บทที่ 21 ขอความช่วยเหลือ
หยางซิ่วเอ๋อร์ไม่อยากไป แต่อีกฝ่ายบอกไว้อย่างชัดเจน และดูท่าแล้วนางจะไม่ไปก็ไม่ได้ จึงเดินไปพร้อมสีหน้าอึมครึม
ขณะที่พวกนางเดินไปยังตีนเขา หยางเล่อเล่อก็หันไปมองหยางซิ่วเอ๋อร์ นึกสุขใจที่ได้เห็นแผ่นหลังหอบแฮ่กของนาง
“ยั่วโมโหนางให้บ้าตายไปเลย”
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาแย้มยิ้มพลางสั่นศีรษะ หยางเล่อเล่อไม่เคยเบื่อหน่ายเรื่องเหล่านี้เลย ส่วนตัวนางนั้นไม่ได้สนใจเท่าไรนัก
แท้จริงแล้วหยางซิ่วเออร์ก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่นางละโมบเกินไป
หยางเล่อเล่อยิ้มกริ่มโดยไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น พวกนางนวยนาดขึ้นไปบนเขาเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ฝนตกและมีเห็ดอยู่บ้างแม้จะไม่มากนัก แต่ในเมื่อเป็นยามบ่ายแล้ว พวกนางก็เก็บเห็ดไปพอสมควร หยางเล่อเล่อจึงเป็นสุขเสียจนไม่ปักผ้าวันนี้แล้ว
เดิมหนิงเมิ่งเหยาคิดว่าหลังจากเจอสิ่งเหล่านี้เข้าไป หยางซิ่วเอ๋อร์คงจะไม่มาหาอีกพักใหญ่ แต่ใครจะคิดว่านางจะมาหาอีกในวันที่สอง และเย็บปักผ้าไประหว่างที่นางสอน ทุกวันดำเนินไปเช่นนี้
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย พลันเกิดความสงสัยขึ้นมา ไม่รู้ว่านางจะมีแผนอะไรอีก
แต่ถึงแม้จะสงสัย หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่ได้จ้องหยางซิ่วเอ๋อร์นานเกินไป แล้วเริ่มปักลายบนผืนผ้าของตนแทน
ทุกครั้งปักผ้าไปเช่นนี้ นางรู้ว่าหยางซิ่วเอ๋อร์มักจะมองนางตาเป็นประกาย แต่ถ้านางอยากจะเรียนทักษะการใช้เข็ม หยางซิ่วเอ๋อร์จะต้องเข้าใจก่อนจึงจะทำได้
แล้วก็เป็นตามคาด หยางซิ่วเอ๋อร์ยังคงไม่อาจมองการปักผ้าได้อย่างกระจ่างแม้จะจ้องมาแล้วครึ่งวัน
นางอยากจะถาม แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของหนิงเมิ่งเหยาขณะเย็บปักลายผ้า ก็ไม่กล้าเอ่ยคำถามออกมา ยิ่งไปกว่านั้น นางควรจะถามอะไรกัน นางควรจะพูดโดยตรงเลยหรือว่า ‘ปักให้ช้าลงหน่อย ข้าจะได้ดู’ ต่อให้มีผิวหน้าหนากว่านี้นางก็พูดออกไปแบบนั้นดังๆ ไม่ลง
ด้วยเหตุนี้ ในอกหยางซิ่วเอ๋อร์จึงเหมือนโดนแมวข่วน หัวใจนางอยู่ไม่สุขแต่ไม่อาจเอ่ยปากบอกได้
ความทรมานในใจนี้ มีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่เข้าใจ
ลึกเข้าไปในดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาเจือแววขบขัน นางจะไม่รู้เชียวหรือว่าหยางซิ่วเอ๋อร์มองนางอยู่ตลอด แน่นอนอยู่แล้วว่านางรู้ แต่หากอยากศึกษาทักษะใช้เข็มแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตาของนางมองตามได้ทันหรือไม่ด้วย
ตลอดยามบ่ายของพวกนางจึงสุขสงบ แต่ก็ห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาดตอนหยางซิ่วเอ๋อร์จวนจะหมดความอดทนแล้วต้องการจะถามออกไป หยางเล่อเล่อก็วิ่งมาพร้อมหน้าตาตื่น “เหยาเหยา ช่วยข้าด้วย ข้าขอร้อง ช่วยข้าหน่อยเถอะ”
หนิงเมิ่งเหยามองหยางเล่อเล่อด้วยความสงสัย พลางวางเข็มปักผ้าลงแล้วตบไหล่นางให้สงบลง “อย่ากังวลเลย เจ้ามีเรื่องอะไร ค่อยๆ พูดเถอะ”
จากที่ได้รู้จักหยางเล่อเล่อมา นางรู้ว่าหยางเล่อเล่อเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ตอนนี้นางกลับดูเป็นกังวลยิ่งนัก จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน หาไม่แล้วนางจะหวาดวิตกขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
ครั้นได้ยินเสียงหนิงเมิ่งเหยา หยางเล่อเล่อก็สงบลง นางกล้ำกลืนความว้าวุ่นในใจไว้แล้วกล่าวอย่างอึดอัด “เหยาเหยา พี่ชายข้าทำงานอยู่ในเมืองแล้วเกิดเรื่องขึ้น กระดูกหัวเข่าหัก หมอบอกว่าอาการหนักแล้วต้องใช้เงินมาก แต่ข้า…ข้า…”
“เอาล่ะ อย่าได้กังวลเรื่องเงินไป เจ้าขาดอีกเท่าไรเล่า” หนิงเมิ่งเหยาฟังไปครู่หนึ่งก็เข้าใจได้ เป็นเรื่องเงินที่บ้านนางไม่พอแล้วต้องการยืมสักหน่อยนี่เอง
หยางเล่อเล่อเป็นคนเข้มแข็ง ถ้านางมีทางเลือกอื่นย่อมไม่มีทางมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ
“อีกสามสิบตำลึง” ตอนแรกหมอบอกว่าประมาณห้าสิบตำลึง แต่หลายปีมานี้บ้านนางพอจะมีเงินเก็บบ้าง แต่ยังขาดอีกสามสิบตำลึง
“อย่าห่วงเลย ข้าจะจ่ายให้เจ้าเอง” หนิงเมิ่งเหยาตบมือหยางเล่อเล่อเบาๆ พลางพูดปลอบ จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปหยิบเงินในห้อง หยางซิ่วเอ๋อร์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจ หนิงเมิ่งเหยาให้ยืมเงินสามสิบตำลึงโดยที่ไม่แม้แต่จะลังเล หนิงเมิ่งเหยาต้องมีเงินอยู่มากแน่…ถ้าเช่นนั้น…
หยางซิ่วเอ๋อร์เกิดสนใจขึ้นมา นางเริ่มมีแผนการในใจ
หนิงเมิ่งเหยารีบนำเงินออกมามากกว่ายี่สิบตำลึง หยางเล่อเล่อตัวสั่นเมื่อรับเงินที่หนิงเมิ่งเหยายื่นให้ นางรู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่ขาดแคลนเรื่องเงินทอง แต่นางจะใช้คืนให้อย่างไร
“ไม่เป็นไร รีบเอาไป พี่ชายของเจ้าจะได้หาย ส่วนที่เหลือก็ใช้ซื้อกระดูกมาทำแกงต้มกระดูกให้พี่เจ้าดื่มเสีย มันดีต่อแผลของเขา คนเจ็บน่ะต้องได้รับสารอาหาร แล้วไม่ต้องคิดเรื่องหามาคืนข้าไม่ได้หรอก เจ้าลืมที่ท่านป้าหลัวบอกไปแล้วรึ ข้าไม่ห่วงเรื่องเงิน ถ้าเจ้ามีเมื่อไรค่อยนำมาคืนข้า” เห็นหยางเล่อเล่อทำหน้ายุ่งเช่นนั้น หนิงเมิ่งเหยาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่านางคิดอะไรอยู่ หญิงสาวจึงเอ่ยปากบอกออกไป
ความอบอุ่นแผ่ซ่านในใจหยางเล่อเล่อ นางทำหน้าจริงจังมองหนิงเมิ่งเหยาแล้วพูดขึ้น “เหยาเหยา ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก ข้าจะหาเงินมาคืนเจ้าโดยเร็ว นับจากนี้ไป อะไรที่เป็นปัญหาของเจ้าก็เป็นปัญหาของข้าด้วย”
บทที่ 22 ประเมิน
“เอาล่ะ รีบไปเสียสิ จะปล่อยแผลพี่ของเจ้าไว้นานกว่านี้ไม่ได้นะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้มพร้อมผงกศีรษะ แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก นางไม่รู้เลยว่านับจากวันนี้ไป หยางเล่อเล่อจะทำอย่างที่ได้กล่าวไว้ ว่าจะคอยปกป้องหนิงเมิ่งเหยา อยู่เคียงข้าง และคอยช่วยเหลือนาง
หลังจากผ่านเรื่องหยางเล่อเล่อยืมเงินหนิงเมิ่งเหยา สายตาของหยางซิ่วเอ๋อร์ที่ใช้มองหนิงเมิ่งเหยานั้นเหมือนกำลังมองสมบัติล้ำค่า หนิงเมิ่งเหยาไม่ชอบใจสายตาที่ไร้การปิดบังนี่เอาเสียเลย
หนิงเมิ่งเหยาขยับกรอบเย็บปักผ้ากลับมาแล้วค่อยๆ ลงกลอนประตู พลางปรายตาข้างหนึ่งมองยังหยางซิ่วเอ๋อร์ผู้ยืนนิ่งอยู่ในสวนของนาง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ถ้าไม่มีธุระอะไรจะพูดกับข้า เจ้าก็กลับไปได้แล้ว”
สีหน้าหยางซิ่วเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นแข็งค้าง ใบหน้านางฉาบด้วยความอับอาย หญิงผู้นี้ถึงกับไล่นางเช่นนี้
แต่ดูจากท่าทีของนางแล้ว ดูเหมือนนางอยากจะออกไปข้างนอก โทสะจับตัวหนาในใจหยางซิ่วเอ๋อร์ แต่ไม่อาจพูดอะไรออกไป ทำได้เพียงหยิบตะกร้าเย็บปักถักร้อยขึ้นมาแล้วออกไป แต่แผนที่นางเก็บงำไว้ไม่ได้หายไปแม้แต่นิดเดียว
หนิงเมิ่งเหยามองหยางซิ่วเอ๋อร์จากไปแล้วถอนหายใจแผ่วเบา นึกหวังให้นางไม่มายั่วโมโหตน
หนิงเมิ่งเหยานำเนื้อกับกระดูกชิ้นโตที่ตนซื้อมาไปที่บ้านของหยางเล่อเล่อ ตอนนางไปถึง หมอกำลังช่วยรักษาเข่าให้พี่ชายของหยางเล่อเล่อ นามว่าหยางอี้
ข้างเตียงยังมีหญิงสาวที่ไม่คุ้นหน้ากับเด็กอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบ มองเพียงแวบแรกนางก็บอกได้ว่านี่คือพี่สะใภ้กับหลานชายของหยางเล่อเล่อ
“หยางเล่อเล่อ พี่ใหญ่หยางเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเมิ่งเหยายื่นของในมือให้หยางเล่อเล่อ เหลือบมองดูชายบนเตียงแล้วเอ่ยถาม
หยางเล่อเล่อยิ้มอย่างขื่นขมพร้อมส่ายหัว “ตอนนี้ข้ายังไม่รู้หรอก หมอกำลังช่วยต่อกระดูกหัวเข่าให้พี่ชายข้า”
หนิงเมิ่งเหยาทำเสียง ‘อือ’ แล้วมองการเคลื่อนไหวของหมอ ไม่ว่านางจะมองอย่างไร หมอผู้นี้ก็ดูไม่เหมือนหมอที่มีประสบการณ์เอาเสียเลย
นางเอื้อมมือไปดึงหยางเล่อเล่อมากระซิบเสียงเบาข้างหู “เล่อเล่อ เจ้าไปพาหมอคนนี้มาจากไหน”
“เขาเป็นหมอที่นายของพี่ชายข้าเชิญมา เห็นว่าเป็นหมอมือหนึ่งของเมือง” หยางเล่อเล่อมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ”
