พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1279 แม่เจ้ามาหาเจ้าแล้ว

ที่คุกใต้ดินของตำหนักคุ้มเมือง โจวหราน อูหันซาน อวี้ซวีเจินเหริน หวงฝู่จวินโหรวถูกขังอยู่คนละห้อง ย่อมหวังไม่ได้อยู่แล้วว่าสภาพแวดล้องของคุกใต้ดินจะสะอาดสักเท่าไร ที่จริงการถูกจับขังที่คุกใต้ดินของตำหนักคุ้มเมืองก็นับเป็นเป็นเกียรติและความโชคดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนทั่วไปโดนจับขังที่คุกใต้ดินของสี่เขตเมืองก็สิ้นเรื่องแล้ว จะมีสิทธิ์มาโดนขังอยู่ที่นี่เสียที่ไหนกัน

หวงฝู่จวินโหรวอยู่ห่างจากคนอื่นค่อนข้างไกล โดนจับไว้ในคุกข้างในสุด กำลังนั่งยองๆ อยู่ในมุม สองมือกอดเข่า สีหน้าเศร้าสลด สภาพร่างกายก็ดูห่อเหี่ยวแบบที่พบเห็นได้ยาก ดวงตาสองข้างไร้แวว บนปากยังมีคราบน้ำมันที่เกิดจากการโดนเหมียวอี้จับน่องไก่ยัด หวงฝู่สุดสวยที่คนอื่นเคยเห็นว่าสดใสมีสง่าราศีมาตลอด? เป็นเทพธิดาที่ผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่ตกตะลึงบ้าง? เวลาเดินทางก็ยังต้องนั่งในเกี้ยว ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนหันมองถี่ๆ ก็จะทำให้เป็นจุดดึงดูดความสนใจได้ง่ายๆ

เดิมทีใจข้าฝักใฝ่หาแสงจันทร์ แต่จนใจที่แสงจันทร์ส่องสว่างคูน้ำ ครั้งนี้นางถูกเหมียวอี้ทำให้เจ็บช้ำใจอย่างแท้จริงแล้ว เหมียวอี้ใช้ความเชื่อใจของนางมาหลอกใช้นางได้อย่างโหดร้าย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ไม่สนใจความเป็นความตายของนาง นางพูดหลอกล่อให้กลุ่มคนของสมาคมร้านค้าเชิญเหมียวอี้มาร่วมงานเลี้ยง ทำเอากลุ่มคนของสมาคมร้านค้าติดกับดักจนหัวร่วงลงพื้น จะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร หลังจากนี้นางยังจะมีหน้าไปพบใครได้อีก?

แกร๊ก! ประตูคุกเปิดออก หลังจากคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่ เป่าเหลียนก็เข้ามาในคุกใต้ดิน

โจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีเจินเหรินได้ยินเสียงแล้วเดินไปที่ริมห้องขังเพื่อมองดูทางเดินข้างนอก แต่หวงฝู่จวินโหรวไม่ขยับไปไหน นั่งโง่ๆ อยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่เห็นอะไรสักอย่าง

มองข้ามสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของโจวหรานและอูหันซาน เป่าเหลียนเดินมาถึงห้องที่ขังอวี้ซวีเจินเหรินไว้ พอโบกมือให้สัญญาณเล็กน้อย ผู้คุมก็ก้าวขึ้นมาเปิดประตูคุกทันที

อวี้ซวีเจินเหรินก้าวออกมาจากประตูคุก แล้วมองเป่าเหลียนอย่างสงสัยพร้อมถามว่า “นี่คือ?”

