บทที่ 51 หยางชุ่ยโดนตบ
คำพูดของหวังไล่จื่อทำให้ชาวบ้านเอะอะขึ้นมา พวกเขาต่างจ้องมองนางเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา นี่นางถึงกับจ่ายเงินเพื่อทำลายความบริสุทธิ์ของหญิงพรหมจรรย์จริงๆ หรือ นางต้องโหดร้ายเพียงใดกัน?”
ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งทนไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นว่าตัวเองอาวุโสกว่านางเฉินตะโกนขึ้นมา “นางเฉิน ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ท่านอยากโดนฟ้าผ่าตายเช่นนั้นหรือ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย? นางไม่ใช่หญิงสาวในตระกูลท่านเสียหน่อย” นางเฉินแค่นเสียงฮึและกล่าวอย่างไม่พอใจ
ในหมู่บ้านไป๋ซานนั้นมีเพียงบุตรชายของนางผู้เดียวที่ได้เป็นซิ่วไฉ และนี่คือคุณสมบัติที่ทำให้นางพิเศษกว่าผู้อื่น แล้วยายเฒ่าพวกนี้มีสิทธิ์อะไรจึงมาทำตัววางท่าใส่นางเช่นนี้? พวกนางไม่รู้ตัวหรือว่าตนอยู่ในฐานะใด
ชาวบ้านผู้อาวุโสซึ่งโดนตอกกลับมาเช่นนั้นโกรธจนตัวสั่น เขาถลึงตาใส่นางเฉิน “ได้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านั้นจะเป็นคนที่ต่ำทรามถึงเพียงนี้”
นางเฉินแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “บุตรชายของข้าเป็นซิ่วไฉเพียงผู้เดียวในหมู่บ้านไป๋ซาน ท่านจะทำอะไรข้าได้?”
นั่นประไร พวกเขาจะทำอะไรนางเฉินได้? ลูกชายนางนั้นมิจำเป็นต้องคุกเข่าแม้อยู่ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองเชียวหนา แล้วคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะทำอะไรได้กันเล่า?
ฝูงชนต่างมองหน้ากันไปมา ยามเมื่อหนิงเมิ่งเหยาเยาะขึ้นมาว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าซิ่วไฉในตระกูลท่านอีก ไปสะสางเรื่องนี้กันในศาลก็แล้วกัน” นางกล่าว และลากหวังไล่จื่อออกไป ความหมายในคำพูดของนางนั้นชัดเจนแล้ว เพราะท่านกล่าวว่าข้าคงไม่สามารถทำอะไรกับท่านได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปให้ศาลตัดสิน และรอดูกันเถิดว่าท่านเจ้าเมืองจะว่าอย่างไรกับเรื่องการทำให้ความบริสุทธิ์ของหญิงผู้หนึ่งนั้นแปดเปื้อน
หวังไล่จื่อรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสุดซึ้ง เหตุใดเขาจึงตกลงทำตามแผนของนางเฉินกัน? นี่มัน….นี่มันเป็นการเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งชัดๆ เลยมิใช่หรือ!
“ท่านบรรพชน ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปสักครั้งเถิด”
“เงียบปากเสีย”
“ขอรับ ข้าจะเงียบ” หวังไล่จื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นหงุดหงิดเต็มที เขารีบปิดปากตัวเองทันที มิฉะนั้นเขาคงจะยิ่งไปกระตุ้นให้นางโมโหยิ่งขึ้น
นางเฉินเห็นดังนั้นก็รู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาเอาจริง ภายในหมู่บ้านไป๋ซานทั้งหมดนั้น นางมิเคยกลัวผู้ใด และประพฤติตัวอยู่เหนือทุกคน รวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าหากเป็นการไปที่ศาล นั่นช่างเป็นเรื่องน่าหวั่นเกรงนัก นางไม่กล้าไป
“หนิงเมิ่งเหยา นางแพศยา หยุดเดี๋ยวนี้” นางเฉินกรีดร้องด้วยเสียงอันแหลมสูง
“แพศยา เรียกใครหรือ?”
