พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1633 หกเคล็ดวิชาพิเศษครบถ้วน

เป็นงูขาวตัวหนึ่ง งูขาวตัวใหญ่ที่มีเกล็ดขาวดุจหิมะทั้งตัว นอนคดเคี้ยววนอยู่ในกลีบดอกบัว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีขา กอปรกับเป็นหัวงู เหมียวอี้ก็แทบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมังกรขาวตัวหนึ่งแล้ว

บนหัวงูมีเขาหนึ่งข้างที่ใสแวววาว บนยอดเขามีประกายลำแสงสีรุ้งให้เห็นรางๆ สวยงามมาก

ถึงแม้งูขาวจะตัวใหญ่ แต่เนื่องจากนอนขดอยู่ในกลีบดอกบัวหลายชั้น กอปรกับตำแหน่งที่ลำตัวยาวขดขึ้นไปอยู่ด้านหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเหาะขึ้นมา ถ้าเดินเข้ามาจากปากถ้ำก็ไม่สังเกตเห็นเลยจริงๆ

เป็นเหมือนอย่างเคย เป็นฉากที่เห็นเหมือนกับตอนหาสมบัติครั้งก่อน ถึงแม้งูขาวจะสวยงาม แต่บนตัวกลับมีเข็มเหล็กเสียบอยู่ เกล็ดที่ถูกแทงทะลุมีรอยเลือด ในดอกบัวหลายชั้นมีโซ่มัดร่างงูขาวเอาไว้

เหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศวนรอบฐานดอกบัวขนาดใหญ่ไปรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่างูขาวถูกควบคุมไว้ และไม่สามารถโจมตีโต้ตอบได้เหมือนที่เสิ้นหมีที่ปราสาทดำเนินเซียน เขาถึงได้เหาะไปเหยียบลงบนยอดของฐานดอกบัวอย่างวางใจ

ส่วนยอดไม่ใหญ่ เป็นแท่นสำหรับนั่งขัดสมาธิ ตรงกลางเป็นเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ เหมียวอี้เห็นแล้วหนังตากระตุก เขาไม่ได้แปลกตากับเครื่องหมายนี้แล้ว ที่เขาหาสถานที่ตรงนี้เจอก็เพราะอิงตามพิกัดของเครื่องหมายขนาดใหญ่ที่อยู่ในซากสำนักหนานอู๋

เหมียวอี้รีบมองไปยังพระพุทธรูปทีอยู่โดยรอบ รู้สึกประหลาดใจสงสัยนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋?

หลังจากครุ่นคิดได้สักพัก ก็วางความฉงนใจไว้ชั่วคราว สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่ตรงกลางเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งตั้งอยู่ในร่องหลุม

ตรงนี้วางแหวนเก็บสมบัติไว้วงหนึ่ง หมายความว่าอะไร? เขาไม่ได้กังวลว่าจะมีกลไกอะไร เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้แล้วนั่งยองๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูให้ละเอียด พบว่าแหวนเก็บสมบัติกับแท่นนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกัน แต่วางแยกไว้เดี่ยวๆ ตอนนี้เขาถึงได้ยื่นนิ้วออกไปเกี่ยวแหวนเก็บสมบัติที่อยู่ในร่องหลุมขึ้นมาไว้ในมือ การเคลื่อนไหวช้ามาก สัมผัสทั้งหกเฝ้าระวังทุกอย่างรอบตัว

หลังจากได้ของมาไว้ในมือ และแน่ใจแล้วว่ารอบกายไม่มีความผิดปกติอะไร เหมียวอี้ถึงได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของข้างในแหวนเก็บสมบัติ

ข้างในมีกล่องผลึกแดงอยู่ใบหนึ่ง เหมือนกล่องโลหะที่เห็นตอนหาสมบัติก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมียวอี้ชะงักทันที อย่าบอกนะว่านี่คือสมบัติที่ถูกซ่อนไว้?

เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง สงสัยว่าของไม่ได้ซ่อนอยู่ในมือของภาพสลักสตรีทะยานฟ้าหรอกหรือ? อย่าบอกนะว่าครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น?

เพื่อที่จะคลายความสงสัยในใจ เขาจึงรีบนำกล่องโลหะในแหวนเก็บสมบัติออกมา

พอเปิดออกมาดู ก็พบว่าข้างในวางแผ่นหยกเอาไว้เจ็ดแผ่น มีลูกกลมโลหะสีแดงสองอัน

พอหยิบแผ่นหยกขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวอักษรที่เขียนว่า : เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ฟ้า!

พอดูเนื้อหาที่อยู่ข้างล่างอีก ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนจริงๆ ด้วย เหมียวอี้ตื่นเต้นดีใจทันที ได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้ามาไว้ในมือแล้ว ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็สามารถฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานแบบครบสมบูรณ์ได้แล้ว มีเคล็ดวิชาพิเศษนี้คอยช่วย ถ้าอวิ๋นจือชิวฝึกสำเร็จขึ้นมา ก็จะต้องมีความสามารถในการปกป้องตัวเองเพิ่มขึ้นมหาศาลแน่นอน

แล้วแผ่นหยกอีกหกแผ่นคืออะไรล่ะ? เขาพยายามสงบสติอารมณ์ดีใจ แล้ววางเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไว้บนฝากล่องที่พลิกออก จากนั้นหยิบแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาตรวจดู สิง่ที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ : มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ฟ้า!

เหมียวอี้เริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจทันที จุดซ่อนสมบัติครั้งก่อนชี้แนะไว้ชัดเจนว่าจุดซ่อนสมบัติจุดถัดไปคือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า ทำไมแม้แต่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคฟ้าก็โผล่ออกมาด้วยล่ะ? แล้วแผ่นหยกคืออะไร…

วางของในมือไว้บนฝากล่องอีกครั้ง แล้วหยิบแผ่นหยกแผ่นถัดไปมาตรวจดูต่อ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ : เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ฟ้า!

จากนั้นวางไว้บนฝากล่อง แล้วหยิบแผ่นถัดไปมาตรวจดูอย่างอดใจรอไม่ไหว เคล็ดวิชาวิญญาณหยินชื่อมหยางภาคฟ้า!

หยิบแผ่นถัดไปอีก ได้หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคฟ้า และแผ่นต่อไปก็คือมหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจภาคฟ้า!

“ไม่น่าเชื่อว่าภาคฟ้าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะอยู่ที่นี่หมด…” เหมียวอี้ทำสีหน้างุนงง หรือพูดได้อีกอย่างว่า การมาครั้งนี้ทำให้เก็บรวบรวมหกเคล็ดวิชาพิเศษได้ครบทั้งหมดในรวดเดียว ผู้ซ่อนสมบัติที่ดูเหมือนชอบหลอกล่อให้อยากรู้เปลี่ยนเป็นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

แต่พอลองคิดดูให้ละเอียด เครื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไร้เบาะแสให้ตรวจสอบ ครั้งก่อนตอนหาสมบัติที่แดนอเวจี สถานการณ์ก็เหนือความคาดหมายนิดหน่อย เพราะเคล็ดวิชาวิญญาณหยินชื่อมหยาง มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดินปรากฏออกมารวมกัน ได้เคล็ดวิชาภาคดินของสามวิชาในรวดเดียว ครั้งนี้ก็ยิ่งก้าวหน้ากว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เคล็ดวิชาภาคฟ้าของหกวิชาในรวดเดียว

ในเมื่อได้หกเคล็ดวิชาพิเศษครบหมดแล้ว เช่นนั้นแผ่นหยกแผ่นที่เจ็ดคืออะไรล่ะ?

เหมียวอี้จะข่มใจไหวได้อย่างไร คว้ามาตรวจสอบดูในมือทันที สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวอักษรที่ล่องลอยราวกับน้ำไหลเมฆเคลื่อน

“ในเมื่อเข้ามาที่ห้องนี้ได้ ก็จะมอบมหาหกเคล็ดวิชาให้ครบทั้งหมด

เมื่อมาแล้ว ก็จงอยู่อย่างสงบใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

สมบัติในห้องอยู่ระหว่างการได้และการเสีย ไม่อาจนำออกไปง่ายๆ ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้ หากเจ้าของเต็มใจให้ก็นำไปได้ ไม่เช่นนั้นก็วางลงเสีย ทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา ไม่อาจฝืนเพื่อให้ได้มา”

ในแผ่นหยกมีตัวอักษรเขียนไว้อย่างนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ และไม่ลงตราอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไว้ด้วย เป็นคำพูดที่ไร้ชื่อไร้แซ่ แต่กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นข้อความจากผู้ซ่อนสมบัติเสียที

คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่สำหรับเหมียวอี้ กลับหมายถึงการยอมรับอย่างหนึ่ง หมายถึงผู้ซ่อนสมบัติยอมรับเขาแล้ว

หลังจากปรับสติอารมณ์ให้คงที่ เหมียวอี้ก็กลุ้มใจกับคำพูดพวกนี้นิดหน่อย เขาไม่สามารถทำความเข้าใจทั้งหมดได้ อย่างอื่นก็อ่านง่ายหน่อย แต่ที่บอกว่ ‘ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้’ หมายความว่าอะไรล่ะ? ศิษย์สำนักพุทธอะไร? แล้วธรรมทวารอยู่ที่ไหน?

คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว สายตาไปหยุดอยู่บนลูกกลมโลหะสีแดงสองลูก เขาหยิบหนึ่งลูกขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู พลังอิทธิฤทธิ์พลันถูกดูดเข้าไป ข้างในปรากฏแผนที่ดาวสองฉบับ ทำเครื่องหมายประตูดวงดาวไว้สองแห่ง แต่กลับไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นการไปมาของจุดไหน

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นลูกกลมโลหะสีแดงแบบนี้ ครั้งก่อนตอนที่หาสมบัติที่แดนอเวจีก็เคยได้แบบนี้มาเหมือนกัน ครั้งนั้นเป็นแผนที่ดาวที่มีประตูดวงดาวสี่แห่ง จากประสบการณ์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่านั่นคือเส้นทางลับที่ใช้เดินทางไปมาที่แดนอเวจี เป็นทางเข้าสองทางและทางออกสองทาง ทางเข้าลับหนึ่งในนั้นถูกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเปิดโปงตอนที่ปล้นแล้วถูกตำหนักสวรรค์ไล่สังหาร ในบรรดาประตูดวงดาวทั้งสามแห่ง ประตูแห่งสุดท้ายยังไม่ถูกสำรวจเส้นทาง ครั้งก่อนตอนนี้เขาออกจากแดนอเวจี เขาก็ใช้เส้นทางนั้น เท่ากับว่าเส้นทางประตูดวงดาวที่มีหนึ่งทางเข้าสองทางออกได้ถูกสำรวจครบหมดแล้ว

เมื่อมีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว การมีประตูดวงดาวโผล่มาสองแห่งอย่างกะทันหัน ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมในใจ เมื่อนำสถานการณ์มาเชื่อมโยงกัน เขาก็สงสัยนิดหน่อย ว่าประตูดวงดาวสองแห่งนี้จะเป็นทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีหรือไม่?

เมื่อก่อนก็แค่ไม่คิดเท่านั้น แต่พอได้คิดขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้

เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเส้นทางลับในดาราจักรที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดียังไม่รู้ ทำไมผู้ซ่อนสมบัติถึงรู้ได้ล่ะ ทางเลี่ยงรู้เยอะขนาดนี้ด้วย?

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนคนหนึ่ง เทพพยากรณ์! ท่านที่ทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่มีหัวแต่ไร้หาง ก็เหมือนจะรู้เส้นทางลับในดาราจักรไม่น้อยเหมือนกัน ดูจากที่พระท่านนั้นสามารถไปมาระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ได้อย่างอิสระก็รู้แล้ว

เอาของวางไว้ข้างๆ ก่อน กลับไปค่อยส่งต่อเรื่องนี้ให้อวิ๋นจือชิวตรวจสอบเปรียบเทียบ เขาคว้าลูกกลมโลหะสีแดงอีกลูกขึ้นมา แล้วกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู

ข้างในมีแผนที่ดาวเพียงหนึ่งฉบับ ไม่มีประตูดวงดาว แต่ด้านบนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ในแผนที่ดาวกลับทำสัญลักษณ์วัดแห่งหนึ่งเอาไว้ ในวัดมีภาพเงาคนที่เลือนรางอยู่คนหนึ่งด้วย

เหมียวอี้เอามือลูบคางพรางเครื่องคิดเลข แล้วสิ่งนี้คืออะไรอีกล่ะ?

เขาเริ่มเลอะเลือนแล้ว ในเมื่อตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษครบแล้ว ทำไมถึงมีของที่ให้แก้ไขปริศนาโผล่มาอีก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ที่คิดไม่ออกอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขารู้สึกเหมือนถูกผู้ซ่อนสมบัติจูงจมูกให้เดินมาตลอด แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้บังคับเจ้าแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาก็ปูทางไว้ให้หมดแล้ว เขาอยากจะเดินก็เดิน ถ้าไม่อยากจะเดินก็ไม่บังคับเช่นกัน ให้อิสระเขาเต็มที่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเต็มใจของเขาเอง ให้เขาเหมียวอี้ไปเลือกด้วยตัวเอง ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งนั้น

พอได้ของมาไว้ในมือ ได้หกเคล็ดวิชาพิเศษครบในรวดเดียว ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่เพิ่งจะพรั่งพรูขึ้นมาก็ถูกปริศนาก้อนนี้กลบไว้แล้ว

เหมียวอี้เริ่มเก็บของ อารมณ์ในตอนนี้ทำให้เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นภาพฝาผนังจำนวนนับไม่ถ้วนบนผนังรูปวงแหวนได้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฐานดอกบัวใต้เท้าพร้อมครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฐานดอกบัวนี้เหมือนจะสร้างไว้เพื่อให้สะดวกต่อการชมรูปภาพบนฝาผนังรอบๆ  หมายความว่าอย่างไรกัน?

ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ต่อนานๆ คงไม่ดีถ้าเขาจะอยู่ที่ดาวหนานอู๋นานเกินไป ตอนที่ออกจากฐานดอกบัว เขาไปจ้องไปที่งูขาวตัวนั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แตะต้องมัน เขาถลันตัวไปเหยียบบนบันไดตรงปากทางแล้วหันกลับมามองอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาแอบทอดถอนใจ น่าเสียดายทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ขนาดนี้จัง

พอหันตัวไปเตรียมจะออกประตู ข้างหลังก็มีเสียงดังโครมคราม เหมียวอี้หันขวับกลับไปมอง เห็นผนังที่ถูกอุดไว้ร่วงลงมา ชั่วพริบตาเดียวก็ปิดตาย ทางเข้าห้องเอาไว้แล้ว

เหมียวอี้ตกใจทันที เดินไปลูบไล้ตรงหน้าผนังที่อุดอยู่ มันถูกสร้างจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูง แน่นหนาทนทานมาก เขาพยายามใช้พลังอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ก็ยากที่จะทำให้ขยับได้ เกรงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ยังขยับมันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

บนผนังเต็มไปด้วยคัมภีร์ต่างๆ เพียงแต่ดูแล้วการจัดเรียงค่อนข้างไร้ระเบียบ

ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้วว่า ‘ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้’ หมายถึงอะไร ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าธรรมทวารก็หมายถึงประตูบานนี้ และศิษย์สำนักพุทธที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้ ก็ย่อมไม่อาจฝืนเปิด ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ใช้ศิษย์สำนักพุทธ เหมียวอี้ก็สามารถนำตั๊กแตนมาเปิดได้เหมือนกัน

ดูท่าแล้วเจตนาของผู้ซ่อนสมบัติก็ชัดเจนมาก ถ้าเหมียวอี้อยากจะได้สมบัติหินใหญ่ก้อนนี้ไป ก็ต้องพาเจ้าของมาที่ห้องนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องนี้ก่อน

แต่สมบัติชิ้นใหญ่โตขนาดนี้ เพียงพอที่จะเลี้ยงทัพใหญ่ได้หนึ่งกองทัพเลย ต่อให้จะเจอเจ้าของห้องนี้แล้ว แต่ผู้ซ่อนสมบัติมีสิทธิ์อะไรมาด่วนสรุปว่าเจ้าของห้องจะเต็มใจมอบสมบัติชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้? ทั้งยังกดดันให้อีกฝ่ายมอบให้ไม่ได้อีก ผู้ซ่อนสมบัติบอกเองว่าไม่อาจฝืนเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าใครก็คงไม่มอบสมบัติชิ้นนี้ให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลทั้งนั้น

เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน แล้วหันตัวเดินออกไป เป็นเพราะการวางแผนของผู้ซ่อนสมบัติท่านนี้ทำให้คนรู้สึกลึกลับยากจะคาดเดาจริงๆ สติปัญญาของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ตนจะเอื้อมถึงได้ อีกฝ่ายทำแบบนี้ก็แสดงว่ามีเหตุผลแน่นอน

เขาเดินผ่านทางในแนวราบ แล้วก็ตกลงมาในแนวตรง ตกลงบนกระแสน้ำใต้ดินอีกครั้ง “จ๋อม” แต่กลับมีปลาตกใจกระโดดขึ้นมา แล้วก็กระโดดลงน้ำหายไป

ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีปลาด้วย? เหมียวอี้ตกใจ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้ ใต้ดินที่ลึกขนาดนี้ มีน้ำซึมผ่านหลายขั้น พิษที่อยู่ในนั้นถูกกรองจนน้ำสะอาดแล้ว ต่อให้มีอากาศพิษ แต่ก็ยากที่จะแทรกซึมมาถึงที่นี่ได้ ต่อให้ซึมเข้ามาแต่ก็เบาบางจนไม่เป็นอันตรายแล้ว

เขาลองเก็บเกราะป้องกันออกไป สูดหายใจอากาศใต้ดินเฮือกหนึ่ง วักน้ำขึ้นมาชิม พบว่าหวานอร่อย

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เขาไม่เป็นอะไรสักนิดเลย

เขาไม่ได้อยู่ต่ออีก รีบกลับไปตามทางเดิม หลังจากโผล่ออกมาจากทะเลสาบภูเขาไฟ ตัดสินทิศทางคร่าวๆ ที่แม่น้ำใต้ดินยื่นออกไป แล้วรีบเหาะไปทางนั้น

เหาะออกไปประมาณหลายร้อยลี้ แล้วหยุดอยู่บนฟ้าเหนือจุดซ่อนสมบัติใต้ดินที่คาดคะเนไว้ เหมียวอี้ที่มองมาด้านล่างรู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย ข้างล่างก็คือซากสำนักหนานอู๋ที่ถูกรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ทำลาย

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset