กงซุนจุนจากไปด้วยความโกรธเคือง แต่ผักผลไม้กับสัตว์ปีกและไข่ไก่รวมถึงพ่อครัวที่เขานำมายังคงอยู่ที่นั่น
เหล่าพ่อครัวเริ่มทำอาหารในครัว และในไม่ช้าอาหารหอมฟุ้งก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ จากนั้นหลี่โม่ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากผู้จัดการกวนเหลินกัง
ผู้จัดการกวนเหลินกังแจ้งหลี่โม่ว่าเวลาของห้องบรรยายในเมืองตั้งไว้ที่ 8 นาฬิกาในคืนนี้ และหวังว่าหลี่โม่จะสามารถเข้าร่วมและเป็นวิทยากรได้
เวลาถูกกำหนดไว้อย่างเร่งรีบเพราะมันเป็นการเตรียมการของอู๋เต้าเหวิน อู๋เต้าเหวินวางแผนจะถือโอกาสที่หลี่โม่มาเป็นวิทยากรในคืนนี้ คุยธุระบางอย่างกับหลี่โม่หลังจากที่เขาจบการบรรยายแล้ว
เพราะเขากังวลว่าคนของราชาใหญ่จะจับตาดูสะกดรอยตามพวกเขา ดังนั้นอู๋เต้าเหวินจึงทำได้เพียงใช้แผนการนี้เป็นการปกปิด
หลังจากได้รับโทรศัพท์แล้วหลี่โม่ก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกว่าการจัดเตรียมของอู๋เต้าเหวินค่อนข้างน่าแปลก และสิ่งที่ทำให้หลี่โม่งงงวยมากที่สุดก็คือคนที่โทรแจ้งตัวเองเป็นเพียงผู้จัดการเท่านั้น
ตามความสัมพันธ์ระหว่างอู๋เต้าเหวินกับหลี่โม่ มันควรจะเป็นอู๋เต้าเหวินที่โทรมาเชิญหลี่โม่ ด้วยตนเอง
ว่ากันว่า หากมีอะไรผิดปกติเป็นต้องมีพิรุธ หลี่โม่สงสัยว่าอาจมีบางอย่างเกินขึ้นกับอู๋เต้าเหวินจึงตัดสินใจที่จะไปดูสถานการณ์ด้วยตนเองให้ได้
หลังจากตกลงตามคำเชิญของผู้จัดการ หลี่โม่ก็เดินไปที่โต๊ะอาหารและพูดกับกู้หยุนหลันว่า: “ผู้จัดการของกวนเหลินกังเชิญฉันไปเป็นวิทยากรในตอนกลางคืน ที่รักอยากไปกับฉันไหม?”
“แน่นอนว่าฉันอยากไปกับคุณ ไปตอนนี้เลยเหรอ?”
กู้หยุนหลันวางถ้วยและตะเกียบในมือลง และตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นท่วงท่าอันสง่างามในการเป็นวิทยากรของหลี่โม่อย่างเต็มที่
ฉากที่หลี่โม่ยืนพูดคุยอย่างอิสระบนเวทีปรากฏขึ้นในหัวสมองของเธอ สิ่งนี้ยิ่งทำให้กู้หยุนหลันอดใจรอไม่ไหวมากกว่าเดิม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นเราไปกันเถอะ เสี่ยวถงเธอช่วยกลับไปดูแลพ่อตาและแม่ยายของฉันที่บ้านด้วยนะ พอดีคืนนี้ฉันกับหยุนหลันมีธุระหน่อยน่ะ”
หลี่โม่จูงมือกู้หยุนหลันเดินออกไปอย่างมีความสุข
เฉินเสี่ยวถงมองดูด้านหลังของทั้งสองที่กำลังเดินจากไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เวลานี้อาหารอันโอชากลับจืดชืดไปเลย เพราะเธออยากจะไปกับพวกเขามาก
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหลี่โม่พูดเช่นนี้แล้ว เฉินเสี่ยวถงก็คงไม่ตามพวกเขาไปอย่างหน้าด้านๆ หรอก นอกจากนี้ เฉินเสี่ยวถงยังกังวลว่ากู้เจี้ยนหมินและภรรยาของเขาจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอก็คงรู้สึกละอายใจที่จะอยู่เคียงข้างหลี่โม่อีกต่อไป
หลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้ว เฉินเสี่ยวถงก็ฝืนยิ้มและพูดคุยกับกู้เจี้ยนหมินและภรรยาของเขาอย่างต่อเนื่อง
หลี่โม่และกู้หยุนหลันขับรถ Mercedes-Benz ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ วิ่งไปตามถนนบนเขาที่คดเคี้ยวและมุ่งตรงไปยังนอกเขตชุมชน
