขนาดนั้นได้เช่นใด
“นางร่ำเรียนวรยุทธ์มาจากพี่เขย แต่เพราะว่านางไม่สามารถควบคุมกำลังภายในอันรุนแรงในร่างของตนได้ นางก็เลยผนึกมันเอาไว้ แล้วก็เพิ่งคลายผนึกเอาวันนี้นี่เอง” เฉียวเทียนช่างยักไหล่ และอธิบายอย่างคร่าวๆ
เซียวชวี่เฟิงยังคงไม่เข้าใจ “พี่เขยของนางหรือ”
“พี่เขยของเหยาเหยาชื่ออวี้เฟิง”
เซียวฉีเทียนที่กำลังยกชาขึ้นดื่มอย่างเงียบๆ พลันพ่นชาออกมาทันทีที่เขาได้ยินชื่อนั้น “เทียนช่าง เจ้าบอกว่าพี่เขยของนางเป็นผู้ใดนะ”
“อวี้เฟิง”
“เจ้าสำนักอวี้หลินซานน่ะหรือ” เซียวชวี่เฟิงเบิกตากว้างพลางถามอย่างไม่เชื่อหู น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดเล็กน้อย
เฉียวเทียนช่างพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพบเขาตอนที่พวกเราแต่งงานกัน”
เซียวฉีเทียนจ้องมองเฉียวเทียนช่าง จริงอยู่ที่เขาเคยพบคนผู้นั้น แต่เขาไม่รู้เลยสักนิดว่านั่นคือเจ้าสำนักอวี้หลินซาน
เขาเองก็คิดอยู่ว่าชื่อนั้นฟังดูคุ้นหูพิกล แต่ตอนที่ได้ยินนั้น เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ทว่าตอนนี้เมื่อลองนึกอยู่ให้ดี เขาก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นข่าวอันน่าตกใจยิ่งนัก
เซียวชวี่เฟิงเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักอวี้หลินซาน
เขาหรี่ตาลง หากจำไม่ผิด ภรรยาของเจ้าสำนักอวี้หลินซานนั้นเป็นบุตรสาวคนโตจากตระกูลเหมยซึ่งเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองหลิง
ดูเหมือนว่าหนิงเมิ่งเหยาจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอันทรงอำนาจมากกว่าที่พวกเขาคิด
“เทียนช่าง นางไปรู้จักมักจี่คนพวกนั้นได้เช่นไร” เซียวชวี่เฟิงยังคงคิดไม่ออกว่าหญิงสาวเช่นนางนั้นไปรู้จักบุคคลซึ่งมีความสำคัญขนาดนั้นได้เช่นใด ซ้ำยังเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเสียอีก
“ข้าคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นสักประมาณเจ็ดหรือแปดปีที่แล้วกระมัง นางต้องรู้จักพวกเขาเอาไว้เพื่อให้ตัวเองรอด แต่รายละเอียดเป็นเช่นใดนั้นข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” เขาไม่ได้ถามหนิงเมิ่งเหยาให้ละเอียด
เขารู้สึกว่าถ้าหากนางอยากจะบอกเขา เขาก็จะฟัง แต่เขาคงไม่ซักถามสิ่งใด ถ้าหากนางไม่ประสงค์จะให้ทำเช่นนั้น อย่างไรเสีย เขาก็เชื่อในตัวนาง
บทที่ 228 ส่งศพคืน
เขากลับรู้สึกดีใจเสียอีกที่ได้หญิงสาวซึ่งมีความโดดเด่นเช่นนี้เป็นภรรยา
เซียวชวี่เฟิงมองเฉียวเทียนช่าง พูดอะไรไม่ออก “ทำไมเจ้าถึงไม่ถามนาง”
“ทำไมข้าถึงควรถามเล่า” เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้วใส่เซียวชวี่เฟิง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงควรจะใส่ใจกับเรื่องนี้ด้วย
เซียวชวี่เฟิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อเห็นสายตาที่ดูเหมือนว่าไม่กังวลอะไรเลยของเขา เอาล่ะ เช่นนั้นดูเหมือนว่าถึงเขากังวลไปก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา
