อดกลั้นความเขินอายไว้ กู้หยุนหลันเพิ่งแตะโดนริบฝีปากของหลี่โม่ ก็กดริมฝากปากของตัวเองลงไป ริมฝีปากของทั้งสองคนติดกันแนบแน่น
หลี่โม่ลืมตาขึ้นทันที มองดูกู้หยุนหลันที่จูบเข้าริมฝีปากของตัวเอง
“อ๊ะ!”
กู้หยุนหลันที่เห็นว่าหลี่โม่มองมา ตกใจกลัวเหมือนกับกระต่ายน้อยหดตัวไปยังมุมของโซฟา สองมือกุมใบหน้าที่แดงของตัวเองไว้แน่น
“ทำไมอยู่ๆนายถึงลืมตาเลย ฉันบอกไปแล้วไงว่าไม่มีคำสั่งของฉัน นายห้ามลืมตา”
กู้หยุนหลันพูดอย่างต่อว่า
“ฉันก็ไม่ได้อยากลืมตา ก็คิดว่ามีแมลงมาเกาะที่ปากเลยลืมตามาดูไง ไม่ก็พวกเรามาทำอีกรอบ? ฉันรับประกันว่าไม่ลืมตาแน่นอน”
หลี่โม่พูดยิ้มอย่างซื่อๆ
กู้หยุนหลันชี้นิ้วอย่างโมโห แล้วจิ้มไปที่แขนของหลี่โม่ “ดีสิ นายกล้าคิดว่าฉันเป็นแมลง ดูฉันจิ้มๆๆ”
ทั้งสองหยอกล้อกัน กินขนมจนหมด ดื่มน้ำผลไม้จนหมด
“กินหมดจานแล้ว คุณผู้หญิงกู้หยุนหลันที่สวยงามครับ มีแผนทำอะไรต่อมั้ยครับ?”
“อือ~วันนี้อารมณ์ดี เหมาะกับการตั้งใจทำงาน นายไปดูเอกสารที่บริษัทกับฉันแล้วกัน”
กู้หยุนหลันระเบิดความเป็นมืออาชีพ อยากไปจัดการกับงานในช่วงนี้ จะได้ให้บริษัทเข้าสู้ทางการอย่างไว
หลี่โม่งุนงงนิดหน่อย ไม่คิดว่าเวลาที่กู้หยุนหลันอารมณ์ดี ไม่ได้อยากออกไปเที่ยวเล่น แต่อยากกลับไปทำงาน
อือ ผู้หญิงที่มีความเพียรแบบนี้ มีค่าพอที่จะให้ตัวเองปกป้องอย่างดีจริงๆ งั้นก็ไปช่วยคุณภรรยาทำงานก็แล้วกัน
“งั้นก็ดี ขนมพวกนี้ไม่เลวเลย ฉันให้ผู้จัดการห่อไปบ้างดีกว่า ดูเอกสารก็เป็นเรื่องที่เสียพลังงาน จำเป็นต้องเติมพลัง”
หลี่โม่เรียกผู้จัดการมา ยังไม่ทันรอให้หลี่โม่พูดอะไร ก็เห็นผู้จัดการปรบมือ พนักงานกลุ่มหนึ่งก็ถือกล่องอาหารต่างๆเข้ามา
“พวกนี้ล้วนเป็นขนมที่เมื่อกี้ทั้งสองท่านสั่งให้เชฟทำ เชิญคุณหลี่นำกลับไปชิมดูครับ ที่นี่ยังมีผลไม้สดปั่นเก็บด้วยความเย็น ดีที่สุดคือดื่มภายในสี่ชั่วโมงครับ”
บนใบหน้าของผู้จัดการมีรอยยิ้มประจบ เหมือนกับว่าเป็นลูกน้องมือทองของหลี่โม่ซะอย่างนั้น
หลี่โม่มองผู้จัดการอย่างมีความสุข “จัดเตรียมไว้พร้อมดีหนิ งั้นก็คิดเงินเถอะ”
“ไม่ต้องครับ พวกนี้เป็นของที่ทางร้านมอบให้ครับ”
ผู้จัดการพูด
“นี่นายก็ทำการซื้อขายขาดทุนนะสิ ของที่ไม่เก็บเงินมักจะเป็นของที่แพงที่สุดเสมอ นายเก็บเงินเถอะ ไม่อย่างนั้นต่อไปฉันจะไม่มาแล้ว”
หลี่โม่พูดนิ่งๆ
ถ้าหากว่าอู๋เต้าเหวินเป็นคนมามอบพวกนี้ให้ หลี่โม่ก็รับไว้แล้ว
แต่ว่าผู้จัดการที่เป็นลูกน้องของอู๋เต้าเหวินมามอบพวกนี้ให้ หลี่โม่ไม่มีทางรับอยู่แล้ว เพราะว่าผู้จัดการคนนี้ยังไม่เหมาะที่จะสามารถส่งมอบของให้หลี่โม่ได้
