บทที่ 105 ข่าวคราว
เซียวจื่อเซวียนพาเหล่าคนรับใช้ไปยังห้องหนังสือของหลิงหลัว ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีองครักษ์อยู่หน้าห้อง “ซื่อจื่อยังไม่ออกมาอีกหรือ”
“ข้าน้อยคารวะชายาซื่อจื่อ ซื่อจื่อยังไม่ออกมาขอรับ”
“พวกเจ้าถอยไปได้แล้ว ชายาซื่อจื่อผู้นี้จะเข้าไปเอง” เซียวจื่อเซวียนโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้พวกเขาล่าถอย
องครักษ์เฝ้าประตูทั้งสองคนมองหน้ากันและยังคงยืนขวางทาง “ชายาซื่อจื่อโปรดอภัยให้พวกเราด้วย แต่ซื่อจื่อบอกเราว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปด้านในขอรับ”
“บังอาจนัก!” ใบหน้าของเซียวจื่อเซวียนเย็นชาและกวาดตามององครักษ์ทั้งสองคนด้วยความโกรธเคือง
ในตระกูลนี้ นอกจากท่านอ๋องกับฮูหยินแล้ว นางจะต้องกลัวใครอีก แม้แต่ฮูหยินเองยังเห็นแก่หน้านางเพราะท่านพ่อของนางเป็นท่านอ๋องเซียว
หลิงหลัวที่อยู่ในห้องหนังสือได้ยินเสียงดังวุ่นวายด้านนอก ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความเกลียดชัง ชายหนุ่มเก็บภาพวาดใบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เจ้ามาวุ่นวายที่นี่ทำไมรึ”
เมื่อเซียวจื่อเซวียนได้ยินน้ำเสียงของหลิงหลัว นางก็รู้สึกผิด “ท่านพี่ ข้าเพียงได้ยินมาว่าที่เหลาสุรานั้นมีรายการอาหารใหม่ ข้าจึงอยากชวนท่านไปกินด้วยกัน”
“เข้าใจแล้ว รอข้าด้านนอกก่อนเถิด หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไปเอง” หลิงหลัวขมวดคิ้ว เขาอยากจะเอ่ยคำปฎิเสธ แต่หลังจากเห็นสายตาคาดหวังจากหญิงสาว เขาก็จำต้องตกลง
ใบหน้าของนางแย้มรอยยิ้มออกมา “รู้แล้ว ข้าจะรอท่านอยู่ด้านนอก”
หลิงหลัวส่งเสียงในลำคอ และมองอีกฝ่ายจากไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ‘เมื่อเลือกเดินทางผิดเพียงหนึ่งก้าว เขาก็ไม่อาจย้อนกลับหลังได้อีกเลยสินะ’
หลังจากกลับไปที่ห้องของตนเองและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสิ้น หลิงหลัวและเซียวจื่อเซวียนก็เดินทางไปยัง เหลาสุราด้วยกัน
“ข้าขอห้องเงียบๆ นะ” หลิงหลัวออกคำสั่งอย่างแผ่วเบา
“เชิญทางนี้เลยขอรับ”
หลิงหลัวเดินขึ้นบันไดตามเสี่ยวเอ้อร์ไป และเมื่อเซียวจื่อเซวียนเห็นผู้คนตรงห้องโถงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
นางเดินตามสามีไปที่ห้อง และอดที่จะบ่นไม่ได้เมื่อไปถึง “มีผู้คนในเหลาสุราเต็มไปหมดเลย บางคนยังดูไม่ชอบมาพากลอีกด้วย! ”
“จื่อเซวียน อย่าพูดเช่นนั้นอีก” หลิงหลัวมองผู้เป็นชายาและตำหนิอย่างเยือกเย็น
แม้คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่เขาจะไม่รู้ได้เช่นไรกันว่าชายผู้อยู่เบื้องหลังเหลาสุรานั้นคือเซียวฉีเทียนแห่งราชวงศ์ฉี
ผู้คนที่สามารถมาทานอาหารที่นี่ได้ จะต้องเป็นคนมีฐานะและมีอิทธิพลเท่านั้น หากนางเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา อาจจะทำให้เกิดปัญหาเอาได้