“หลังจากเป่าเหลียนร้องขอความเมตตาต่อผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ก็ตอบตกลงที่จะปล่อยอาจารย์ปู่ไป เพียงแต่ว่า ตอนนี้ยังคลายผนึกวรยุทธ์ให้อาจารย์ปู่ไม่ได้ ศิษย์แจ้งให้ศิษย์พี่ที่สำนักมารอรับอยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ หลังจากออกไปแล้วค่อยคลายผลึกก็ยังไม่สาย” เป่าเหลียนตอบ

“อ้อ!” อวี้ซวีเจินเหรินขานตอบ ในใจเขาเข้าใจดี ว่าผู้บัญชาการใหญ่เห็นแก่ไมตรีเก่า บวกกับที่ตัวเองเป็นเพียงตัวประกอบของสมาคมร้านค้า ไม่เคยทำเรื่องผิดใดๆ ต่อผู้บัญชาการใหญ่หนิว ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าดูจากเหตุการณ์ที่หัวคนมากมายร่วงลงพื้น เกรงว่านั่นคงจะไม่ใช่สิ่งที่เป่าเหลียนขอร้องแล้วจะปล่อยผ่านไปได้ เขาจึงพยักหน้าแล้วออกไปทันที

เมื่อเห็นเป่าเหลียนเดินผ่านหน้าไป โจวหรานก็รีบโบกมือตะโกน “แม่นางเป่าเหลียน ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่คิดจะลงโทษพวกเราอย่างไร?”

เป่าเหลียนส่ายหน้า อูหันซานจึงตะโกนถามอีกว่า “แม่นางเป่าเหลียน รบกวนบอกผู้บัญชาการใหญ่ด้วย ว่าข้าอูหันซานไม่เคยล่วงเกินผู้บัญชาการใหญ่เลยตั้งแต่ต้นจนจบ! ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดเมตตาปราณีเพื่อเห็นแก่หน้าแม่ทัพภาคโค่วเหวินหลานด้วย!”

เป่าเหลียนพยักหน้า บอกใบ้ว่าจะช่วยพูดให้ แล้วไม่ได้พูดอะไรมากอีก

เดินจากทางเล็กๆ มาจนถึงประตูใหญ่ของตำหนักคุ้มเมือง เมื่อเห็นทหารสวรรค์กำลังสร้างประตูตำหนักที่พังทลายใหม่ อวี้ซวีเจินเหรินก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“ก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการใหญ่เพิ่งจะโดนนักพรตบงกชรุ้งลอบสังหารที่ประตู” เป่าเหลียนตอบ

นักพรตบงกชรุ้ง? อวี้ซวีเจินเหรินตกใจทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่เป็นอะไร ส่วนมือสังหารโดนผู้บัญชาการใหญ่ยิงตายแล้ว สถานการณ์โดยละเอียดเป็นยังไง อาจารย์ปู่กลับไปถามศิษย์พี่ก็จะรู้เอง ตอนนี้ศิษย์ยังไม่สะดวกจะพูดอะไร!” ขณะที่พูดเป่าเหลียนก็หยิบเครื่องมือออกมาเปิดใช้งานค่ายกล พอเปิดทางออกแล้ว ก็เชิญอาจารย์ปู่ออกไป

ตอนที่อวี้ซวีเจินเหรินเดินออกมาจากประตูตำหนัก ก็ย่อมมองเห็นสภาพเหตุการณ์ที่มีเลือดนองอยู่เต็มพื้น ถึงแม้ตอนที่เขาถูกจับมาก่อนหน้านี้จะได้เห็นภาพศพเกลื่อนพื้น ภาพเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำกับตาตัวเองแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะไม่เห็นศพ แต่กลับยังทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้น

พอเดินลงจากบันไดสูงของตำหนักคุ้มเมืองมาแล้ว ก็มีศิษย์ของสำนักลมปราณวิ่งเข้ามาทันที มองสำรวจศีรษะจรดเท้าพร้อมถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แล้วช่วยเขาคลายผนึกวรยุทธ์บนร่างกายออก

“รีบไป ไม่อนุญาตให้อยู่ตรงนี้นาน!” ทหารยามตรงหน้าประตูตะโกนบอก

พอพวกเขาเดินไปที่อีกด้านหนึ่งของถนน อวี้ซวีเจินเหรินถึงได้ถามกลุ่มลูกศิษย์ว่า “ได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่โดนลอบสังหารเหรอ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”

“เฮ้อ! ท่านอาจารย์ ตอนนั้นน่าหวาดเสียวเกินไปจริงๆ…” ลูกศิษย์หลายคนผลัดกันเล่าภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟังทันที

“เฮ้อ!” หลังจากฟังจบ อวี้ซวีเจินเหรินก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาของเป่าเหลียนแล้ว รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่ให้เขาคลายผนึกวรยุทธ์ตอนอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง เพราะกำลังกังวลว่าจะมีคนลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่อีก เขาหันกลับไปมองที่ตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง นึกถึงในปีที่เหมียวอี้ยังอยู่ที่สำนักลมปราณ ตอนนั้นเหมียวอี้บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากในสายตาเขา พอมาคิดดูตอนนี้ ขนาดวิธีการต่ำช้าอย่างการวางยาพิษยังทำได้ แล้วยิ่งฆ่าคนแบบไม่กะพริบตา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ผู้บัญชาการใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว วงการขุนนางเหมือนถังย้อมผ้าขนาดใหญ่จริงๆ ด้วย! ไปกันเถอะ!” พูดจบก็กวักมือเรียกกลุ่มลูกศิษย์กลับไป

หลังจากกลับไปแล้ว เป่าเหลียนก็ถ่ายทอดคำพูดของอูหันซานให้เหมียวอี้รู้

เหมียวอี้ที่อาบน้ำหวีผมเสร็จแล้วสดชื่นไปทั้งตัว กำลังเอนกายเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้โยกใต้เพิงเถาวัลย์ พอได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วสุดท้ายก็โบกมือบอกว่า “ปล่อยให้หมดก็ได้! ปล่อยไปให้หมดสามคน”

เดิมทีเขาอยากจะกดดันให้โจวหรานกับอูหันซานเขียนจดหมายยอมรับผิด พอมาคิดดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว

ไม่นานเป่าเหลียนก็กลับมาที่คุกใต้ดิน นำคำสั่งถ่ายทอดลงมา

โจวหรานกับอูหันซานรีบออกไป หัวของกลุ่มผู้จัดการร้านค้าตกลงพื้นที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ตอนถูกจับมาถึงตำหนักคุ้มเมืองก็เห็นภาพอันโหดร้ายน่าสังเวชใจ แค่คิดก็กลัวแล้ว ใครจะกล้าอยู่นาน กลัวว่าเหมียวอี้จะเปลี่ยนใจ

หลังจากประตูคุกห้องที่อยู่ข้างในสุดเปิดออก หวงฝู่จวินโหรวกลับคุกเข่าอยู่นิ่งๆ ในมุม ไม่มีท่าทีว่าจะออกไปเลยสักนิด แม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา

เป่าเหลียนจำเป็นต้องเตือนอีกครั้งว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ผู้บัญชาการใหญ่เมตตาปล่อยท่านไปเป็นกรณีพิเศษ”

“ข้าไม่ไป!” หวงฝู่จวินโหรวเหลือบตาที่แดงก่ำขึ้นมา พร้อมกัดฟันบอกว่า “ให้หนิวโหย่วเต๋อมาพบข้า!”

เป่าเหลียนจึงขมวดคิ้วบอกว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ท่านอย่าได้คืบจะเอาศอก ถ้ายั่วโมโหผู้บัญชาการใหญ่จริงๆ เกรงว่าต่อให้ท่านอยากจะออกก็คงออกไปไม่ได้แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คงไม่ถือสาที่จะตัดหัวคนเพิ่มอีกสักคน”

หวงฝู่จวินโหรวไม่พูดอะไรแล้ว

จะไปหรือไม่ไปก็ตามใจ! เป่าเหลียนก็เริ่มหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน ยังจะต้องให้ข้าคุกเข่าขอร้องเจ้าเชียวเหรอ นางโบกมือทันที บอกใบ้ให้ผู้คุมปิดประตูคุกอีกครั้ง แล้วหันตัวเดินออกไป

เพียงแต่เมื่อผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่ได้รับข่าวจากเป่าเหลียนก็มาด้วยตัวเองจริงๆ หลังจากยืนเงียบๆ อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินครู่หนึ่ง ก็หันซ้ายหันขวาแล้วสั่งว่า “ออกไปให้หมด ถ้าข้าไม่อนุญาติก็ห้ามใครเข้ามาใกล้ตรงนี้”