“แพศยาเรียกเจ้านั่นล่ะ” นางเฉินตอบไปตรงๆ โดยไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี
หนิงเมิ่งเหยามีสีหน้าเหมือนคนเพิ่งค้นพบ นางพยักหน้าขึ้นลง “นางแพศยาเป็นผู้เรียกข้านี่เอง มิน่าเล่าข้าถึงว่าข้าได้กลิ่นแปลกๆ”
บัดนี้ หากนางเฉินยังคงไม่เข้าใจก็คงเสียชาติเกิด นางชี้นิ้วอันสั่นเทาไปที่หนิงเมิ่งเหยา “เจ้า…. เจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าจะต้องการอะไร? ไม่ใช่ว่านั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการหรอกหรือ? ข้าไปเผาบ้านท่านหรือลักพาตัวคนในตระกูลท่านมาหรือ? เหตุใดท่านจึงต้องใช้แผนการอันชั่วช้านี้เล่นงานข้าด้วย?” พวกนางคิดว่านางเป็นเพียงแค่หมอนนุ่มๆ ที่จะบีบจะอัดตอนไหนก็ได้อย่างนั้นหรือ?
นางเฉินไม่รู้จะตอบคำไหน หากนางตอบว่าเป็นเพราะเฉียวเทียนช่าง เช่นนั้นชื่อเสียงของหยางชุ่ยก็คงถูกทำลาย ยิ่งกว่านั้น นางเองก็ไม่คิดว่าเฉียวเทียนช่างเหมาะสมกับบุตรสาวของนางด้วยเช่นกัน
แต่หยางชุ่ยไม่ได้คิดแบบเดียวกัน นางชี้ไปที่หนิงเมิ่งเหยาและกล่าวเสียงแหลม “หนิงเมิ่งเหยา เจ้ามีสิทธิ์อะไรจึงประพฤติตัวเช่นนี้ต่อหน้ามารดาข้า? ถึงเป็นฝีมือพวกข้าแล้วจะทำไม? นางจิ้งจอกที่ดีแต่ยั่วยวนผู้อื่นแบบเจ้า ก็คู่ควรแต่กับบุรุษพรรค์นั้นเท่านั้นล่ะ”
ชาวบ้านต่างได้ยินวาจาซึ่งเคลือบด้วยยาพิษของหยางชุ่ยโดยทั่วกัน แต่หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจ นางสาวเท้าเข้าไปทีละก้าวก่อนตบหน้าหยางชุ่ยสองสามครั้ง ทำเอาหยางชุ่ยร้องออกมาด้วยเสียงอันเจ็บปวด
“เมื่อเจ้าเปิดปากพูด จงอย่าเอาแต่เรียกผู้อื่นว่าแพศยาหรือนางจิ้งจอกเลย เจ้ามันคนไร้ยางอายและเอาแต่โยนความผิดให้ผู้อื่น พวกคนแบบนั้นข้าเคยเห็นมานักต่อนัก เอาแต่พูดจาด้วยถ้อยคำไม่รื่นหูเพียงเพื่อจะได้ดูสูงส่งกว่าผู้อื่น”
นี่ไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ? หยางชุ่ยประพฤติตนเหมือนรู้สึกว่าตัวเองดีเลิศกว่าผู้ใด เฉียวเทียนช่างไม่รักนาง นางก็เลยโยนความผิดทุกอย่างไปให้หนิงเมิ่งเหยา เรื่องนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่นางถึงกับต้องการจะใส่ร้ายป้ายสีหนิงเมิ่งเหยาด้วย
การกระทำเช่นนี้นั้น หากกระทำเพียงแค่ครั้งเดียวก็คงไม่เป็นปัญหาเท่าใดนัก หากแต่เมื่อได้กระทำต่อกันเป็นเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ก็ไม่แปลกที่ผู้คนจะเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
หยางชุ่ยกัดฟันกรอดพลางมองหนิงเมิ่งเหยา ความเจ็บปวดบนใบหน้าทำให้นางระลึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น “หนิงเมิ่งเหยา ข้าจะไม่หยุด เจ้ากล้ามาตบหน้าข้า เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? นังคนแพศยาไร้ยางอาย”
“เจ้ากำลังเตือนให้ข้าไม่ต้องยกโทษให้เจ้างั้นรึ? หรือว่าอยากให้ข้าประเคนตบให้อีกสักฉาดสองฉาด” เสียงของหนิงเมิ่งเหยาเย็นชาอย่างหาที่เปรียบมิได้
สายตาของนางราวกับอาบไปด้วยยาพิษ หยางชุ่ยผวาพลางปิดปากของตนไว้ จ้องมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความหวาดกลัว
บทที่ 52 ไม่ไว้หน้า
นางเฉินยื่นมือมาผลักบุตรสาวของตนไปด้านหลังในทันที หนิงเมิ่งเหยามองการกระทำของนางอย่างเย็นชา หลังจากนางปกป้องหยางชุ่ยเอาไว้ข้างหลัง หนิงเมิ่งเหยาก็กล่าวเยาะหยัน “นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ท่านป้าเฉิน อย่าคิดว่าการมีบุตรชายเป็นซิ่วไฉจะทำให้ท่านลืมแซ่สกุลของตัวเอง หากท่านสองแม่ลูกมาหาเรื่องข้าอีกแม้เพียงครั้งเดียว ก็ลองดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
