ส่วนทางเหมียวอี้ก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกันว่าจ้านหรูอี้กลับมาที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแล้ว กำลังให้ความสนใจในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน การต้องให้ความสนใจอยู่ตลอดนั้นค่อนข้างยากลำบาก ตอนนนี้ไม่ง่ายเลยที่ธงพยัคฆ์ดำจะสืบข่าวที่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ครั้งก่อนเหมียวอี้ไม่ได้จัดการแค่จ้านหรูอี้เท่านั้น การจับผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินแขวนไว้บนธงพยัคฆ์ดำ ก็เหมือนเป็นการล่วงเกินทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินแบบยับเยินมากแล้ว
แต่ธงพยัคฆ์น้ำเงินก็อยู่ในอำนาจควบคุมของโป๋เยวเช่นกัน ข้างกายเหมียวอี้มัดชวีหย่าหงและมู่อวี่เหลียนเอาไว้ การสืบข่าวจากโป๋เยวผ่านทั้งสองก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร
หลังจากได้รู้ถึงการกระทำต่างๆ เมื่อจ้านหรูอี้กลับมาที่ธงพยัคฆ์น้ำเงิน กลุ่มคนตำแหน่งสูงของธงพยัคฆ์ดำก็รวมตัวกันประชุม พวกเขาต่างก็รู้สึกกดดัน ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้จะใช้วิธีการอะไรและเคลื่อนไหวล้างแค้นเมื่อไร
ในตำหนักใหญ่ของสำนักหกนิ้วปรับปรุงซ่อมแซมใหม่แล้ว ในตำหนักยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายใหม่เอี่ยม เหมียวอี้นั่งอยู่เบื้องบน สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็เดาไม่ออก ทุกคนนึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะหน้าหนาหน้าทนขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังเป็นหยางชิ่งที่กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ไม่มีอะไรนอกจากรวบรวมพลังใหม่หลังจากพ่ายแพ่ ส่วนในตอนหลังจะล้างแค้นอย่างไร ก็ยังต้องจับตาดูขอรับ”
พูดแล้วก็เท่ากับไม่ได้พูด เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะพึมพำด่าว่า “มารดานางเถอะ ถ้ารู้แต่แรกคงพยายามคิดหาข้ออ้างฆ่านางไปแล้ว”
ตอนนี้เขาเสียใจจริงๆ ที่ปล่อยให้จ้านหรูอี้รอดชีวิตกลับไป เดิมทีรู้สึกว่าด้วยนิสัยหยิ่งผยองอวดดีอย่างจ้านหรูอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าคงจะไม่มีหน้าที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ต่อให้สามารถอดทนกับความอัปยศอดสูได้ แต่ก็ไม่มีหน้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วแน่นอน ตราบใดที่จ้านหรูอี้ออกจากหน่วยองครักษ์ซ้ายไปแล้ว ก็จะสร้างภัยคุกคามต่อเขาได้ยากแล้ว ถึงแม้หน่วยองครักษ์ซ้ายจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร แต่หนังเสือที่เอาไว้ขู่คนก็แข็งแกร่งเพียงพอ อำนาจอิทธิพลนอกหน่วยงานที่กล้าแตะต้องกำลังพลของหน่วยองครักษ์ซ้ายมีไม่เยอะ
แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะ! จ้านหรูอี้ไม่ใช่แค่ยังอยู่ดีมีสุข นอกจากจะไม่ทำให้คู่แค้นอย่างเขาเห็นคนอื่นหัวเราะเยาะแล้ว ยังมีหน้ากลับมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ธงพยัคฆ์น้ำเงินต่อด้วย ราวกับก่อนชหน้านี้ไม่เคยได้รับความอัปยศมาก่อนเลย ทั้งยังถ่อมตัวไปขอโทษทั่วทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินด้วย ทำให้แผนของเขาล้มเหลวโดนสิ้นเชิง ให้ความรู้สึกเหมือนชกหมัดลงบนดอกฝ้าย
เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้จริงๆ และการเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบโหดหินของจ้านหรูอี้กับทำให้เหมียวอี้หวาดระแวงกลัว อย่างไรเสียอาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลของจ้านหรูอี้ ทรัพยากรที่สามารถระดมโยกย้ายได้มีเยอะเกินไป
ในขณะนี้เอ สวีถังหรานที่หยิบระฆังดาราขึ้นมารับข่าวสารต่อหน้าทุกคนทำสีหน้าประหลาดใจปนตกตะลึง แล้วรีบรายงานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จ้านหรูอี้มาแล้ว ขอพอผู้บัญชาการใหญ่ขอรับ!”