เซียวจื่อเซวียนอยากจะพูดโต้ตอบ แต่เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของหลิงหลัว นางก็ผงกศีรษะอย่างยอมจำนน “เข้าใจแล้ว”
“ดี”
จากนั้นเขาจึงหันกลับไปหาเสี่ยวเอ้อร์และเอ่ยขึ้น
“ข้าต้องการรายการอาหารที่ดีที่สุดของร้าน และสุราสักสองสามกา”
“โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ท่านซื่อจื่อ แต่เราขายสุราดอกแอปริคอท สุราลูกพลัม สุรากลั่นบริสุทธิ์ และสุราไผ่เขียวไปจนหมดแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้
เดิมทีหลิงหลัวนั้นมีท่าทีเฉื่อยชา แต่เมื่อเขาได้ยินวาจาจากเสี่ยวเอ้อร์คนนี้ ก็เบิกตากว้าง “เจ้าพูดว่าสุราที่นี่ขายจนหมดเกลี้ยงเลยหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์คนดังกล่าวอึกอักและเกาศีรษะของตนเองด้วยความรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มที่เร่งเร้าตัวเขาให้ตอบ “พูดมาสิ”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นเป็นคนมีไหวพริบและรวบรวมสติของตนกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “สุราลูกพลัม สุราดอกแอปริคอท สุรากลั่นบริสุทธิ์ และสุราไผ่เขียวหมดแล้วขอรับ”
หลิงหลัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ‘สุราลูกพลัมรึ ต้องเป็นนางอย่างแน่นอน นางต้องเป็นคนหมักเหล้าเหล่านี้แน่ๆ ’
หญิงสาวเคยเป็นคนโดดเด่น นางสนใจจะหมักเหล้าทุกชนิดที่นางต้องการ
นางเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหล้าระดับนานาชาติที่โด่งดัง ดังนั้น สิ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับนางมากที่สุดก็คือเหล้าไม่ใช่หรือ
เซียวจื่อเซวียนเห็นท่าทีของหลิงหลัวแล้วรู้สึกหวั่นใจ “ท่านพี่ มีอะไรหรือ ท่านเป็นอะไรไป”
ความรู้สึกภายในใจของชายหนุ่มแทบปะทุออกมา หลังจากได้ยินถ้อยคำจากผู้เป็นชายา เขารู้สึกเย็นยะเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นจัดหนึ่งถัง ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัดเสียจริง
“ข้าไม่เป็นไร” หลิงหลัวยิ้มและหันไปหาเสี่ยวเอ้อร์ “แล้วเจ้ามีสุราชนิดอื่นหรือไม่”
“มีขอรับ มีสุราบางชนิดพร้อมดื่มพอดีเลยขอรับ”
“ไปเอามา”
“ขอรับ”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์หนุ่มจากไป ดวงตาของหลิงหลัวก็ตกอยู่ในภวังค์ เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ เขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทีของนางดูน่ากลัวขึ้นมาทันที
‘นางเคยเห็นหลิงหลัวมีท่าทีเช่นนี้มาก่อนเสียเมื่อไหร่ ทำไมเขาต้องดูเปลี่ยนไปเพียงเพราะชื่อของสุราด้วยเล่า’
‘เขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับสุรานั่นกันแน่นะ’ คำถามค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจของเซียวจื่อเซวียนจนนางรู้สึกสับสน
บทที่ 106 สืบเรื่องราว
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มก็กลับมาพร้อมถือสุราสองสามกาไว้ในอ้อมแขน กลิ่นหอมละมุนอันคุ้นเคยจากสุรานั้น ทำเอาหลิงหลัวสรรหาคำบรรยายไม่ได้ เขารู้เพียงว่าตนเองนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก
เซียวจื่อเซวียนมองดูชายหนุ่มถือกาสุราราวกับเป็นลูกน้อยของตนเอง ทั้งยังมองดูมันอย่างหลงใหลอีกด้วย สัญชาตญาณของผู้หญิงนั้นส่งสัญญาณบอกว่าผู้หมักเหล้านี้จะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับหลิงหลัวอย่างแน่นอน และหากคนผู้นั้นกลับมา ก็คงจะต้องทำลายทุกอย่างที่นางมีอยู่ตอนนี้ลงเป็นแน่
‘ไม่ นางจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น’
“ท่านพี่ สุรานี้กลิ่มหอมนัก”
“ใช่แล้ว รสชาติของมันก็ดีมากอีกด้วย” เขารินสุราให้กับชายาของตนขณะเอ่ยขึ้น “เจ้าลองชิมดูสิ”
เซียวจื่อเซวียนระงับความโกรธในจิตใจและยกสุราขึ้นจิบ หลังจากลิ้มรสชาติของมันแล้ว ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไป “ดีมากจริงๆ ด้วย”
“ใช่ไหมเล่า เหล้าที่นางเป็นคนบ่มจะรสชาติแย่ได้เช่นไร” หลิงหลัวพูดพึมพำถ้อยคำสุดท้ายของประโยคนั้นเพียงแผ่วเบา ฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดนอกจากตัวเขาเองได้ยิน
เซียวจื่อเซวียนมองดูหลิงหลัว และสัมผัสได้ว่าวันนี้เขามีบางอย่างผิดแปลกไป
อาหารมื้อนี้จบลงพร้อมกับบรรยากาศอันกระอักกระอ่วนใจ
หลังจากกลับมาที่บ้าน หลิงหลัวก็รีบไปหาคนสนิทของตนอย่างกระตือรือร้น และสั่งให้พวกเขาไปสืบหาสถานที่ที่เซียวฉีเทียนรับซื้อสุรามาขาย
ในวันถัดมา สีหน้าของเซียวจื่อเซวียนก็บูดบึ้ง เมื่อก่อนนั้นหลิงหลัวมักคิดถึงแต่นางเสมอ เมื่อนางเป็นทุกข์ เขาก็จะเข้ามาปลอบประโลม แต่ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ใส่ใจอะไรเลย แม้แต่คำพูดของเขาที่เอ่ยกับนางยังฟังดูเหมือนพูดผ่านๆ ไปเท่านั้นเอง
เซียวจื่อเซวียนข่มความโกรธไว้ในใจ และเดินมาหาหลิงหลัวพร้อมกับรอยยิ้ม แต่กลับต้องรับรู้ว่าเขาออกไปข้างนอก
ในที่สุด เซียวจื่อเซวียนก็ไม่อาจระงับอารมณ์ของตนเองได้อีก เมื่อความโมโหนั้นปะทุจนล้นออกมา นางจึงลงโทษแม่บ้านและคนรับใช้ทุกคนที่เฝ้ายามตรงประตูทางเข้าห้องหนังสือของหลิงหลัว
และแล้ว เซียวจื่อเซวียนก็สามารถเข้ามาในห้องหนังสือของผู้เป็นสามีได้เป็นครั้งแรก ซึ่งมันมิได้แตกต่างจากห้องหนังสือของคนอื่นๆ เลย
นางขมวดคิ้ว ‘หากห้องหนังสือของเขาเหมือนกับห้องของคนอื่นๆ แล้วทำไมจะต้องมีองครักษ์เฝ้าหน้าห้องเพื่อกีดกันนางอย่างแน่นหนาด้วยเล่า’
หลิงหลัวนั้นขัดขวางนางไม่ให้เข้าห้องอย่างจริงจัง ในอดีตนั้น หากนางเข้าใกล้ห้องหนังสือของเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะไม่พอใจอย่างยิ่ง นางจึงคาดเดาว่าเขาคงเก็บความลับบางอย่างไว้ในนี้
