ริมฝีปากไป๋หู่กระตุกกึ่ก “นายท่านจะอยู่ที่ไหนอย่างไรย่อมมิใช่สิ่งที่ลูกน้องอย่างพวกเราจะก้าวก่ายได้” หากแต่ถ้าขอปากบอนต่ออีกสักหน่อยน่าจะพอเป็นไปได้
ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย ที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้ายื่นตากระซิบกระซาบ “ว่าแต่ เจ้าเห็นไหม ริมฝีปากของนายท่านมีรอยถลอกด้วย ?”
เพียงสุ้มเสียงนินทากระทบหู ภาพรอยแผลน้อย ๆ บนริมฝีปากของนายท่านพลันปรากฏชัดขึ้นทันที สองมือของจูเฉวี่ยกำหมัดแน่นกระทั่งปลายเล็บแทบจะจิกลงไปในอุ้งมือ
ไป๋หู่ตื่นเต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาลดเสียงให้เบาลงแต่ยังไม่วายซุบซิบด้วยท่าทีร้อนรน “ข้าว่า รอยถลอกนั่นมันโดนกัดมาชัด ๆ นายท่านไม่เผลอกัดปากตนเองอยู่แล้ว จากพลังฝีมือของนายท่าน หากมิใช่ว่านายท่านยินยอมพร้อมใจให้เป็นเช่นนั้นจะมีผู้ใดสามารถกระทำได้เล่า…….ฮี่ฮี่ เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้ากำลังพูดถึงใช่ไหม ? ข้าว่าหลายวันมานี้นายท่านดูแปลก ๆ เห็นทีบุปผาจะเบ่งบานขึ้นกลางใจของนายท่านเสียกระมัง จะว่าไป….นายท่านก็ถึงวัยอันสมควรแล้ว !”
“หุบปาก ! เรื่องของนายท่านใช่สิ่งที่ผู้รับใช้เยี่ยงเจ้าจะมาซี้ซั้วกล่าวได้กระนั้นหรือ ! !”
ไป๋หู่ตกใจสะดุ้งโหยงเพราะเสียงร้องตะโกนสวนฉับพลันของจูเฉวี่ย
ไป๋หู่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าที่งดงามเย็นชาของนางยามนี้กลับกลายเป็นบิดเบี้ยว ทั่วทั้งกายสั่นสะท้าน นัยน์ตาลุกโชนไปด้วยความเคียดแค้น “นายท่านรูปงามประดุจเทพบุตร ไหนเลยหญิงชาวบ้านสามัญจะคู่ควรกับนายท่านได้ ! หากเจ้ายังกล้ากล่าววาจาไร้สาระอีก ก็จงอย่าตำหนิว่าข้าไร้มารยาท !”
กล่าวจบหญิงสาวหมุนกายกลับหลังไปด้วยความขึ้งเคียด ทิ้งให้ไป๋หู่ยืนอยู่เพียงผู้เดียวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง สายตาที่ว่างเปล่าจับจ้องตามนางไปค่อนวันกว่าจะเอ่ยออกมาอย่างวยงง “นี่มันอะไรกัน ก็แค่พูดเล่นเท่านั้น ? นายท่านยังไม่เห็นจะใส่ใจ เหตุใดจูเฉวี่ยจึงไร้เหตุผลเพียงนี้ ผู้ใดเหยียบหางนางกัน ?”
จูเฉวี่ยกลับเข้าห้องปิดประตูเสียงดังสนั่นด้วยความเดือดดาล ความเคียดแค้นภายในใจไม่อาจระงับลงได้ นางคว้าขวดกระเบื้องเคลือบใกล้ประตูขว้างปาออกไปด้วยความฉุนเฉียว
ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีนางใดควรค่าแก่นายท่านผู้น่าตื่นตะลึงอีกแล้วยิ่งโดยเฉพาะน่าหลานเกอซีเศษสวะผู้นั้น คนเช่นนั้นไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ถือรองเท้าให้นายท่านด้วยซ้ำ
นัยน์ตาของจูเฉวี่ยดุร้ายเกรี้ยวกราด หากหญิงผู้นั้น…..หมายจะยั่วยวนนายท่าน ต้องการขัดขวางความรุ่งเรืองของนายท่านจริง ๆ นางจะไม่อนุญาตให้หญิงโสมมผู้นั้นมีลมหายใจอย่างแน่นอน
เสียงกระเบื้องแตกกระจายอย่างต่อเนื่องดังก้องไปทั่วห้อง กระทั่งที่สุดมันก็สามารถช่วยระงับแรงโทสะของจูเฉวี่ยลงได้
หญิงสาวนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะนำโอสถเม็ดกล้ามเนื้อหยกที่นางปรุงเองออกมาใส่เข้าปากไปหนึ่งเม็ด ส่วนอีกเม็ดนำไปละลายกับน้ำแต้มทาลงบนผิวหน้า
แค่เพียงเศษเสี้ยวชั่วยาม*ใบหน้าของนางจะคืนกลับเป็นดวงหน้าที่ละเอียดอ่อนงดงามดังเดิม
*เศษเสี้ยวชั่วยาม ในที่นี้หมายถึง 15 นาที
จูเฉวี่ยนั่งอยู่หน้าคันฉ่องเพ่งแลดูใบหน้าที่เย็นชางามสง่าของนางด้วยความกระวนกระวาย
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ สายตาที่จับจ้องเขม็งอยู่กับรอยแผลบนใบหน้าอยู่เนิ่นนานกลับไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดแม้เพียงน้อย
เวลาดำเนินผ่านไปเศษเสี้ยวชั่วยามแล้ว ค่อนชั่วยามก็แล้ว ครึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว ทว่ารอยแผลบนใบหน้ากลับไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย ซ้ำร้ายจากรอยข่วนสีเทาจาง ๆ ยามนี้กลับกลายเป็นสีเทาเข้มเส้นหนา
สิ่งที่น่าตื่นตกใจเป็นที่ยิ่งนั่นคือ ก่อนหน้านี้รอยแผลนี้เพียงคันยุบยิบเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ายามนี้กลับส่งความรู้สึกเจ็บปวดและคันอย่างรุนแรง
ในคันฉ่อง รอยข่วนบางนั้นแผ่ขยายตัวออกเพียงชั่วพริบตา แม้จะไม่มีสภาพดั่งแผลเน่าหากแต่ดูราวกับถูกเล็บเกา เนื้อผิวโดยรอบรอยแผลกลับกลายปูดโปนย่นลึกมากมาย
ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ รอยข่วนที่เล็กบางนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเด่นชัดขึ้นทันทีรูปลักษณ์ของมันเหมือนตะขาบตัวเล็ก ๆ ที่เกาะพาดผ่านใบหน้าขาวเนียนนุ่มของจูเฉวี่ยเกิดเป็นริ้วรอยที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่ง
“อ๊า—– ! ! ใบหน้าของข้า ! ใบหน้าข้า !” ดวงตาจูเฉวี่ยเบิ่งโพลงจ้องเขม็งอยู่บนรอยแผลเป็นสีเทาเข้มที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่อง สีหน้าของนางบิดเบี้ยวตื่นผวาติดตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช
***จบตอน จูเฉวี่ยเสียโฉม***