ทุกคนในตำหนักอึ้งไปชั่วขณะ เหมียวอี้พลันลุกขึ้นยืน แล้วแสยะยิ้มถามว่า “นางจะมาทำอะไรอีก? พากำลังพลมาด้วยเท่าไร?”
สวีถังหรานตอบด้วยสีหน้าฉงนว่า “นางพาผู้ติดตามมาเพียงสองคนขอรับ บอกว่าจะมาขอโทษผู้บัญชาการใหญ่”
“ขอโทษเหรอ?” เหมียวอี้เหม่องง คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็เหม่อค้างเช่นกัน
“ผู้บัญชาการใหญ่ จะพบหรือไม่พบขอรับ?” สวีถังหรานถาม
เหมียวอี้ได้สติกลับมา ตอบว่า “นึกว่าข้ากลัวรึไง ถ้านางกล้าก่อเรื่องอีก ครั้งนี้ข้าก็จะฉวยโอกาสกำจัดนาง ปล่อยนางเข้ามา” เขาสงสัยว่าจ้านหรูอี้อาจจะสังเกตเห็นแล้วว่าของของตัวเองไม่ครบ จึงมาเพื่อทวงของคืน แต่เขาไม่คืนแน่นอน
จ้านหรูอี้มาแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พอเข้ามาในค่ายกลป้องกันแล้ว นางก็จ้องมองเสาธงพยัคฆ์ดำสูงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตามคนนำทางขึ้นไปที่ตำหนักใหญ่บนยอดเขา
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักและกุมหมัดคารวะให้แขกที่มา ยิ้มอย่างฝืนใจพร้อมถามว่า “จ้านคนสวย ไม่ทราบว่ามาที่นี่เพราะมีอะไรจะชี้แนะ?”
เหยียนซิวป้องกันอย่างเข้มงวดแน่นหนามาก คอยระวังอยู่ข้างกายเหมียวอี้ จ้องมองปฏิกิริยาของจ้านหรูอี้อย่างไม่ละสายตา
“ให้แขกยืนคุยหน้าประตู อย่าบอกนะว่านี่คือวิธีการรับแขกของธงพยัคฆ์ดำ?” จ้านหรูอี้กล่าวในขณะที่ยิ้มอย่างสุขุม
“มีเรื่องอะไรก็คุยข้างนอกให้ชัดเจนไปเลยแล้วกัน ตำหนักใหญ่เพิ่งจะซ่อมแซมเสร็จ” เหมียวอี้ตอบ
จ้านหรูอี้ก็เหมือนจะไม่ถือสาเช่นกัน ปล่อยให้เหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องสูง แล้วตัวเองก็กุมหมัดคารวะด้วยท่าทางจริงจัง “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะขอโทษพี่หนิว ครั้งนก่อนที่มาหาเรื่องเป็นข้าเองที่ผิด ถ้ามีจุดไหนที่ทำให้พี่หนิวไม่พอใจ ก็หวังว่าพี่หนิวจะใจกว้าง อย่าถือสาผู้หญิงความรู้น้อยคนหนึ่งอย่างข้า”
เหมียวอี้กลุ้มใจแล้ว สายตาเหลือบมองคนที่อยู่รอบข้าง ผู้หญิงคนนี้กล่าวขอโทษตนต่อหน้าฝูงชนจริงเหรอ นางกำลังเล่นบ้าอะไรของนาง?
ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่โดนแขวนอยู่บนเสาธงให้ได้รับความอัปยศอดสู ต่อให้จะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้แต่ก็จะหดหัวแอบฝึกฝนพลัง เพื่อรอล้างแค้นในวันข้างหน้า ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่โดนขู่คุกคามใดๆ เขาก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายมาขอโทษก่อนแน่นอน แบบนี้ต้องใช้ความกล้าหาญมากเท่าไรกัน หรือว่ามีแผนลับอะไรหรือเปล่า?
หยางชิ่งและคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าจ้านหรูอี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ละคนจ้องจ้านหรูอี้ด้วยสีหน้าสงสัย
เหมียวอี้อดไม่ดที่จะพูดหยั่งเชิงว่า “ข้าไม่ชอบคำขอโทษปากเปล่า ต้องมอบของขวัญขอโทษสิ ทำให้สอดคล้องกับความจริงสักหน่อยดีกว่า”
“พี่หนิวได้ของจากข้าไปก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อย่าบอกนะว่ายังไม่เพียงพอที่จะแสดงความจริงใจในการขอโทษ?” จ้านหรูอี้ถาม
เหมียวอี้ไม่อยากพูดถึงเรื่องของของนางอีกแล้ว “เรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า เจ้าบอกมาตรงๆ เลย ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “พี่หนิวไม่ต้องคิดมาก ข้ามาเพื่อขอโทษจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายแน่นอน จ้านคนนี้ยอมรับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่หนิว แพ้ด้วยความยินดี ในภายหลังหวังว่าพี่หนิวจะเห็นแก่ที่ข้าเป็นเพื่อนร่วมงานของกองมังกรดำ แนะนำและสนับสนุนกันมากๆ หน่อย ถ้าพบว่าจ้านทำอะไรไม่ถูกก็ช่วยชี้แนะตักเตือนมากๆ หน่อย จ้านยินดีร่วมงานกับพี่หนิวด้วยความจริงใจ”
ยิ่งนางแสดงท่าทีที่จริงใจมากเท่าไร พวกเหมียวอี้กลับยิ่งสงสัยหนักขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่จ้านหรูอี้จากไปในวันนั้น ฝั่งธงพยัคฆ์ดำล้วนตึงเครียดหวาดกลัว ป้องกันการล้างแค้นจากฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงิน
รสชาติของการเตรียมพร้อมป้องกันในระยะยาวนั้นลำบากมาก เหมียวอี้ถึงขั้นเรียกรวมกำลังพลมาปรึกษากันว่าต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบหรือไม่ แต่ถ้าอยากจะกำจัดจ้านหรูอี้ที่มีกำลังพลคุ้มกันอยู่จำนวนมากโดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต่อให้แอบจัดการเงียบๆ เหมียวอี้ก็มีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัยสูงมาก
ผลปรากฏว่า พอจ้านหรูอี้มาขอโทษอย่าง ‘จริงใจ’ ครั้งเดียว กลับกลายเป็นความทรมานที่ทำให้ฝ่ายเหมียวอี้หวาดระแวงสงสัย ยุ่งยากกว่าตอนที่จ้านหรูอี้มาหาเรื่องถึงที่ในครั้งแรกเยอะมาก…
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วห้าปี ภารกิจเฝ้าประจำการที่นี่ก็ใกล้จะจบลงแล้ว ใกล้จะส่งต่องานให้กำลังพลท้องถิ่น ทว่าจู่ๆ ก็มีอีกเรื่องหนึ่งเข้ามา เรื่องนี้จึงเบี่ยงเบนความสนใจของเหมียวอี้แล้ว จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดที่จากกันไปหลายปีก็ส่งข่าวมาหาเขา
เหมียวอี้ถามเพียงว่า : ช่วงนี้ไต้ซือเป็นอย่างไรบ้าง?
ศีลเจ็ดตอบเขาเพียงว่า : พระปีศาจหนานโป
นี่เป็นคำพูดที่ไม่มีหัวไม่มีหาง ทั้งยังเหมือนจะตอบอย่างฉุกละหุกมากด้วย เหมือนส่งข่าวให้เขาภายใต้สถานการณ์คับขัน จากนั้นก็ไม่ส่งข่าวอะไรมาอีก ไม่ว่าเหมียวอี้จะติดต่ออย่างไร ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ
คำพูดของไต้ซือศีลเจ็ดราวกับทิ้งปริศนาอย่างหนึ่งเอาไว้ เหมียวอี้คิดจนหัวแทบแตกแต่ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จากคำพูดที่ไต้ซือศีลเจ็ดทิ้งเอาไว้ เขาตัดสินได้ว่าน่าจะหมายถึงคนคนหนึ่ง
พระปีศาจหนานโปเป็นใคร?เหมียวอี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน คิดคนเดียวแล้วไม่เข้าใจ ถึงได้เรียกพวกลูกน้องคนสนิทมาถาม
“พระปีศาจหนานโป…” ขณะที่พวกหยางชิ่งพากันส่ายหน้าบอกว่าไม่เข้าใจ จู่ๆ สวีถังหรานก็พึมพำว่า “เหมือนจะเคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน”
สายตาของทุกคนในโถงจ้องมาอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ที่ใจทันที พบว่าคนที่อยู่พิภพใหญ่มานานที่สุดจะได้ยินอะไรมากว้างกว่า จริงๆ ถึงได้ถามว่า “เป็นใครกัน?”
สวีถังหรานกล่าวลังเลว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาแว่วๆ น่าจะนับเป็นคนที่เก่าแก่มากคนหนึ่ง เหมือนจะตายไปนานมากแล้ว เป็นบุคคลตั้งแต่สมัยก่อนที่โจรกบฏหกลัทธิจะครองดาราจักร ได้ยินว่าตอนนั้นดาราจักรวุ่นวายจลาจล แดนฝึกตนยังไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยใดๆ พระปีศาจหนานโปคนนี้เหมือนจะเป็นผู้ที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ส่วนรายละเอียดว่าเป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน เป็นเพราะเวลาห่างกันนานเกินไป คงจะไม่มีใครเอ่ยถึงคนประเภทนี้อีก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่นายท่านเอ่ยถึงใช่เขาหรือเปล่า จู่ๆ นายท่านถามถึงพระปีศาจหนานโปทำไมเหรอ?”
