บทที่ 81 แอบฟัง
หลังจากทานอาหารเสร็จ แม่นมฉิน และคนอื่นๆ ก็ทำความสะอาดบ้านกัน ส่วนหนิงเมิ่งเหยานั้นได้พาชิงเสวี่ยไปยังหมู่บ้านพร้อมกับถือเหยือกไวน์สองใบไปด้วย
หนิงเมิ่งเหยาเลือกที่จะนำไวน์มาส่งให้ชายหนุ่มในเวลานี้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านทุกคนกำลังรับประทานอาหารในบ้านของตัวเองกันอยู่ และแทบจะไม่มีผู้ใดอยู่ข้างนอกเลย
แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หากมีคนอื่นเห็นเข้า แต่หญิงสาวก็ไม่อยากมีปัญหา จึงพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอกับคนอื่นๆ ให้มากที่สุด
เมื่อทั้งสองมาถึง เฉียวเทียนช่างนั้นกำลังนั่งกินอาหาร และอ่านหนังสืออยู่ตามลำพัง เมื่อชายหนุ่มเห็นหนิงเมิ่งเหยาเดินใกล้เข้ามา เขาก็รู้สึกฉงนใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันเล่า แล้วทานข้าวมาหรือยัง”
แม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันด้วยวาจาที่ดูสนิทสนมเป็นพิเศษ แต่ชายหนุ่มกลับดูปกติทั่วไป ในขณะที่หนิงเมิ่งเหยามิได้สนใจนัก หญิงสาวชี้ไปทางเหยือกไวน์สองใบที่ชิงเสวี่ยกำลังถืออยู่ “นี่เป็นไวน์ที่เจ้าเคยช่วยหมัก ข้านำมาให้เพียงสองเหยือกเพื่อจะได้ดื่มกินก่อน เมื่อเจ้าย้ายเข้าบ้านใหม่แล้ว ข้าจะนำไวน์ส่วนที่เหลือมาให้”
ดวงตาของเฉียวเทียนช่างเป็นประกาย ชายหนุ่มลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ในช่วงที่หนิงเมิ่งเหยากำลังหมักไวน์นั้น เขาก็คิดอยู่เสมอว่าหากมันบ่มเสร็จเมื่อไหร่ จะต้องลองชิมให้ได้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นจนเขาลืมสนิท
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” เฉียวเทียนช่างรับเหยือกไวน์มาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนชี้เก้าอี้ข้างๆ “เข้ามานั่งก่อนสิ”
“ตกลง” หนิงเมิ่งเหยาตอบรับคำ เพราะเห็นว่าที่บ้านไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว
ชิงเสวี่ยยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาว ก่อนจะเกิดแววตาสงสัยขณะฟังทั้งสองสนทนากัน แม้ว่านางจะเคยเห็นคุณหนูของตนพูดคุยกับผู้ชายมาก่อนก็จริง แต่ไม่เคยเห็นหญิงสาวผู้นี้พูดคุยกับใครในลักษณะนี้มาก่อน หรือแม้แต่ตอนที่นางคุยกับหลิงหลัวก็ไม่เหมือนกับตอนนี้
หลังจากชิงเสวี่ยฟังทั้งสองพูดคุยกัน จึงรับรู้ได้ว่าหญิงสาวผ่อนคลาย และดูเป็นตัวเองอย่างมากต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้ และมันก็เป็นจริงตามนั้น
หนิงเมิ่งเหยาไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าทุกครั้งที่สนทนากับเฉียวเทียนช่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ชายหนุ่มมักจะชวนคุยต่อได้อย่างลื่นไหล ทั้งยังแสดงความคิดเห็นของตนออกมาอีกด้วย จึงทำให้หญิงสาวรู้สึกสนิทสนมกับชายหนุ่มถึงเพียงนี้
เสียงของเฉียวเทียนช่างลอดผ่านกำแพง จนใบหน้าของหยางชุ่ยถมึงทึง เนื่องจากได้ยินเสียงของพวกเขาอย่างชัดเจน ‘เขาเย็นชากับนาง หนำซ้ำยังทำสีหน้า และพูดจาไม่ดีใส่ แต่กลับทำดีกับหญิงสาวอีกคน เฉียวเทียนช่างกล้าดีนักนะ’ นางคิด
เหล่าชาวบ้านมักจะพูดกันว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนดี หยางชุ่ยอยากจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นได้เห็นตัวตนแท้จริงของหญิงสาว ว่าจริงๆ แล้วนางเป็นเพียงหญิงสาวผู้สำส่อนเท่านั้น
เมื่อคิดดังนั้น หยางชุ่ยจึงวางแผนในใจ นางแอบนั่งฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ด้านนอก แต่กลับพบว่าฟังคำพูดของทั้งสองคนไม่ออก หรือหากได้ยิน ก็เป็นเพียงเสียงเบาๆ เท่านั้น
“ที่บ้านของเจ้ามีกระดานหมากล้อมหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เฉียวเทียนช่างประหลาดใจกับคำถามนั้น ก่อนจะส่ายศีรษะ “ข้าไม่มีหรอก”
“ชิงเสวี่ย กลับบ้านไปเอากระดานหมากล้อมมาหน่อยสิ จู่ๆ ข้าก็อยากเล่นมันขึ้นมาน่ะ” หญิงสาวขอให้ชิงเสวี่ยช่วยด้วยเสียงแผ่วเบา
หนิงเมิ่งเหยาชอบเล่นหมากล้อม แถมยังเล่นเก่งอีกด้วย แต่ทว่าชิงเสวี่ย และคนอื่นๆ นั้นไม่ชอบเล่นนัก หญิงสาวจึงไม่มีผู้ใดเล่นด้วย แต่เมื่อได้รู้จักกับเฉียวเทียนช่างโดยบังเอิญขณะกำลังกลั่นไวน์นั้น ทำให้ทั้งคู่ได้เล่นด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง
ชิงเสวี่ยผงกศีรษะ และเดินจากไปเพื่อนำกระดานหมากล้อมมาให้
“เจ้าคงจะคันมือมากสินะ” เฉียวเทียนช่างเอ่ยเย้า ก่อนจะมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างผ่อนคลาย
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่อยากเล่น”
“ข้ามิได้พูดเช่นนั้นเสียหน่อย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าตกลง”
น้ำเสียงอันใกล้ชิดสนิทสนมของหนุ่มสาวทำให้หยางชุ่ยแทบคลั่ง
ไม่นานนัก ชิงเสวี่ยก็กลับมาพร้อมกระดานหมากล้อม เฉียวเทียนช่างนำกระดานหมากล้อมวางไว้บนโต๊ะขนาดเล็กที่มีของว่างนิดหน่อยอยู่ด้านบน โดยหนิงเมิ่งเหยาเล่นหมากสีขาว ส่วนชายหนุ่มเล่นหมากสีดำ และแล้วทั้งสองคนก็เริ่มเล่นหมากล้อมกัน จนลืมสนิทว่าวันนั้นเป็นวันปีใหม่
เมื่อเริ่มวางหมาก พวกเขาก็ลืมสิ้นทุกสิ่งในทันที ทำให้ชิงเสวี่ยรู้สึกเบื่อหน่าย จนต้องหยิบหนังสือเกี่ยวกับบันทึกการเดินทางของเฉียวเทียนช่างมาอ่าน ซึ่งนางเพลิดเพลินกับมันเป็นอย่างดี
ในลานบ้านแห่งนี้ประกอบด้วยคนทั้งสามคน โดยหนุ่มสาวสองคนนั้นกำลังหมกมุ่นกับการเล่นหมากล้อม ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังอ่านหนังสือ ทำให้พื้นที่ตรงนี้มีเพียงบทสนทนาเบาๆ อันเงียบสงบระหว่างเฉียวเทียนช่าง และหนิงเมิ่งเหยาเท่านั้น
ตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มเล่นหมากล้อมกัน หยางชุ่ยก็ไม่อาจได้ยินเสียงอะไรอีก พลางคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อดูเวลา ก็พบว่ามันนานเกินไปแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้น นางจึงเดินออกมาจากประตู
บทที่ 82 ให้ร้ายไม่สำเร็จ
หยางชุ่ยเดินไปยังประตูหน้าบ้านของเฉียวเทียนช่าง ก่อนจะตะโกนสุดเสียง “นี่! พวกเจ้าสองคนทำอะไรกันอยู่น่ะ!” นางทำตัวราวกับเป็นภรรยาผู้จับได้ว่าสามีกำลังนอนอยู่กับชู้สาวอีกคน
หนุ่มสาวผู้เล่นหมากล้อมกันอยู่ต่างได้ยินเสียงดังจากหน้าประตู ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ดวงตาของเฉียวเทียนช่างแสดงออกถึงความรังเกียจ “พี่เฉียว ดูเหมือนจะมีคนไม่อยากให้เราเล่นหมากล้อมกันอย่างสงบสุขนะ”
“ช่างเถอะ เรามาเล่นกันต่อดีกว่า” พวกเขาเล่นมาถึงขนาดนี้ จะยอมให้มันสูญเปล่าได้เช่นไรกันเล่า ไม่มีทาง
หนิงเมิ่งเหยาจ้องกระดานหมากล้อม และไม่อยากจะหยุดเล่นเช่นกัน ทั้งคู่จึงเล่นหมากล้อมตานั้นกันต่อ
เมื่อผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของหยางชุ่ย จึงเดินเข้ามาเพราะอยากร่วมวงซุบซิบนินทา “เจ้าชุ่ย ทำอะไรอยู่น่ะ” มันเหมาะสมหรือที่จะทำตัวเช่นนี้ในวันปีใหม่
หยางชุ่ยชี้ไปทางห้องด้านในด้วยความรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ “พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่น่ะ”
กลุ่มผู้คนต่างคิดว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน จึงชะเง้อคอเพื่อสอดส่องดู แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสงสัย นอกจากข้ารับใช้ของหนิงเมิ่งเหยากำลังอ่านหนังสืออยู่ตรงมุมหนึ่ง ในขณะที่เฉียวเทียนช่าง และหนิงเมิ่งเหยาก็กำลังเล่นหมากล้อมด้วยกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าชุ่ย พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรน่าสงสัยนี่นา”
“ชายหญิงอยู่ร่วมห้องเดียวกัน มันจะเป็นเรื่องอื่นได้เช่นไรกันเล่า” หยางชุ่ยตะโกนร้องสุดเสียง
ผู้คนรอบข้างต่างกรอกตาใส่ พลางอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ “ข้าว่าเจ้าควรดูให้ชัดเจนก่อนจะพูดอะไรดีกว่านะ เจ้าชุ่ย พวกเขาทั้งสองคนกำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีข้ารับใช้ของหนิงเมิ่งเหยาอยู่ด้วยอีกคนนะ แล้วมันจะเป็นการอยู่ด้วยกันตามลำพังของหญิงชายอย่างที่เจ้าบอกได้เช่นไรกันเล่า”
หยางชุ่ยอ้ำอึ้งไป นางได้ยินเพียงเสียงของหนิงเมิ่งเหยา และเฉียวเทียนช่างเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงของคนอื่นเลยสักนิด
เมื่อเห็นว่าทุกคนกล่าวโทษตน นางก็ยังไม่ยอมเชื่อ และเปิดประตูเข้าไปเพื่อจะพิสูจน์ความจริง ก่อนพบว่าตรงลานบ้านนั้น มีคนสามคนกำลังนั่งทำกิจกรรมของตัวเองกันอยู่จริงๆ