หลังจากที่ทั้งคู่ขับรถออกจากเขตชุมชนได้ไม่ไกลนัก และขณะที่หลี่โม่กำลังจะเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งความเร็วนั้น หญิงชราคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากข้างถนนและล้มตัวลงตรงหน้ารถ Mercedes-Benz ในทันที
หลี่โม่เหยียบเบรกอย่างเร่งรีบ ยางรถเสียดสีกับพื้นส่งเสียงแหลมคมรกหู และMercedes-Benz หยุดนิ่งลงในที่ที่ห่างจากหญิงชราไป 5 เมตร
กู้หยุนหลันที่นั่งอยู่ข้างคนขับนั้นตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง เธอจ้องมองหญิงชราที่นอนอยู่บนพื้นอย่างว่างเปล่า จากนั้นเธอก็ปลดเข็มขัดนิรภัยและกำลังจะเดินลงไปโดยสัญชาตญาณ
หลี่โม่ดึงกู้หยุนหลันไว้แล้วกระซิบว่า: “คุณ อย่าเพิ่งรีบร้อนลงไปสิ สถานการณ์แบบนี้คุณรับมือไม่ไหวหรอก แม้ว่าจะเป็นคนที่มีเงินเดือนหลักแสนก็ไม่อาจชดเชยให้กับหญิงชราคนนี้ได้”
“ว่าไงนะ?”
กู้หยุนหลันอุทานด้วยความตกตะลึง เธอรู้สึกว่าคำพูดของหลี่โม่นั้นโอเวอร์เกินจริงแล้ว
แม้ว่าสมัยนี้จะนิยมการประคองผู้สูงอายุแล้วโดนรีดไถเงินทองก็ตาม แต่กู้หยุนหลันยังคงคิดว่ามันเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
เมื่อหญิงชราตรงหน้าล้มลงบนพื้นถนน กู้หยุนหลันคิดว่าอย่างไรก็ตามการช่วยชีวิตคนยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“คุณพูดเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตามโลกนี้คนที่ซื่อสัตย์ เมตตาและดีงามยังคงมากกว่า… อุ๊ย! เธอ… เธอกำลังจะทำอะไรอะ!” ในขณะที่กู้หยุนหลันกำลังจะให้ความรู้สามมุมมองแกหลี่โม่นั้น กลับเห็นหญิงชราริเริ่มที่จะกลิ้งตัวเข้าหา Mercedes-Benz ซะก่อน
หญิงชราที่ล้มลงกับพื้นไม่ได้ยืนขึ้น และไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือด้วย แต่เธอมองดู Mercedes-Benz ที่อยู่ห่างจากเธอห้าเมตรแล้วกัดฟันสู้อย่างสุดชีวิต
หลังจากนั้น หญิงชรากลิ้งตัวไปมาอย่างเด็ดเดี่ยวและทำการเคลื่อนไหว 360 องศาหลายครั้ง สุดท้ายเธอก็กลิ้งไปอยู่ใต้ล้อหน้าของ Mercedes-Benz
“โอ้ย! ฉันโดนรถชน มีคนขับรถมาชนฉัน ยายแก่ที่โดดเดี่ยวคนนี้กำลังจะถูกรถคันนี้ชนตายแล้ว โลกสมัยนี้ยังมีคุณธรรมอยู่หรือเปล่า?” หลังจากที่หญิงชราตั้งท่าเสร็จเรียบร้อย เธอก็ตะโกนตามบทความที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลี่โม่ส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ไม่ใช่ว่าผู้สูงอายุกลายเป็นคนเลวไปแล้ว แต่เป็นเพราะคนเลวกลายเป็นผู้สูงอายุไปแล้ว คุณรับมือกับการแบล็คเมล์แบบนี้ไม่ไหวหรอก คุณนั่งในรถด้วยความสบายใจได้เลย ฉันจะลงไปดูเอง”
กู้หยุนหลันพยักหน้าอย่างมึนงง เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าฉากที่เคยเห็นบนอินเทอร์เน็ตจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงแบบนี้
หลี่โม่ลงจากรถและเดินไปนั่งลงข้างๆ หญิงชรา
หญิงชราเอียงศีรษะไปมองหลี่โม่และเริ่มคร่ำครวญเสียงดังขึ้นกว่าเดิม: “ฉันโดนรถชน คุณรู้หรือเปล่าว่าตัวเองขับรถชนใส่คนอื่น หวังว่าแขนและขาของฉันจะยังไม่หัก คุณต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ฉันนะ”
“ผมมีเงินเดือนเพียงสามพันหยวนต่อเดือน คุณคิดว่าผมควรชดเชยคุณเท่าไหร่ดี”