เหมียวอี้ไม่สนใจเรื่องนี้ ถามเพียงว่า “พระปีศาจหนานโปคนนี้ตายไปแล้วเหรอ?”
สวีถังหรานตอบว่า “เมื่อก่อนเคยได้ยินมาครั้งเดียว ได้ยินว่าตายไปแล้ว ส่วนรายละเอียดเป็นยังไง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะตายไปแล้วมั้ง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะเงียบสงบนานขนาดนี้โดยไม่ปรากฏชื่อ”
พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งแปลกใจ ถ้าหากตายไปแล้ว จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดจะเอ่ยถึงชื่อคนคนนี้ทำไม? ไม่มีทางที่จะเอ่ยถึงคนคนนี้โดยไม่มีสาเหตุแน่นอน ไต้ซือศีลเจ็ดไปตามหาศีลแปด ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว จู่ๆ ก็โผล่มาพูดแบบนี้ นั่นก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจหนานโปจะเกี่ยวข้องอะไรกับศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดก็จะต้องพบปัญหาอุปสรรคอะไรแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทิ้งคำพูดที่ไร้หัวไร้หางแบบนี้ไว้แล้วขาดการติดต่อ เห็นได้ชัดว่าส่งข่าวมาตอนที่รีบเร่ง
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้นี้ ‘พระปีศาจหนานโป’ ที่ไต้ซือศีลเจ็ดเอ่ยถึงคงจะเป็นกุญแจสำคัญ จึงถามอีกว่า “สวีถังหราน เจ้าคิดว่าใครน่าจะรู้เรื่องพระปีศาจหนานโปค่อนข้างดี?”
“ก็ย่อมต้องเป็นคนที่อายุมากอยู่แล้ว คนที่อยู่มาหลายยุคก็น่าจะยิ่งคุ้นเคยกับสถานการณ์” สวีถังหรานตอบกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้เอามือตบหน้าผาก เป็นตัวเองที่เลอะเลือนไป จากนั้นกำชับพวกเขาทันทีว่า “จำไว้นะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ห้ามบอกใคร รวมทั้งคนในครอบครัวพวกเจ้าด้วย”
“ขอรับ!” พวกลูกน้องเอ่ยรับ แล้วเหมียวอี้ก็รีบเดินไปที่ตำหนักหลัง
คนในโถงมองหน้ากันเลิกลั่ก หยางชิ่งขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะสืบเรื่องของคนที่ตายไปนานขนาดนั้นแล้วทำไม คนที่ตายไปนานจนแทบจะทำให้คนลืมแล้ว เขาไม่รู้ว่าบนตัวเหมียวอี้ซ่อนความลับไว้มากขนาดไหนกันแน่
เหมียวอี้ที่กลับมาถึงลานบ้านด้านหลังเดินตรงเข้าไปเก็บตัวในห้องสมาธิ อ้างว่าเก็บตัวฝึกฝน แต่ความจริงกำลังติดต่อแดนอเวจี
ตอนที่จินม่านได้รับข้อความจากเหมียวอี้ นางก็กำลังอยู่ในห้องสมาธิเช่นกัน พอได้ยินชื่อ ‘พระปีศาจหนานโป’ ก็เรียกได้ว่าขนพองสยองเกล้า รีบถามว่า : ประมุขปราชญ์ ท่านถามถึงเขาทำไมเหรอ?
เหมียวอี้ : เจ้าไม่รู้จักคนคนนี้เหรอ?
จินม่าน : รู้จักนิดหน่อยค่ะ
เหมียวอี้ : เจ้าเคยเจอมั้ย?
จินม่าน : ไม่เคยเจอ แต่อดีตประมุขปราชญ์หกลัทธิรู้จักเขาดีมาก
เหมียวอี้ : งั้นก็บอกสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับ ‘พระปีศาจหนานโป’ มาให้ข้าฟัง
บนใบหน้าจินม่านฉายแววหวาดกลัวอยู่ตลอด ถามกลับว่า : พระปีศาจหนานโปปรากฏตัวอีกครั้งแล้วใช่มั้ย?
เหมียวอี้ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งตกใจ ถามกลับเช่นกันว่า : พระปีศาจหนานโปยังไม่ตายเหรอ?
จินม่าน : ข้าไม่รู้ว่าตายหรือยังไม่ตายกันแน่ แต่ถ้าพูดตามปกติแล้ว พระปีศาจหนานโปไม่น่าจะปรากฏตัวได้อีก
…………………………