แม้ว่าเดิมทีเฉียวเทียนช่างจะอยากเล่นหมากล้อมต่อให้จบ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะเล่นหมากล้อมกันต่อไม่ได้แล้วล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น ไว้เล่นกันวันหน้าก็ได้” ชายหนุ่มเก็บเม็ดหมากล้อมใส่ในกล่องพลางพูดอย่างไม่มีทางเลือก เนื่องจากถูกรบกวนจากกลุ่มชาวบ้านภายนอกจนไม่มีสมาธิอีกแล้ว
“เอาล่ะ ชิงเสวี่ยเก็บของกันเถอะ เดี๋ยวเราจะกลับกันแล้ว”
“ได้เลยเจ้าค่ะ คุณหนู” ชิงเสวี่ยเก็บกระดานหมากล้อม ก่อนถือมัน และเดินตามหนิงเมิ่งเหยาไป
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังเดินผ่านประตู ก็พบว่ามีผู้คนมากมายยืนอออยู่ตรงนั้น นางมองดูอย่างสงสัย ก่อนเอ่ยถาม “ท่านป้าๆ ทั้งหลาย มาทำอะไรที่นี่กันหรือ”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร เมิ่งเหยา แล้วเจ้าทำอะไรอยู่เล่า”
“อ้อ ข้าเพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จ และไม่มีอะไรทำ จึงแวะมาเล่นหมากล้อมกับพี่เฉียวน่ะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้มพลางชี้ไปทางกระดานหมากล้อมที่ชิงเสวี่ยกำลังถืออยู่
พวกเขาได้ยินดังนั้นก็ร้อง ‘อ๋อ’ โดยไม่ติดใจในเรื่องนี้อีก จากนั้นจึงหลีกทางให้หญิงสาวเดินต่อ
หลังจากนางเดินไปได้เพียงสองก้าว หยางชุ่ยก็กรีดร้องขึ้นในทันที “หนิงเมิ่งเหยา นังผู้หญิงสำส่อนไร้ยางอาย! เจ้ามายั่วยวนพี่เฉียว แล้วยังจะกล้าโกหกว่าเล่นหมากล้อมอีก!” เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกอิจฉาริษยาอีกฝ่าย
เรื่องของเฉียวเทียนช่างนั้น ทำให้จิตใจของนางราวกับโดนวิญญาณชั่วร้ายครอบงำ ‘หากนางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังเลย’
นางเฉินผู้อยู่ด้านในบ้านนั้นได้ยินคำพูดคำจาของหยางชุ่ยก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก จึงเดินออกมาแล้วเห็นว่าผู้เป็นลูกสาววางตัวไม่ดีนัก ทั้งยังมีผู้คนกำลังชี้หน้านางอยู่เช่นกัน นางเฉินเผยให้เห็นสีหน้าถมึงทึงในทันที ก่อนจะตบหน้าหยางชุ่ย “เจ้าทำให้เราอับอายไม่พออีกหรือไร อยากจะทำลายชื่อเสียงของพี่ชายเจ้าเช่นนั้นหรือ”
ปีหน้าหยางฮว๋ายกำลังจะเข้าสอบขุนนางแล้ว หากเขาสอบผ่าน นางจะได้ขึ้นเป็นนายหญิงผู้มีเกียรติ เมื่อถึงเวลานั้น นางจะจัดการเด็กสาวคนนั้นเอง อยากรู้นักว่าจะยังยโสโอหังได้อีกหรือไม่!
แต่ลูกชายของนางได้ชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างละเอียดแล้ว โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดนั้น หากพวกเขายังสร้างปัญหาเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงช่วงการสอบแล้วละก็ เขาจะไม่อาจขึ้นเป็นใต้ท้าวได้เลย ดังนั้นในช่วงเวลานี้พวกเขาจึงควรใช้ชีวิตอย่างสงบ และไม่ก่อเรื่องวุ่นวายอีก
หากสหายร่วมสถานศึกษาของหยางฮว๋ายรู้เรื่องเข้า เขาคงจะต้องเสียหน้าอย่างมาก
นางเฉินจึงตบหน้าหยางชุ่ย เพราะเห็นแก่คำพูดของหยางฮว๋ายนั่นเอง
…………………………………