รอดูกันว่านางจะดีแต่ปากจริงหรือไม่ เมื่อถึงตอนนั้นอย่าร้องไห้โฮออกมาก็แล้วกัน
นางเฉินตัวสั่นงันงก แต่ก็ยังไม่อยากให้เรื่องจบลงแบบนี้ นางกัดฟันและควงกำปั้นเดินเข้าไปหาหนิงเมิ่งเหยา “ข้าเป็นถึงมารดาของซิ่วไฉ นางผู้หญิงสำส่อนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะไปทำอะไรข้าได้?”
“ท่านอยากให้ข้าทำอะไรท่านเช่นนั้นหรือ? ได้ ถ้าเช่นนั้นทำไมเราไม่ไปต่อกันล่ะ? แต่อย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างไม่สนใจ ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย
หน้าของนายหญิงเฉินถอดสี นางจะไม่เข้าใจในสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาหมายถึงได้เช่นไร? นางต้องการจะเอาเรื่องนี้ไปให้ถึงชั้นศาลใช่หรือไม่? ไม่ เรื่องพรรค์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้
“ท่านแม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ในเวลานั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงนั้น นางเฉินก็เหมือนเพิ่งหาความกล้าของตนเองเจอ นางรีบกระโจนออกไปทันที
“ลูกแม่ เจ้าต้องช่วยแม่ นางผู้หญิงสำส่อนชั้นต่ำคนนี้บอกว่าจะพาแม่ไปที่ศาล” นางเฉินจับมือหยางฮว๋ายพลางกัดฟัน
หยางฮว๋ายขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองหนิงเมิ่งเหยา ข้างกายของนางมีบุรุษวัยกลางคนคุกเข่าอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งยังตัวสั่นอย่างรุนแรง “เกิดอะไรขึ้น?”
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะอย่างเย็นชา ดวงตาจับจ้องหยางฮว๋ายอย่างดูหมิ่น “ท่านพูดกับข้าหรือ?”
หยางฮว๋ายสำลัก ก่อนหน้านี้ สิ่งนี้นางเฉินทำลงไปกับหนิงเมิ่งเหยานั้นทำให้เขารู้สึกเสียหน้า แต่วันนี้ เมื่อเห็นมารดาของตนอยู่ในสภาพนี้ และน้องสาวของตนเองกกำลังทำหน้าขมขื่นราวกับมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น เขาก็ต้องเอ่ยปากซักถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
“แม่นางหนิง ถึงแม้ว่ามารดาของข้าจะทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป แต่นางก็อายุมากกว่าท่าน และยังถือว่าเป็นผู้อาวุโสสำหรับท่านด้วย หากสามารถปล่อยไปได้ ท่านก็ควรยกโทษให้เสีย ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” หยางฮว๋ายมอง ราวกับกำลังครุ่นคิดเพื่อหนิงเมิ่งเหยา ก่อนเอ่ยต่ออย่างจนปัญญา “การกระทำเช่นนี้จะทำให้ชื่อเสียงของท่านด่างพร้อยไปด้วย”
“ผู้อาวุโส? ข้า หนิงเมิ่งเหยา ทนไม่ได้ที่จะยอมรับผู้ที่จ่ายเงินจ้างคนให้มาย่ำยีความบริสุทธิ์ของหญิงสาวให้มาเป็นผู้อาวุโสได้หรอก หยางฮว๋าย ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือเมื่อผู้อื่นต้องมาไว้หน้าท่าน ท่านคิดหรือว่าการเป็นซิ่วไฉนั้นมันเป็นสิ่งที่วิเศษวิโสนัก?” หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะอย่างเย็นชา หยางฮว๋ายผู้นี้ยังมองสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ออกงั้นหรือ? ช่างทำให้นางผิดหวังเสียจริง
หยางฮว๋ายสีหน้าเปลี่ยน หันไปมองมารดาของตนอย่างไม่อยากไม่เชื่อ “ท่านแม่ สิ่งที่นางพูดนั้นเป็นจริงหรือ?”