ผู้จัดการพูดยิ้มๆว่า “นี่เป็นคำสั่งของเถ้าแก่เรา ถึงผมอยากจะให้คุณก็ยังไม่มีสิทธิ์มากพอจะให้หรอกครับ พูดความจริงประโยคหนึ่ง ขนมพวกนี้ราคาเทียบเท่าเงินเดือนเดือนหนึ่งของผมแล้ว ผมไม่มีความสามารถพอจะทำได้ถึงขั้นให้ฟรีหรอกครับ อีกอย่าง เถ้าแก่ของพวกเราทำหอประชุมในเมืองแห่งหนึ่ง มักจะเชิญคนมีชื่อเสียงมาทำการบรรยายที่หอประชุม เมื่อกี้เถ้าแก่ให้ผมเชิญคุณแทนเขาไปเป็นผู้บรรยายที่หอประชุมในเมืองครับ จัดการบรรยายเศรษฐศาสตร์ และแน่นอน ไม่ใช่การบรรยายวิชาการที่เคร่งเครียด ส่วนมากเป็นแบบวิทยาศาสตร์นิยมและแบบเล่าสู่อนาคต ทำการส่งเสริมบรรยากาศการเรียนในวงการชนชั้นสูงของเมืองเราสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไรครับ”
หลี่โม่หัวเราะ ไม่คิดเลยว่าอู๋เต้าเหวินจะยิ่งอยู่ยิ่งหลากหลายแล้ว ถึงได้ข้ามจากการทำร้านอาหารเป็นการบรรยายวิชาการ
แต่ว่าอู๋เต้าเหวินมีความสัมพันธ์ที่ดี เพียงแค่ทำการได้ดี ก็สามารถทำโครงการหอประชุมในเมืองนี้ได้ดีแน่นอน
“นี่มันเรื่องดีนี่ นายสามารถพิจารณาดูได้นะ”
กู้หยุนหลันพูดเสียงเบา
หลี่โม่หัวเราะ “เป็นผู้บรรยายจะต้องดูพวกประกาศนียบัตรพวกนี้ไม่ใช่หรอ ฉันมีแค่ใบรับรองการศึกษาแค่ใบเดียว คิดว่าคงไม่มีสิทธิ์มากพอหรอก”
“จะมีสิทธิ์ไม่พอได้ยังไงกันครับ คนเก่งไม่ดูฐานเกิด ความสามารถไม่ดูอายุ คุณหลี่คุณมีความสามารถอย่างมาก สามารถเชิญคุณมาเป็นผู้บรรยายได้ถึงจะเป็นเกียรติของเราถึงจะถูกครับ”
ผู้จัดการแสดงการประจบออกมา พยายามให้หลี่โม่ฟังแล้วสบายใจ จะได้ทำเรื่องที่อู๋เต้าเหวินสั่งไว้ได้สำเร็จ
หลี่โม่ฟังจนมีความสุขจริงๆนั่นแหละ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ได้สิ นายจัดวางเวลาเถอะ รอบแรกก็พูดเกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐศาสตร์ ฉันคิดถึงไหนพูดถึงนั้น เป็นไปตามที่ทำได้ ไม่มีหัวข้อหลักอะไร”
“เป็นไปตามที่ทำได้ก็ดีครับ แบบนี้มีความแตกต่างที่สุด สามารถทำให้ผู้คนมีความเข้าใจ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ จัดการเวลาเสร็จแล้วจะแจ้งคุณครับ”
พูดอย่างเคารพกับหลี่โม่จนจบ ผู้จัดการก็หันไปพูดกับพวกพนักงานว่า “เอาของไปส่งให้ที่รถของคุณหลี่”
ผู้จัดการโบกมือพนักงานก็ถือเอากล่องอาหารเดินไปยังรถที่หลี่โม่ขับมา
หลี่โม่และกู้หยุนหลันจับมือออกไปพร้อมกัน เมื่อถึงข้างรถแล้วหลี่โม่ก็เปิดประตูรถออก ให้พนักงานเอากล่องอาหารวางไว้ที่เบาะหลัง
ไม่นานเบาะหลังก็ถูกยัดจนเต็ม คนที่ไม่รู้คงคิดว่าหลี่โม่ออกไปทำการซื้อของครั้งใหญ่ซะอีก