“สามพัน? เงินเดือนแค่สามพันคุณยังมีรถเบนซ์ให้ขับอีกเหรอ อย่าคิดว่าฉันแก่แล้วไม่มีความรู้นะ คนที่ขับรถเบนซ์ได้ล้วนเป็นคนรวยทั้งนั้น อย่างน้อยก็ต้องชดเชยให้กับฉันสักสองหรือสามล้านหยวนสิ”
หลังจากที่หญิงชราพูดจบ เธอก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป
“ค่าชดเชยที่คุณเสนอมาผมไม่สามารถยอมรับได้จริงๆ สามถึงห้าแสนยังพอพิจารณาได้ อีกอย่างกล้องบันทึกการขับขี่ของผมได้บันทึกการกระทำของคุณไว้แล้ว สิ่งที่คุณทำมันคือการแบล็คเมล์ชัดๆ ”
หญิงชราลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว จากนั้นก็วางมือลงที่กระโปรงหน้ารถแล้วเอนศีรษะไปพิงที่ไฟรถยนต์
“คุณว่าใครแบล็คเมล์ ฉันข้ามถนนอยู่ดีๆ กลับโดนคุณชนใส่ แต่คุณกลับกล่าวหาฉันซะงั้น ทำไมฉันถึงน่าสงสารขนาดนี้ ไม่มีผู้เมตตาคนไหนยอมมาช่วยฉันและเป็นพยานให้กับฉันเลยเหรอ! จิตใจของคนรวยผู้นี้อำมหิตมาก เขาขับรถชนคนอื่นแต่ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แม้แต่บาทเดียว!
เสียงร้องไห้ของหญิงชราเป็นสัญญาณลับ ในไม่ช้าก็มีคนสองคนเดินออกมาจากข้างถนน พวกเขาหยุดลงตรงหน้า Mercedes-Benz และแสดงสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
“คุณยายครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ พื้นมันเย็นมากคุณรีบลุกขึ้นพูดเถอะครับ”
คนหนึ่งพูดกับหญิงชรา
ส่วนอีกคนหนึ่งก็มองไปที่หลี่โม่และกล่าวว่า: “ฉันทนดูไม่ไหวแล้วนะ พ่อหนุ่ม คุณเป็นคนขับรถใช่ไหม? คุณขับรถชนคนอื่นก็ต้องชดเชยค่ารักษาพยาบาลให้เขาสิ มิฉะนั้นคนเดินผ่านอย่างฉันยังทนดูไม่ได้เลย”
“เหอๆ ทนดูไม่ได้ก็เรื่องของคุณสิ ผมว่าเรื่องนี้เราแจ้งตำรวจจราจรมาเคลียร์ให้ดีกว่า”
หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรออก แต่คนพูดกลับมีท่าทีร้อนรนขึ้นมาทันที เขาเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์มือถือของหลี่โม่
“เอ๊ะ…คุณนี่ มีอะไรก็คุยกันเองได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องถึงขั้นเรียกตำรวจจรามาเลย ในเมื่อคุณขับรถชนหญิงชราคนนี้แล้ว คุณก็ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับเธอสิ ไม่มากก็น้อย คนที่มีรถเบนซ์ขับอย่างคุณคงไม่จำเป็นต้องมีเรื่องคับอกคับใจกับคุณยายเขาหรอก”
“เอามือของคุณออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
หลี่โม่มองลงไปที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง หน้าจอโทรศัพท์ถูกมือของชายคนนั้นจับไว้แล้ว
“ผมไว้หน้าคุณแล้วนะ เตือนดีๆ ไม่ยอมฟังต้องให้บังคับถึงจะฟังใช่ไหม ชนคนอื่นแล้วแต่ไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยแม้แต่บาทเดียว มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
เดิมทีชายสองคนที่รับบทเป็นผู้ดีหนึ่งผู้ร้ายหนึ่ง เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นไม้อ่อนหรือไม้แข็งล้วนใช้ไม่ได้ผลต่อหลี่โม่ทั้งนั้น ทั้งคู่จึงพับแขนเสื้อขึ้นและเผยให้เห็นใบหน้าที่ดุร้ายทันที
หญิงชราก็ยืนขึ้นในขณะที่ด่าพึมพำไปด้วย: “ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเอ๊ย กูชนใส่รถเบนซ์มาไม่รู้กี่คันแล้ว แกเป็นคนแรกที่ไม่ยอมจ่ายตังค์ ยังมีหน้ามาพูดว่าจะให้กูสามหรือห้าแสนอีก ถามจริงเถอะแกไม่อายบางเลยเหรอ”