“ขอรับ!” กลุ่มทหารยามเอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

เหมียวอี้ถือกุญแจเดินเข้ามาในคุกใต้ดินด้วยตัวเอง พอมาสุดทางเดินก็หยุดฝีเท้า เมื่อเห็นหวงฝู่คนสวยโดนขังอยู่ในคุกสกปรก เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นฝีมือของเขา

เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวคุ้นเคยกับเสียงฝีเท้านี้ นางเงยหน้าอย่างช้าๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นไอ้สารเลวนั่น นางก็ดวงตาแดงเป็นพิเศษราวกับได้เจอศัตรูคู่แค้น นางลุกพรวด เดินสองสามก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้สองมือจับรั้ว แล้วสบตาอย่างโกรธแค้นเดือดดาล ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอิทธิฤทธิ์โดนผนึกไว้และออกจากคุกไม่ได้ นางจะต้องพุ่งออกไปสู้ตายสักตั้งแน่นอน

เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าประตูเล็กที่อยู่ข้างๆ เสียบกุญแจเข้าไปเปิดประตูคุก แล้วยื่นมือเชิญ “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว เชิญเถอะ!”

หวงฝู่จวินโหรวพุ่งออกมาทันที ใช้มือดึงคอเสื้อเหมียวอี้ พร้อมตะคอกอย่างโมโห “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากล้าหลอกใช้ข้าขนาดนี้เลยเหรอ!”

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่านางหมายถึงอะไร เขาไม่กล้าขัดขืน เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะหลอกใช้เจ้าได้ยังไง ใครก็รู้ว่าผู้จัดการร้านหวงฝู่ไม่ใช่คนโง่ จะทำเรื่องที่ล่วงเกินคนหมู่มากอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ได้ยังไง นอกเสียจากจะไม่อยากเป็นคนแล้วเท่านั้นแหละ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าข้าถือโอกาสใช้ประโยชน์จากคำแนะนำของเจ้า พอเป็นแบบนี้กลับเป็นข้าที่ช่วยเจ้าขีดเส้นความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าให้ชัดเจน อย่าโมโหไปเลย ไม่ว่าจะไปไหนก็อธิบายได้กระจ่างอยู่แล้ว”

ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที มีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ ด้วย กลับเป็นตัวเองที่ถูกความโมโหทำให้เลอะเลือนจนเสียเวลาดื้อดึง แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ถ้าจะช่วยตนจริงๆ ทำไมไม่บอกเรื่องนี้ก่อนล่วงหน้า ถึงจะพูดชัดก็ยังเป็นการหลอกใช้ประโยชน์ นางประสาทเสียทันที สาดหมัดพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง “สารเลว ยังกล้าพูดอีกว่าไม่ได้หลอกใช้ข้า ยังกล้ามาตบตาข้าอีก ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”

เหมียวอี้รีบคว้าข้อมือสองข้างขอนางไว้ “เลิกพาลหาเรื่องได้แล้ว”

“เจ้ากล้ารำคาญที่ข้าโวยวายเหรอ? ตอนที่นอนกับข้าไม่เห็นรำคาญแบบนี้บ้างล่ะ? พอทำเรื่องแบบนั้นเสร็จแล้วเจ้าก็แปรพักตร์ไม่รู้จักกัน หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันเป็นสัตว์เดรัจฉาน!”

“ถ้าเทียบกับตอนนั้น ตอนที่เจ้านอนกับข้าเสร็จแล้วร่วมมือกับปีศาจโลหิตจะเอาชีวิตข้า ข้ากับเจ้าก็ยังห่างชั้นกันมากจริงๆ อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยคิดที่จะเอาชีวิตเจ้าไม่ใช่เหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวรู้สึกผิดสามส่วนทันที ที่จริงตอนแรกที่ทั้งสองเกิดความสัมพันธ์ต่อกันนั้นกะทันหันเกินไป ระหว่างทั้งสองไม่ได้มีความผูกพันอะไรกันจริงๆ ตอนแรกนางก็ดูออกเช่นกัน ว่าไอ้สารเลวนี่มันนอนกับนางเพื่อความสนุกเฉยๆ ไม่ได้เห็นว่านางสำคัญเลย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เวลาผ่านไปนานจึงเกิดความผูกพัน มองอีกฝ่ายเป็นผู้ชายของตัวเองแล้วจริงๆ ใครจะคิดว่าเขายังจะจัดการกับตนแบบนี้

แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ออกแรงดิ้นรนมือสองข้างที่โดนเขาจับไว้ “สารเลว เจ้าไม่เคยมีข้าอยู่ในหัวใจเลย เจ้าเห็นข้าเป็นของเล่นที่จะมีหรือไม่มีก็ได้”

เหมียวอี้สะบัดแขนสองข้างของนางออกไป สะบัดจนนางเซถอยไปข้างหลังหลายก้าว แล้วชี้ไปข้างนอกพร้อมแสยะยิ้ม “ข้าไม่เห็นเจ้าสำคัญเหรอ? เจ้าเองก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท วิธีการที่เหมาะสมที่สุดของข้าก็คือฆ่าปิดปากพวกเจ้าไปให้หมด! แต่เพื่อเจ้าแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าได้สร้างปัญหาให้กับตัวเองมากขนาดไหน? เพื่อที่จะปกป้องเจ้า ข้าถึงขนาดต้องปล่อยพวกโจวหรานไปเพื่อเป็นข้ออ้าง ที่ปล่อยพวกเขาไปเป็นเพราะกลัวว่าจะได้ปล่อยเจ้ากลับไปคนเดียว  กลัวว่ากลับไปแล้วเจ้าอาจจะอธิบายลำบาก เพื่อที่จะปกป้องเจ้า ข้ายอมแบกรับปัญหาใหญ่โตมาก เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าข้าไม่เก็บเจ้าไว้ในหัวใจ? ต้องให้ข้าตัดหัวเจ้าก่อนใช่มั้ยเจ้าถึงจะพอใจ?”

หวงฝู่จวินโหรวอ้าปากค้าง ตะลึงเหม่ออยู่อย่างนั้น นางเองไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์ของภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเป็นอย่างที่เหมียวอี้บอกจริงๆ วิธีการที่ดีที่สุดคือฆ่าปิดปากทุกคน ถ้าปล่อยยนางกลับไปแค่คนเดียว นางกลับไปแล้วจะอธิบายได้ลำบากจริงๆ จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย

สีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตา ความรู้สึกอยุติธรรมในใจก็หายไปแล้วเช่นกัน ในใจกลับรู้สึกหวานชื่นอยู่บ้าง แต่ปากนางจะยอมพูดดีๆ ได้อย่างไร นางสะบัดแขนเสื้อและเดินกลับไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม กลอกตามองบน ทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นอะไรไปแล้ว คิดจะจับก็จับ คิดจะปล่อยก็ปล่อยเหรอ? ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ระบายอารมณ์โกรธ ก็อย่าได้คิดว่าข้าจะออกไปจากที่นี่ง่ายๆ เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน!”

เหมียวอี้เลิกคิ้วทันที “เจ้าจะไม่ออกไปจริงเหรอ?”

“ไม่ออก!”

“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ แม่เจ้ามาหาเจ้า หวงฝู่ตวนหรงมารดาเจ้ามาด้วยตัวเองแล้ว กำลังรออยู่นอกตำหนักคุ้มเมือง เจ้าอยากจะให้นางเข้ามาถามด้วยตัวเองใช่มั้ยว่าทำไมเจ้าไม่ยอมออกไป?”

“หา!” หวงฝู่จวินโหรวที่ทำตัวเหมือนคนหน้าด้านลนลานทันที มารดาของนางคือตัวละครที่ร้ายกาจ ขนาดเขาเห็นแล้วยังต้องยอมจำนน ส่วนนางก็ทำตัวเหมือนหนูเจอแมวมาจนชินแล้ว รีบก้าวออกมาทันที แล้วถามอย่างกังวลว่า “แม่ข้ามาได้ยังไง?”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset