บทที่ 111 ใส่ร้ายป้ายสี
เมื่ออุ้มเสี่ยวจื่อเซวียนมาถึงห้องของตน หลิงหลัวก็มองเสี่ยวจื่อเซวียนผู้ยังคงอยู่ในอาการตกใจด้วยความเป็นห่วง “นั่นมันอะไรกัน?”
เสี่ยวจื่อเซวียนเหมือนเพิ่งจะได้สติ นางคว้ามือของหลิงหลัวขณะร้องไห้คร่ำครวญ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร”
“หือ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียดเอง” หลังจากกล่าวเช่นนั้น หลิงหลัวก็ขมวดคิ้ว ผู้ใดกันที่จะเกลียดนางจนถึงขั้นลงมือกระทำการเช่นนี้ได้?
ถึงแม้จะมีจุดประสงค์เพื่อทำให้นางรู้สึกไม่ดี หรือเพื่อการข่มขู่ แต่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
เสี่ยวจื่อเซวียนนั้นกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่ หากนางแท้งเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นเขาจะเอาโทษคนทำให้ถึงที่สุด
หลังจากปลอบเสี่ยวจื่อเซวียน หลิงหลัวก็สั่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในทันที
หลักฐานทุกอย่างชี้ชัดไปที่หนิงเมิ่งเหยา หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ มันชี้ไปยังบุรุษซึ่งอยู่กับนาง
หลิงหลัวเม้มริมฝีปาก ก่อนขึ้นม้าและควบออกไปผู้เดียว หลังจากนั้นสองวัน เขาก็มาถึงหน้าประตูบ้านของหนิงเมิ่งเหยา
เมื่อเห็นคนที่อยู่หน้าประตู ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาก็มีรอยเย้ยหยัน “คราวนี้ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าอีกล่ะ?”
“ทำไม?”
“หืม?”
“ทำไมเจ้าต้องแกล้งให้เซวียนเอ๋อร์ตกใจด้วย? นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ หากไม่ระวัง นางอาจจะแท้งเอาได้ หนิงเมิ่งเหยา เจ้ากลายเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หลิงหลัวชี้นิ้วใส่หนิงเมิ่งเหยาและคำรามออกมา
การใส่ร้ายป้ายสีซึ่งเต็มไปด้วยแรงโทสะของหลิงหลัวทำให้หนิงเมิ่งเหยาชะงักไปเล็กน้อย เขาปรักปรำนาง? เพื่อผู้หญิงคนอื่น?
“โอ้? มนุษย์หรือเทพเจ้าองค์ใดพิโรธจนถึงกับทำให้ท่าน ผู้ซึ่งเป็นถึงทายาท ต้องถ่อมาหาข้าถึงหน้าประตู และใส่ความข้าเช่นนี้หรือ? หากท่านมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องพรรค์นี้ เช่นนั้นข้าก็ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้มีเวลามาเสียกับท่านหรอก” หนิงเมิงเหยากล่าวด้วยความรังเกียจ และหันหลังเพื่อจะกลับเข้าบ้าน
ไม่ปล่อยให้หนิงเมิงเหย่าปิดประตู หลิงหลัวคว้ามือของหนิงเมิ่งเหยาเอาไว้ “หนิงเมิ่งเหยา ข้าไม่สนใจว่าตอนนี้เจ้าจะทำอะไรอยู่ แต่ถ้าหากเจ้ายังดึงดันจะทำเรื่องนี้ต่อ เช่นนั้นข้าจะไม่ออมมือให้เจ้าอีก”
นางสะบัดมือของหลิงหลัวออก หนิงเมิ่งเหยามองหลิงหลัวด้วยความขยะแขยง “พูดออกมาตรง ๆ ดีกว่าว่าท่านต้องการอะไร? แล้วข้าไปทำอะไรให้กันแน่?”
