ในตอนกลางคืน ฉินเฉิงก็มาที่พักของเจ้าสำนัก
เค้าโค้งคำนับแล้วพูดว่า: “ขออภัยด้วยท่านเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดว่า: “มีอะไรเหรอ?”
ฉินเฉิงมองไปที่เจ้าสำนักแล้วพูดว่า: “ครับท่านเจ้าสำนัก วันพรุ่งนี้ ผมจะออกไปจากตำหนักเทพโอสถแล้ว”
หลังจากได้ยินแบบนี้แล้ว เจ้าสำนักก็วางหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่ลง
เธอมองไปที่ฉินเฉิงแล้วพยักหน้า
ท่าทีแบบนี้เอง มันก็ทำให้ฉินเฉิงรู้สึกกระอักกระอ่วมอยู่ซักพัก
อย่างไรก็ตาม เค้าเองก็เคยชินกับท่าทีของเจ้าสำนักแล้ว ดังนั้นเค้าเลยโค้งคำนับลงแล้วพูดว่า: “ขอบคุณสำหรับการดูแลของเจ้าสำนักในช่วงที่ผ่านมา ฉินเฉิงจะจดจำน้ำใจนี้ไว้เสมอ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม เพียงแค่ท่านพูดออกมา ผมจะกลับมาที่ตำหนักเทพโอสถในทันที”
“อืม” เจ้าสำนักก็ตอบตกลง “ตอนนี้เธอจะจัดการกับเซี่ยฝูซานยังไง?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ซักพัก ฉินเฉิงก็พูดว่า: “ผมมั่นใจแล้ว”
“อืม” เจ้าสำนักก็พยักหน้าเบาๆแล้วโบกมือขึ้นมาเพื่อบอกกับฉินเฉิงว่าเค้าสามารถออกไปได้แล้ว
ฉินเฉิงถอนหายใจเล็กน้อย พูดตามตรง ฉินเฉิงก็รู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะพูดออกมา
อย่างไรก็ตาม บนโลกนี้มันก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว พวกเค้าทั้งหมดก็จะต้องจากไปอยู่ดี
ฉินเฉิงคำนับเจ้าสำนักแล้วเดินจากไป
หลังจากที่ฉินเฉิงจากไป บนใบหน้าของเจ้าสำนักมันก็มีรอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฎขึ้นมา
…
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็ตื่นขึ้นมาแล้วเตรียมที่จะจากไป
เมื่อออกมาจากลานอีกฟากหนึ่ง เค้าก็มองเห็นหลินชิงชือที่วิ่งเข้ามา
“ฉินเฉิง ฉันมีเรื่องจะไปหานายอยู่พอดีเลย” หลินชิงชือก็พูดขึ้นมาอย่างร้อนรน “ฉันเจอตัวยามากมายเลยที่ด้านหลังภูเขา ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนปลูก อีกเดี๋ยวฉันจะเอามาปรุงยา!”
ฉินเฉิงส่ายหัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ฉันจะไปแล้ว”
หลินชิงชือตกตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อยๆจางหายไป
“ทำไม… ทำไมจู่ๆนายถึงจะจากไปแบบนี้?” สีหน้าของหลินชิงชือก็ดูสับสนเล็กน้อย
ฉินเฉิงโบกมือแล้วไม่พูดอะไร
เค้าหลบหลินชิงชือแล้วเดินไปที่ประตู
หลินชิงชือตามมาที่ข้างหลัง เมื่อเดินมาถึงที่ลานกว้าง หลินชิงชือก็ตะโกนออกมาว่า: “ฉินเฉิง!”
ฉินเฉิงหันกลับมาแล้วถามว่า: “มีเรื่องอะไรอีก?”
หลินชิงชือตัวแข็งอยู่นาน ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้นมา ราวกับว่าเธอได้รวบรวมความกล้าแล้วตะโกนออกมาว่า: “ขอโทษนะ!”