ใบหน้าของนางเฉินเปลี่ยนสี นางส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ไม่ แม่จะไปทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? นางใส่ความแม่ต่างหาก”
“พี่สะใภ้เฉิน ตอนที่ท่านกล่าววาจาเช่นนั้น ท่านไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไร เราทุกคนข้างนอกต่างได้ยินสิ่งที่ท่านพูดทุกอย่าง หวังไล่จื่อเองก็ยอมรับว่าท่านจ่ายเงินให้เขาไปย่ำยีความบริสุทธิ์ของแม่นางหนิง แล้วตอนนี้ ท่านกลับว่าเช่นนั้น นี่ท่านไม่กลัวจะโดนฟ้าผ่าตายหรือไร?”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เมื่อครู่ท่านก็พูดออกมาเอง ท่านคิดว่าเมื่อบุตรชายที่เป็นซิ่วไฉกลับมา แล้วท่านจะวิเศษกว่าผู้อื่นหรือ? ยิ่งมากล่าววาจาเช่นนั้นอีก ข้าว่ามันเกินไปแล้ว”
“ใช่ ข้าว่าคงต้องให้หญิงสาวในตระกูลพวกเราอยู่ให้ห่างจากบุตรสาวของท่านเห็นจะดีกว่า เวลาที่พวกนางถูกทำร้าย พวกนางจะได้ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือใคร”
ต่างคนต่างพูด สุมไฟความโกรธให้กับหยางฮว๋ายจนใบหน้าซีดเผือด เขาหันไปมองมารดาของตนอย่างไม่เชื่อหู “ท่านแม่ ข้าเพียงต้องการถามท่านว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“โอ๊ย เจ้ายังจะถามอีกทำไมกัน? นางยังกล่าวอีกด้วยว่านางเป็นถึงมารดาของซิ่วไฉ ท่านจะทำอะไรได้? ไอ้หยา ข้าล่ะกลัวเหลือเกิน นั่นนางเป็นถึงมารดาของซิ่วไฉเชียวหนา เจ้ารู้หรือไม่” น้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยคำถากถางอันรุนแรงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
นางคือน้องสะใภ้ของนางเฉิน นามว่านางตู้ ถึงแม้พวกนางจะแยกบ้านกันอยู่เป็นที่เรียบร้อย แต่ในปัจจุบันนางก็ยังคอยปรนนิบัติดูแลท่านผู้เฒ่าอยู่ แต่เพราะว่านางเฉินมีบุตรชายที่ยอดเยี่ยมถึงสองคน จึงทำให้นางยโสโอหังนัก
บัดนี้เมื่อสบโอกาส นางจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด
คำพูดของนางตู้เรียกให้ฝูงชนตอบสนองอย่างเห็นพ้องต้องกัน “จริงสิ? นางมีบุตรชายเป็นซิ่วไฉ แล้วพวกเราเล่า? พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดา จะไปมีปัญญาอะไรยั่วโมโหนางกันเล่า?”
หยางฮว๋ายโกรธจนตัวสั่น เขารู้ดีว่านางเฉินใช้สถานะของตนในฐานะมารดาของซิ่วไฉเพื่อวางท่าและทำตัวก้าวร้าวจริง