“เจ้าส่งหัวคนตายไปที่บ้านของข้าทำไม?” หลิงหลัวถาม
หนิงเมิ่งเหยามีท่าทีราวกับนางเพิ่งได้ยินเรื่องตลกซึ่งน่าขำที่สุดเท่าที่เคยฟังมา แล้วนางก็กล่าวกับหลิงหลัวอย่างเสียดสีว่า “ท่านบอกว่าข้าส่งหัวคนไปที่บ้านท่าน? หลิงหลัว ข้ามีความสามารถที่จะทำอะไรเช่นนี้ได้เลยหรือ? ข้าเป็นเพียงหญิงสาวกำพร้าผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ แล้วท่านบอกว่าหัวคนงั้นหรือ? ข้าสงสัยจริงว่าข้าจะไปเอาหัวคนมาจากไหน? ท่านระแวงเกินไปหรือเปล่า?”
“เจ้า…”
“เหยาเหยา เหตุใดเจ้าจึงสนทนากับคนพรรค์นี้มากความนัก? เขาจะเข้าใจเจ้าหรือ?” เสียงของเฉียวเทียนช่างลอยมาจากอีกด้าน
เขาเดินเข้ามาข้างกายของหนิงเมิ่งเหยาก่อนโอบเอวนาง ปล่อยให้นางเอนตัวมาในอ้อมแขนของตน แล้วก็มองที่หลิงหลัว เฉียวเทียนช่างกล่าวว่า “พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าจำได้ว่าเมื่อสี่วันก่อนมีกลุ่มคนชุดดำประมาณเจ็ดแปดคนบุกมาที่นี่ และพยายามจะเอาชีวิตเรานี่ ข้าล่ะสงสัยนักว่าใครกันเป็นผู้ส่งพวกมันมา? เหยาเหยา เจ้าคิดว่าเราควรแจ้งเรื่องนี้หรือไม่?”
หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้า “ปล่อยไว้เช่นนั้นเถอะ อีกฝ่ายมีอำนาจชื่อเสียง และทางการก็คงจะปกป้องพวกเขาแน่นอน คนที่จะซวยไม่ใช่พวกเราที่ไปแจ้งหรอกหรือ?” หนิงเมิ่งเหยาตอบกลับด้วยถ้อยคำเหน็บแนม
“ก็จริง พวกเรามีฐานะอะไรกันเล่า? อีกฝ่ายนั้นถึงขนาดมีองครักษ์ลับเชียวนะ หากพวกเราไปแจ้งความ เช่นนั้นผู้ที่จะซวยเห็นจะเป็นฝ่ายเราแทนเป็นแน่แท้”
“ถูกของเจ้า เช่นนั้นเราก็ไม่ควรไปใส่ใจกับเรื่องนี้หรอก แต่ถ้าหากพวกเขายังอยากจะส่งตัวปัญหามาให้พวกเราอีก เช่นนั้นค่อยทำให้พวกเขารู้ว่าเรานั้นไม่ได้เป็นเหยื่อให้กลั่นแกล้งได้สบายมือนักหรอก” หนิงเมิ่งเหยาจ้องหลิงหลัวและกล่าวเน้นย้ำทีละคำ
หลิงหลัวขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าทั้งสองตั้งใจให้เข้าได้ยินบทสนทนานั้น เจ้าหมอนั่นบอกว่าเมื่อสี่วันก่อนเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นรึ? ไม่ใช่ว่าเป็นสองวันหลังจากเขากลับถึงบ้านหรอกหรือ? เหตุใดจึงประจวบเหมาะขนาดนั้นเล่า?
“สิ่งที่ข้าจะบอกก็คือ ท่านทายาทตระกูลหลิง หากท่านไม่มีสิ่งอื่นใดแล้ว ก็ขอให้ออกจากบ้านข้าไปด้วย แล้วอย่ามาที่นี่อีก บ้านเล็กๆ ของข้าคงไม่สามารถรองรับองค์พระประติมาผู้ยิ่งใหญ่แบบท่านได้” หนิงเมิ่งเหยาชี้นิ้วออกไปด้านนอกและบอกหลิงหลัวอย่างเย็นชา
หลิงหลัวมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ นางไล่เขา?
“เจ้าไล่ข้าหรือ?”
“หากเราไม่ทำเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราต้องปรนนิบัติพัดวีท่านแทนอย่างนั้นหรือ? ในครั้งนี้ มันเป็นเพียงแค่การลอบสังหารเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าครั้งต่อไปจะเป็นอะไร? ข้าหวังจริงๆ ว่าท่านซึ่งเป็นถึงทายาทผู้ยิ่งใหญ่ จะสงสารปุถุชนอย่างพวกเราบ้าง” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยหยัน ทำเอาหลิงหลัวรู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่มีที่สำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย
บทที่ 112 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า
เฉียวเทียนช่างรู้สึกไม่ชอบใจ เขามองหนิงเมิ่งเหยา ก่อนวางมือของเขาลงบนไหล่นางแล้วหันนางเข้ามาหาตัว “เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้าทำของว่างเอาไว้ มาสิ เจ้าของชิมดู”
“เจ้าได้เรียนทำพวกมันแล้วหรือ?” ดวงตาของของหนิงเมิ่งเหยาสว่างสดใสขึ้น ก่อนหน้านี้นางสั่งให้ชิงเสวี่ย และคนที่เหลือไปเก็บดอกบ๊วยมาสำหรับทำขนมบ๊วยทาน
เฉียวเทียนช่างเห็นว่านางชอบ เขาจึงใช้เวลาตลอดสองวันในการร่ำเรียนวิธีทำจากท่านยายฉิน
“ใช่แล้ว ถึงท่านยายฉินจะบอกว่ารสชาติใช้ได้ แต่ยังไงข้าก็ยังอยากให้เจ้าลองชิมดูอยู่ดี” เฉียวเทียนช่างพยักหน้า เหตุผลที่เขาไปหานางช้าไปหน่อยก็ด้วยสาเหตุนี้
“ถ้าเช่นนั้น เราไปกันเถอะ” นางขยับตัวให้พ้นจากมือของเฉียวเทียนช่างซึ่งวางอยู่บนไหล่ ก่อนยื่นมือออกมากุมมือของเขาไว้แทน แล้วทั้งสองก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน
เมินเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของหลิงหลัวโดยสมบูรณ์
เมื่อเห็นพวกเขาจากไปเช่นนี้ ดวงตาของหลิงหลัวก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าภายในหัวใจของหนิงเมิ่งเหยานั้นไม่มีที่ว่างสำหรับเขาอีกแล้ว
หลิงหลัวกลับไปด้วยความผิดหวัง และจู่ๆ ก็ไม่รู้แล้วว่าตนมาทำอะไรที่นี่กันแน่
การที่เขามาซักไซ้ไล่เลียงคนที่ตนรักเพียงเพื่อผู้หญิงคนอื่นเช่นนี้ ทำให้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางจึงไปตกหลุมรักคนอื่นในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ได้ ปัญหาทั้งหมดมันเกิดจากตัวเขาเองมาโดยตลอด
เสี่ยวจื่อเซวียนรับฟังการรายงานจากข้ารับใช้ของนาง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น แต่นางรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรได้ มันคงจะเป็นการดีกว่าถ้าปล่อยให้หลิงหลัวเข้าใจผิดเช่นนี้ต่อไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของหญิงผู้นั้น ถ้าหากเขารู้ว่านางส่งคนไปสะกดรอยตามเขา บางทีความอบอุ่นที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับเขาอาจจะแตกสลายลงก็ได้ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
เมื่อหลิงหลัวกลับมาถึง เขาเห็นเสี่ยวจื่อเซวียนนั่งอยู่บนเตียงนอนในสภาพเหม่อลอย เมื่อเห็นดังนี้หลิงหลัวก็ไม่สามารถเอ่ยถามในสิ่งที่เขาคิดอยู่ตลอดเวลาระหว่างทางกลับบ้านขึ้นมาได้
เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และข่มความสงสัยภายในหัวใจตนได้ เขาก็แย้มรอยยิ้มบางๆ ให้นาง “วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เช่นเดิม ว่าแต่ตลอดสี่วันมานี้ท่านหายไปไหนมาหรือ? ข้าไม่ได้เจอท่านตั้งนาน” เสี่ยวจื่อเซวียนแสร้งทำราวกับว่านางเพิ่งเห็นหลิงหลัวเข้ามาในห้อง หลังจากเขาเดินมาที่เตียงและนั่งลง นางก็จับมือเขาด้วยสองมือของตนและขยับมันเบาๆ
“ข้าเดินทางออกไปนอกเมืองมา”
“อ้อ เช่นนั้นนี่เอง”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านไม่พักผ่อนสักหน่อยล่ะ” เสี่ยวจื่อเซวียนไม่อยากให้ทั้งคู่อยู่ในความเงียบ นางจึงพยายามหาหัวข้อมาสนทนากับหลิงหลัว
หลิงหลัวส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่ได้หรอก ช่วงสองสามวันนี้ยังมีหลายสิ่งต้องทำอยู่ ข้าจะจัดการให้เสร็จก่อน แล้วจะมาอยู่กับเจ้า”
“ตกลง ข้าจะรอ”
“เอาล่ะ”
คนผู้หนึ่งจ้องมองหลิงหลัวเดินจากไปก่อนเขาจะก้าวออกมาจากด้านหลังของเสี่ยวจื่อเซวียน “ท่านคิดว่าเขารู้หรือเปล่า?”