“มีแน่นอน ถ้าหมอคนนี้เป็นมือหนึ่งของเมือง ทำไมจนตอนนี้เขายังรักษาพี่ของเจ้าไม่ได้อีก แล้วจากที่ข้าสังเกต เขาขยับไม่คล่องแคล่ว ไม่เหมือนหมอมือหนึ่งของเมืองเลย อันที่จริงแล้ว…” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว นางมองหยางเล่อเล่อแล้วบอกไป “อันที่จริงแล้ว เขาเหมือนเป็นมือใหม่”
“จริงรึ จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พี่ชายข้าจะไม่มีวันหายหรือเปล่า ข้ายอมไม่ได้ ข้าต้องไล่เขาออกไป” พอหยางเล่อเล่อได้ยินดังนั้น นางก็โกรธจัด หนิงเมิ่งเหยารีบคว้านางไว้ตอนนางกำลังจะกลับเข้าไปในห้อง
“เจ้ากังวลเรื่องอะไรกัน เจ้ารอดูเถอะ ข้าจะเข้าไปในเมืองแล้วให้หมอจากเป่าเหอถังมาที่นี่ จำไว้ว่าถ้าไม่จำเป็น อย่าให้หมอคนนั้นขยับเข่าพี่ชายเจ้า” ตอนแรกหนิงเมิ่งเหยาเพียงแวะมาเยี่ยม ไม่คิดว่านางจะได้มาเจอหมอกำมะลอนี้เข้า
จากที่เห็น นางบอกได้ว่าเข่าของหยางอี้หักจริง แต่ไม่ได้สาหัสอย่างที่ว่ากัน แต่ถ้าพวกนางปล่อยให้หมอคนนี้รักษาต่อ เกรงว่าบาดแผลที่ไม่หนักหนาจะกลายเป็นหนักหนาขึ้นมาจริงๆ
หยางเล่อเล่อพยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนั้น หนิงเมิ่งเหยาไปที่หมู่บ้านเพื่อหาเกวียนเทียมวัวแล้วเข้าไปในเมือง นางเชิญหมอที่มากประสบการณ์ที่สุดในนั้นแล้วจ้างเกวียนเทียมม้าสองตัวให้รีบไปที่หมู่บ้านไป๋ซาน
พวกนางได้ยินเสียงร้องโหยหวนเมื่อไปถึงหน้าประตูบ้าน หนิงเมิ่งเหยารู้ในทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
“ข้าต้องขอรบกวนท่านหมอหลี่ด้วย” หนิงเมิ่งเหยาหันไปมองชายชรา
ท่านหมอหลี่หัวเราะ “แม่นางหนิงนอบน้อมนัก รีบเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
หยางเล่อเล่อยืนอยู่ข้างเตียง มองหยางอี้ที่หน้าซีดสนิท จากนั้นก็มองไปยังหมอผู้ตกใจจนไม่กล้าขยับ นางนึกถึงคำพูดของหนิงเมิ่งเหยาก่อนจะชี้ไปที่อีกฝ่ายแล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าหมอกำมะลอ!”
เมื่อหมอผู้นี้มองยังร่างทุรนทุรายของหยางอี้ เขาตกใจจนในหัวว่างเปล่า พอได้ยินที่หยางเล่อเล่อพูด คราวนี้เขาล้มลงกับพื้น
“ข้า…ข้า…” ถ้ารู้แต่แรกเขาคงไม่ยอมรับงานนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
“เจ้า เจ้าอะไร ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ ถ้าพี่ชายข้ามีอะไรผิดปกติ ข้าจะรายงานเจ้ากับท่านเจ้าเมือง เจ้ารักษาก็ไม่ได้ ยังจะแส่มา ทำแบบนี้รังแต่ทำให้คนอื่นทุกข์ทรมาน” หยางเล่อเล่อมองสภาพเขาแล้วรู้ทันทีว่าหนิงเมิ่งเหยาพูดถูก นางละเกลียดยิ่งนัก ถ้ารู้เร็วกว่านี้ นางจะหยุดเขาไว้ ไม่ให้มารักษาเช่นนี้
ทั้งตระกูลหยางจู้ได้ยินที่หยางเล่อเล่อพูด พวกเขาต่างหน้าซีดเผือด เพิ่งเข้าใจว่าหมอคนนี้ไม่ใช่หมอมือหนึ่งของเมืองจริง แต่เป็นเพียงนักต้มตุ๋น
ในขณะที่ตระกูลหยางไม่รู้จะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรดี หนิงเมิ่งเหยาก็พาท่านหมอหลี่เข้ามาข้างใน