“นี่เป็นเรื่องระหว่างเจ้าทั้งสอง ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า เฉียวเทียนช่าง ว่าแต่เจ้าวางแผนจะจัดการคนที่เจ้าจับได้เช่นไรหรือ” เซียวชวี่เฟิงกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
เฉียวเทียนช่างใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะพลางยิ้มอย่างเย็นชา “คอยดูก็แล้วกัน”
จากคนในตระกูลเฉียวทั้งหมด คนที่ได้รับความเชื่อใจจากเฉียวเจิ้งหงมากที่สุดนั้นเห็นทีว่าจะเป็นเฉียวหลินผู้ซึ่งเป็นทั้งแขนขวาและแขนซ้ายสำหรับเขา ถ้าหากคนผู้นี้สิ้นใจ ใครจะรู้ล่ะว่าเฉียวเจิ้งหงจะหัวเสียหรือไม่
“เจ้าวางแผนอะไรไว้” เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน เซียวชวี่เฟิงก็เผลอถามขึ้น
ช่วงเวลาที่เขาใช้ร่วมกันกับเฉียวเทียนช่างนั้นไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งหรือสองปี สามารถพูดได้เสียด้วยซ้ำว่าพวกเขาต่างเติบโตมาด้วยกัน สมัยที่พวกเขาอยู่ในค่ายทหาร เมื่อใดที่เขาตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้นั้นคือเวลาที่เขากำลังวางแผนจัดการกับใครบางคนเท่านั้น และเมื่อถึงเวลา ใครบางคนคนนั้นจะต้องโชคร้ายอย่างแสนสาหัส
เฉียวเทียนช่างหันไปหาเซียวชวี่เฟิง “เจ้าอยากรู้รึ”
“ใช่” เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า
เฉียวเทียนช่างลูบคางของตนแล้วเอ่ยขึ้นขณะครุ่นคิด “ถ้าข้าส่งเฉียวหลินกลับไปให้เขาในสภาพมนุษย์สุกร เจ้าว่าเขาจะเสียสติไปในประเดี๋ยวนั้นเลยหรือไม่”
ทั้งเซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนต่างมองเฉียวเทียนช่างพร้อมกัน เห็นว่าชายหนุ่มไม่มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย “เจ้าเอาจริงหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากข้าไม่สามารถเอาเจ้านี่ไปทิ้งไว้ที่ทางเข้าจวนมันได้ ข้าก็แค่ต้องสับเจ้าพวกที่บุกรุกเข้ามานี้ให้เป็นกองกระดูก จากนั้นก็เอากระดูกทั้งกองไปไว้ตรงทางเข้าจวนพวกมันแทนเสีย” ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถทิ้งศพไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าได้ แต่ถ้าหากทำเช่นนั้นมันคงจะทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายตามมาอีก ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่าถ้าหากเขาจัดการส่งมันไปยังจวนของเฉียวเจิ้งหงโดยตรง
เซียวฉีเทียนหดคอของตนแล้วหันไปมองหน้าเซียวชวี่เฟิง เขาพลันรู้สึกว่าพี่ชายของตนผู้นี้นั้นเริ่มไม่ใช่มนุษย์ขึ้นอีกขั้นเสียแล้ว
“เทียนช่าง เจ้าไม่คิดหรือว่าทำเช่นนี้มันผิด” เซียวชวี่เฟิงรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เขากลายเป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อใดกัน