หลี่โม่และกู้หยุนหลันขึ้นรถ ขับรถออกมาจากวนเหลินกัง ผู้จัดการพาพนักงานยืนส่งหลี่โม่ขับรถออกไป จนถึงตอนที่มองไม่เห็นไฟท้ายรถแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าถึงได้ผ่อนคลายลง
ผู้จัดการโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้พวกพนักงานกลับไปทำงานของตัวเอง
รอจนพวกพนักงานแยกย้ายกันไปแล้ว ผู้จัดการก็ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาเบอร์ของอู๋เต้าเหวิน
“เถ้าแก่ครับ จัดการเรื่องราวเรียบร้อยครับ หลี่โม่ตอบตกลงที่จะเป็นผู้บรรยายในหอประชุมในเมืองแล้วครับ ต่อไปคุณดูว่าจะจัดการยังไงต่อครับ”
“รู้แล้ว ตอนนี้ไม่มีงานอะไรของนายแล้ว ดูแลร้านให้ดีก็พอแล้ว”
หลังจากอู๋เต้าเหวินพูดจบแล้วก็วางสาย สายตามองไปยังคนชุดดำที่นั่งอยู่ตรงข้ามของตัวเอง
คนชุดดำคนนี้เป็นผู้สื่อสารที่ราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมินส่งมา สถานการณ์ของสำนักหลงเหมินในตอนนี้คาดการณ์ไม่ได้ แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หลงโปปะทะกับหลี่โม่ ในที่สุดราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมินก็ทนไม่ได้แล้วจึงวางต้องการวางหมาก
หมากที่ถูกราชาสำนักใหญ่ของหลงเหมินเลือก นั่นก็คืออู๋เต้าเหวิน
หลังจากที่หลี่โม่ถูกไล่ออกจากสำนักหลงเหมินแล้ว ราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมินก็เริ่มทำการวางแผนไว้แล้ว ในตอนนั้นราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมินเลือกอู๋เต้าเหวินที่มีความสามารถมาที่เมืองฮ่าน มาเป็นหมากว่างๆไว้เพื่อทำการจัดเตรียม
ในวันนี้ถึงเวลาที่หมากว่างๆอย่างอู๋เต้าเหวินจะแสดงบทบาทแล้ว
“ผู้สื่อสารที่เคารพ ผมจัดการตามที่คุณสั่งเรียบร้อยแล้ว”
อู๋เต้าเหวินพูดกับคนชุดดำอย่างเคารพ
คนชุดดำยิ้มเล็กน้อย พูดอย่างสงบนิ่งว่า “คำพูดของราชาใหญ่สำนักหลงเหมินฉันส่งต่อให้นายอย่างชัดเจนแล้ว ต่อไปควรจะทำยังไง คิดว่าในใจของนายจะเข้าใจเป็นอย่างดีนะ”
อู๋เต้าเหวินก้มหัวยิ้มขมขื่น ในใจมีความลังเลเกิดขึ้นมา
จากปากของผู้สื่อสารที่ราชาสำนักหลงเหมินส่งมา หลังจากที่รู้ว่าหลี่โม่เป็นนายน้อยของสำนักหลงเหมิน ในใจของอู๋เต้าเหวินตกใจเป็นอย่างที่สุด
แต่หลังจากตกใจแล้วอู๋เต้าเหวินก็รู้สึกว่าลำบากใจมาก เพราะว่าฝั่งซ้ายคือหลี่โม่ ฝั่งขวาคือราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมิน ตอนนี้ถึงเวลาที่อู๋เต้าเหวินต้องเลือกข้างแล้ว
แล้วควรจะเลือกอยู่ข้างไหนละ?
นี่คือคำถามยากที่วางไว้ตรงหน้าของอู๋เต้าเหวิน