ฉินเฉิงตกตะลึง
“เรื่องก่อนหน้านี้ ฉันลืมมันไปหมดแล้ว” ฉินเฉิงกุมมือและก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
“ร่างกายหยางบริสุทธิ์ สมแล้วที่จะมีชื่อเสียง” ซูวานก็กระซิบขึ้นมา
เธอไม่ได้อิจฉา เธอไม่โกรธ แต่พอใจมากกว่า
คนที่อยู่ใกล้ก็จะรู้สึกดี ประโยคนี้มันก็สื่อถึงร่างหยางบริสุทธิ์ได้อย่างชัดเจนที่สุด
…
“น้องฉู ไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันได้เตรียมกล่องเสียงทองเอาไว้ให้นายแล้ว! มันได้รับการขัดเกลามาเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าในตอนที่ตะโกนด่าครั้งต่อไป มันจะรักษาเสียงของนายไว้ได้!” หมอยากลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันตรงหน้าของฉูเป่ยชวน
บรรยากาศของตำหนักเทพโอสถก็ไร้ชีวิตชีวา การมาของฉูเป่ยชวนก็นำความมีชีวิตชีวากลับมาสู่ตำหนักเทพโอสถเล็กน้อย
และการต่อสู้ด่าทอระหว่างฉูเป่ยชวนกับเซี่ยฝูซาน ทุกวันมันก็ได้กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเค้าไปแล้ว
“ไม่ต้องห่วง ถ้าวันนี้ฉันไม่สามารถด่าจนเซี่ยฝูซานกระอักเลือดออกมาได้ ก็ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน!” ฉูเป่ยชวนพูดขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของเค้ามันดูราวกับว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเค้า
“ผู้อาวุโสฉินมาแล้ว!” ในตอนนี้เอง ทุกคนก็มองเห็นฉินเฉิง
“ผู้อาวุโสฉิน คุณหนูซู!” หมอยาก็รีบพูดขึ้นมา
ฉินเฉิงก็ยิ้มตอบรับ เค้าเดินเข้าไปที่ฉูเป่ยชวนที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านอาจารย์ วันนี้ผมเพิ่งเรียนรู้คำด่าใหม่สองสามคำ เดี๋ยวผมจะแสดงให้คุณดู!” ซูเป่ยชวนพูดพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้น
ฉินเฉิงโบกมือแล้วพูดว่า: “ไม่ต้อง วันนี้เราจะไปจากตำหนักเทพโอสถกันแล้ว”
ทันทีที่เค้าพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึง
“จะไปแล้วเหรอ?” ฉูเป่ยชวนเกาหัว ดูเหมือนว่าเค้าจะยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ใช่ ไปกันได้แล้ว”
“พี่ฉิน ให้น้องฉูอยู่ที่นี่ต่อได้ไหมครับ?”
“ใช่ พวกเราไม่อยากให้เค้าจากไปเลยจริงๆ!”
“เอาหละๆ” ฉูเป่ยชวนก็โบกมือขึ้นมา “ฉันมีเรื่องใหญ่ที่จะต้องไปจัดการ! เมื่อมีเวลาฉันจะกลับมาหาพวกนายเอง!”
ฉินเฉิงลูบไปที่คางอยู่ซักพัก การให้ฉูเป่ยชวนอยู่ต่อมันก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวเลย
ฉูเป่ยชวนก็จะได้ฝึกแล้วก็ปลอดภัยด้วย การฝึกฝนที่นี่มันก็ดีเยี่ยมมากจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางของฉินเฉิงก็ไม่รู้ว่าข้างหน้ามันจะเป็นยังไง การจะเอาฉูเป่ยชวนไปด้วยมันก็คงจะไม่เหมาะ
“งั้นก็อยู่ต่อเถอะ” ฉินเฉิงตบไหล่ของฉูเป่ยชวนแล้วพูดออกมา
ฉูเป่ยชวนก็รีบพูดว่า: “ไม่ ผมไม่อยู่!”
ฉินเฉิงจ้องมองเค้าแล้วพูดว่า: “อย่าพูดมาก อยู่ต่อซะ นี่เป็นคำสั่ง”
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็มองไปที่ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าอีกครั้งแล้วพูดว่า: “เสี่ยวเหม่ย นายก็อยู่ต่อที่นี่หละกัน”
“คุณฉิน ผมไม่อยู่” ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็ส่ายหัวขึ้นมา
“นี่เป็นคำสั่งด้วย” ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เค้าชี้ไปที่แผลที่หน้าท้องของชายที่มีแผลเป็นที่หน้าแล้วพูดว่า: “มีเพียงตำหนักเทพโอสถเท่านั้นที่สามารถรักษาแผลที่ท้องของนายได้ ฉันจะกลับมาหานายในอีกห้าเดือนข้างหน้า”
ห้าเดือนข้างหน้า มันก็เป็นวันที่ฉินเฉิงกับซูหยู่นัดประลองกัน
ต่อให้ฆ่าซูหยู่แล้วโด่งดังขึ้นมาในเวลาชั่วพริบตา หรือถูกซูหยู่ฆ่าแล้วหายตัวไปจากโกล
แม้ว่าฉูเป่ยชวนกับชายที่มีแผลเป็นที่หน้าจะไม่เต็มใจ แต่ฉินเฉิงก็บังคับให้พวกเค้าอยู่ที่ตำหนักเทพโอสถต่อ
หลังจากเดินออกไปแล้ว ฉินเฉิงก็มองไปที่ซูวานโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่ฉินเฉิงจะพูด ซูวานก็กลอกตาแล้วพูดว่า: “นายคงจะไม่ได้ต้องการให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม? นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
ฉินเฉิงก็หัวเราะขึ้นมา เค้าตั้งใจเอาไว้แบบนี้แล้ว แต่ซูวานในตอนนี้ก็ลึกลับมากเกินไป เธอสามารถระดมจอมยุทธ์ได้ มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าความสามารถของเธอน่าจะดีกว่าฉินเฉิง
ดังนั้นฉินเฉิงก็เลยไม่พูดอะไรต่อ
ที่ไม่ไกลจากตำหนักโอสถ มันก็มีภูเขาอยู่สองลูก
ระหว่างภูเขา มันก็เป็นเส้นทางที่ยาวและคับแคบ
และนี่คือส่วนหนึ่งของถนนที่ฉินเฉิงผ่านไปมาทุกวันแล้วก็ยังเป็นสถานที่ๆเซี่ยฝูซานเฝ้ารอคอยอยู่ทุกวัน
ในวันนี้เอง
เซี่ยฝูซานก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น เค้าพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของเค้าเอาไว้
เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่พลังปราณภายในร่างกายของเซี่ยฝูซานอ่อนแอลง พลังหยิงของเค้ากำลังจะหมดลงไปทุกที
“ฉันจะต้องฆ่าไอ่ฉินเฉิงนี่ให้เร็วที่สุด” สีหน้าของเซี่ยฝูซานดูเย็นชา “ถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปป พลังการบ่มเพาะในร่างกายของฉันมันจะต้องถูกทำลายลงในที่สุด”
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็จับมือซูวานแล้วเดินเข้ามาที่หุบเขา
เซี่ยลุกขึ้นมาในทันทีอย่างเช่นเคย เค้าก้าวออกไปหาฉินเฉิงในทันที
“คงจะรอฉันมานานแล้วสินะ?” ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้มาสายไปหน่อย ขอโทษที”
เซี่ยฝูซานกัดฟันแล้วพูดว่า: “ไอ่*** วันนี้มันเป็นวันฝังศพของแก!”
ฉินเฉิงกลอกตาแล้วพูดว่า: “วันๆเอาแต่พูดแบบนี้ ไม่เบื่อบ้างเหรอ?”
“แก!” สีหน้าของเซี่ยฝูซานก็โกรธขึ้นมาในทันที ความโกรธมันทะยานขึ้นมาจากในใจของเค้า