อย่างไรก็ดี เซียวจื่อเซวียนกลับไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติไป มันมีเพียงชั้นหนังสือ และม้วนรูปภาพ เป็นต้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้น เขากลับไม่ให้นางเข้าไปข้างในอยู่ดี
เซียวจื่อเซวียนขบริมฝีปากแน่นและหันหลังเพื่อจะเดินออกไป ในจังหวะนั้นเอง นางเหลือบเห็นแจกันหนึ่งใบบนชั้นหนังสือ และเกิดความคิดขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่ามีม้วนรูปภาพอยู่ในนั้นมากมาย
เซียวจื่อเซวียนแอบเดินเข้าไปและเอื้อมหยิบม้วนภาพในแจกันนั้น ก่อนจะคลี่ออกอย่างช้าๆ และแล้วใบหน้าของนางก็บึ้งตึงทันที เมื่อเห็นภาพวาดของคนๆ หนึ่งในนั้น
มันเป็นภาพวาดของหญิงสาวผู้งดงามอย่างน่าตะลึงคนหนึ่ง
เซียวจื่อเซวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อเปิดดูภาพวาดแต่ละใบในแจกันใบนี้ ‘เพราะอย่างนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงไม่อนุญาตให้นางเข้ามาในห้องหนังสือนี้ เป็นเพราะเรื่องนี้สินะ’
มีม้วนรูปภาพอยู่มากมายในนี้ และมันก็เป็นภาพวาดของหญิงสาวคนเดียวกันทั้งสิ้น
“ซื่อจื่อ”
เสียงของคนรับใช้ดังขึ้นจากด้านนอก เซียวจื่อเซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นหันมองทางประตูอย่างเศร้าสร้อย
หลิงหลัวกลับมายังห้องหนังสือโดยมิได้นัดหมาย หลังจากเปิดประตูเข้ามา แล้วพบกับเซียวจื่อเซวียน ใบหน้าของเขาก็ถมึงทึงทันที
ท่าทีของเขาดูน่ากลัวยิ่งกว่าเก่า หลังจากเห็นว่าภาพวาดทั้งหลายนั้นถูกโยนลงไปกองกับพื้น
หลิงหลัวพุ่งเข้ามาที่โต๊ะของตนเองและเก็บภาพวาดขึ้นจากพื้น โดยไม่สนใจแววตาและใบหน้าอันเศร้าหมองของเซียวจื่อเซวียนที่จับจ้องมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
ความโกรธของผู้เป็นภรรยาเริ่มปะทุขึ้น เพราะคิดว่าหลิงหลัวจะเข้ามาปลอบประโลมและอธิบายเรื่องราวเหล่านี้กับนาง แต่ทว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาเก็บภาพวาดต่างๆ บนพื้นอย่างเงียบๆ ราวกับว่านางเป็นคนไม่มีเหตุผล
“หลิงหลัว ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเก็บพวกมันขึ้นมา ท่านได้ยินข้าหรือไม่ ข้าขอสั่งให้ท่านหยุดเก็บภาพวาดพวกนั้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้” เซียวจื่อเซวียนเห็นว่าผู้เป็นสามีไม่สนใจตนเอง จึงเดินเข้าไปและกระชากภาพวาดนั้นออกจากมือของเขา ก่อนจะฉีกทิ้งเป็นชิ้นๆ
เมื่อหลิงหลัวเห็นว่าภาพวาดนั้นถูกทำลาย จึงหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเยือกเย็น “ออกไปเสีย”
“ท่านพูดว่าอะไรนะ” เซียวจื่อเซวียนมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าบอกให้เจ้าออกไปซะ” น้ำเสียงของหลิงหลัวเย็นชา และไม่มีวี่แววของความรักใคร่หลงเหลืออยู่เลย
เซียวจื่อเซวียนหัวเราะ “หลิงหลัว คอยดูเถอะ”