เสี่ยวจื่อเซวียนยกยิ้ม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าหรือ?”
ชายผู้นั้นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ก็จริง มันไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับท่านเลยแม้แต่น้อย”
เสี่ยวจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยความพออกพอใจ นางยังคงต้องการชีวิตของหญิงสาวผู้นั้นอยู่ แต่รอคอยอีกสักหน่อยน่าจะเป็นการดีกว่าสำหรับนาง
อีกด้านหนึ่ง หนิงเมิ่งเหยาเอาขนมดอกบ๊วยซึ่งเฉียวเทียนช่างทำเข้าปาก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อร่อยเท่ากับฝีมือของนางหรือของท่านยายฉิน แต่สำหรับมือใหม่แล้วก็ยังถือว่าพอไปวัดไปวาได้อยู่
“อร่อย”
“ถ้าเจ้าชอบก็ดีแล้ว” เฉียวเทียนช่างนั้นค่อนข้างเป็นกังวลในตอนแรก แต่หลังจากการรับรองรสชาติจากหนิงเมิ่งเหยา เขาก็รู้สึกโล่งอก
หนิงเมิ่งเหยากินของว่างทั้งจานนั้นจนหมด แต่นางก็ยังรู้สึกหิวนิดๆ อยู่ดี
“อย่ากินมากนัก ถ้าเจ้าชอบ เดี๋ยวต่อไปข้าจะทำให้กินอีก”
“ขอบคุณมาก”
คุณยายฉินและชิงเซวียนมองทั้งสองยิ้มให้กัน ดีเหลือเกินที่คุณหนูมีคนผู้นี้อยู่ข้างกาย อย่างน้อยชายผู้นี้ก็ดูแลนางอย่างดี
ตั้งแต่นางกลับมาจากในเมือง พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างระหว่างทั้งสองที่ไม่เหมือนเดิม แต่มันไม่ได้แปลกประหลาดอะไร เพียงแต่พวกเขาดูสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด นางมักจะพูดคุยอะไรหลายต่อหลายอย่างร่วมกันกับเขา
ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มรับรู้ว่าชายผู้นี้นี่เองที่จะเป็นว่าที่นายท่านของพวกเขาต่อไปในอนาคต
หนิงเมิ่งเหยายื่นตัวไปข้างหน้า และวางศีรษะของตนลงบนโต๊ะ ท่าทางรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ช่วงนี้ทุกอย่างดูจะไปได้ดีในทางของมัน ดังนั้นนางก็เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรทำ
“เทียนช่าง ข้าเบื่อ”
“อืม แล้วเจ้าอยากทำอะไร?” เมื่อเห็นนางในสภาพนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่านางนั้นช่างเป็นคนที่ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้เลย
“ไม่รู้เหมือนกัน พวกข้ารับใช้ก็จัดการเรื่องเหล้าองุ่นแล้ว คุณยายฉินก็ช่วยข้าทำน้ำปรุงรส แล้วพี่หยางก็ช่วยข้าดูแลเป็ดไก่ด้วย…” หนิงเมิ่งเหยานับนิ้ว ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนไม่มีอะไรทำจริงๆ