“มีอะไรผิดหรือ” เขาไม่ได้จะลงมือทำเรื่องเช่นนี้กับพวกเขาทั้งสองเสียหน่อย เหตุใดจึงจำเป็นต้องหวาดกลัวด้วยเล่า เขายังต้องฝึกฝนเพิ่มอีกมากนัก
“แล้วที่เหลือล่ะ”
เฉียวเทียนช่างหรี่ตามองเซียวชวี่เฟิง “ข้าจะถลกหนังพวกมันให้ถึงกระดูก เหลือไว้เพียงแค่ส่วนที่เป็นศีรษะ จากนั้นก็ส่งพวกมันกลับไปพร้อมกับเนื้อของมันเอง เจ้าว่าฟังดูเป็นเช่นไร”
“แหวะ… เจ้าอย่าทำตัวชวนคลื่นไส้ได้ไหม” เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่เฉียวเทียนช่างพูดเขาก็ขนลุกไปทั้งตัว เหตุใดเจ้าหมอนี่จึงสามารถพูดเรื่องเช่นนี้ได้โดยที่ตาไม่กะพริบเช่นนี้
เขาตบบ่าเซียวฉีเทียนผู้ซึ่งมีท่าทีพะอืดพะอม “ฉีเทียน ข้าไม่ใช่คนดีมาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าเปิดเผยและเป็นกันเองกับพี่น้องของข้าก็จริง แต่สำหรับศัตรูของข้าแล้วนั้น ข้ามีวิธีการอันโหดเหี้ยมหลากหลายวิธีนักที่จะทำให้พวกมันได้ตายอย่างทรมานที่สุด”
เซียวฉีเทียนถึงกับพูดไม่ออกขณะมองเฉียวเทียนช่าง เขาควรจะดีใจใช่ไหมที่ตนนั้นเป็นพี่น้องของเฉียวเทียนช่าง ทำไมเขาจึงรู้สึกแปลกๆ ล่ะ
“เหลยอัน เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่” พลันเฉียวเทียนช่างก็หันไปมองเหลยอันและถามเขาขึ้นมา
เหลยอันไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเสียมากกว่า “นายท่าน อย่าเป็นห่วงเลยขอรับ ข้าจะจัดการให้เป็นอย่างดี” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปด้วยท่าทางกระตือรือร้น
เมื่อมองดูเหลยอันกลับออกไป เซียวฉีเทียนก็หันไปมองเฉียวเทียนช่างที่อยู่ข้างๆ แล้วก็อดเปรยขึ้นไม่ได้ว่า “สมกับเป็นคนที่เจ้าฝึกมากับมือ น่าคลื่นไส้ไม่ต่างจากเจ้าเลยสักนิด”
“ข้าจะไปนอนล่ะ พวกเจ้าสองคนคุยกันต่อก็ได้” เขาอยู่คุยกับทั้งสองมาเป็นเวลานานพอสมควร ตอนนี้เขาน่าจะกลับไปนอนกับภรรยาของตนได้แล้ว
เซียวฉีเทียนถลึงตา พวกเขายังอยู่ที่นี่ แต่หมอนี่กลับจะออกไปเสียแล้ว ช่วยอย่าสนใจภรรยามากกว่าเพื่อนตัวเองจะได้ไหม
“ฉีเทียน กลับกันเถอะ” เซียวชวี่เฟิงเองก็รู้ว่าพวกเขาคงรบกวนเฉียวเทียนช่างและภรรยามานานเกินไป นานโขจนทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
เซียวฉีเทียนยักไหล่ และกลับไปพร้อมกับเซียวชวี่เฟิง ภายในหัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเฉียวในวันพรุ่งนี้กันแน่
เฉียวเทียนช่างทิ้งปัญหานั้นไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ตอนส่งต่อให้เหลยอันจัดการ และเขาเองก็ไม่คิดจะให้ความสนใจกับมันมากไปกว่านี้
สำหรับผู้คนในตระกูลเฉียวที่กำลังหลับสนิท พวกเขายังคงไม่รู้ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เช้าวันต่อมา เมื่อข้ารับใช้ผู้หนึ่งมุ่งหน้าออกไปทำความสะอาดลานบ้าน นางก็มองเห็นสิ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงลานนั้น พลันนางก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง “กรี๊ด…”