หลี่โม่ได้ยินก็อึ้งไป เขาเคยได้ยินตระกูลที่ปลีกตัวจากโลก ตระกูลพวกนี้จะไม่ยุ่งกับเรื่องทางโลก และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่วุ่นวาย
ส่วนใหญ่ตระกูลพวกนี้จะเป็นตระกูลที่รู้เกี่ยวกับวิทยายุทธ มีอีกเหตุผลที่พวกเขาปลีกตัวจากโลก นั่นก็คือพวกเขากลัวว่าจะพลั้งมือทำร้ายคนอื่น
ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะให้ตัวแทนจัดการเรื่องในบริษัท ส่วนพวกลูกหลาน เป็นช่วงที่ออกไปฝึกวิทยายุทธ
นี่ทำให้คนไม่ค่อยรู้ว่าพวกเขามีตัวตน แต่เพราะเหตุนี้ ทำให้หลี่โม่อยากรู้มากขึ้น
ถ้าพูดตามหลักเหตุผล กู้หยุนหลันไม่น่าจะรู้จักพวกตระกูลที่ปลีกตัวจากโลก เธอเป็นแค่ลูกในตระกูลเล็กๆ เท่านั้น
“คุณภรรยา คุณรู้จักคนในตระกูลที่ปลีกตัวจากโลกได้ยังไง” หลี่โม่ถามอย่างอยากรู้
ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลที่ปลีกตัวจากโลก งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ครั้งนี้ คงจะราบรื่นได้
กู้หยุนหลันได้ยินก็อึ้งไป จากนั้นจึงรีบพูดว่า “มีตระกูลที่ปลีกตัวจากโลกจริงเหรอ”
“ฉันนึกว่าตอนนั้นเขาพูดโม้ซะอีก”
จริงๆ กู้หยุนหลันไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้ เพราะตระกูลที่ปลีกตัวจากโลกอะไรนั่น มันไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไร
ตระกูลก็คือตระกูล จะมีตระกูลที่ปลีกตัวจากโลกได้ยังไง นี่ไม่ใช่เรื่องที่มีค่าอะไรสำหรับเธอ เพราะเธอไม่รู้ถึงการมีอยู่ของวิทยายุทธ
“มีตระกูลที่ปลีกตัวจากโลกจริงๆ แต่คุณรู้จักกันได้ยังไง ทำไมเขาถึงให้สัญญาแบบนั้นกับคุณ” หลี่โม่ยืนยันว่ามีจริงๆ จากนั้นจึงถามกู้หยุนหลันอีกรอบ
กู้หยุนหลันได้ยินก็หัวเราะ และพูดว่า “ฉันรู้จักตอนเรียนมหาวิทยาลัย ถ้าให้พูดจริงๆ เขาไม่นับว่าเป็นเพื่อนฉันหรอก”
“ตอนนั้นฉันไปเที่ยวนอกมหาวิทยาลัย เห็นขอทานคนหนึ่งกำลังโดนรุมทำร้าย ฉันเลยไปช่วยขอทานคนนั้น และให้เงินเขาไปห้าร้อย”
“จากนั้นเขาก็พูดแบบนี้กับฉัน แล้วก็ให้ช่องทางติดต่อมาด้วย บอกว่าไม่ว่าจะเจอเรื่องตอนไหน ก็สามารถโทรหาเขาได้”
“ตอนนั้นฉันรู้สึกแปลกใหม่มาก เพราะเขาเป็นเพียงขอทาน พูดแบบนี้ออกมา ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ”
หลี่โม่ได้ยินก็เข้าใจทันที ตอนที่ลูกหลานของตระกูลที่ปลีกตัวจากโลก ออกมาฝึกวิทยายุทธ ทางตระกูลไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาตัวเอง
อีกอย่าง พวกเขาก็ไม่กล้าต่อยตีในสังคม ไม่งั้นพวกเขาจะได้รับหมายแจ้งจากประเทศ
ดังนั้นลูกหลานของตระกูลที่ปลีกตัวจากโลก จึงไม่ตอบโต้กลับ และกู้หยุนหลันไปเจอตอนที่อีกฝ่ายกำลังตกอับพอดี
แถมยังให้ความช่วยเหลืออีกฝ่าย จนอีกฝ่ายรู้สึกซาบซึ้ง
กู้หยุนหลันไม่รู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่หลี่โม่รู้ดี
และคาดเดาจากคำพูดของอีกฝ่าย เขาน่าจะเป็นทายาทของตระกูลที่ปลีกตัวจากโลก!
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่โม่ ขอแค่ได้ความช่วยเหลือจากตระกูลนี้ งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลี่โม่เอ่ยขึ้นมาว่า “อีกฝ่ายพูดจริง คุณยังมีช่องทางติดต่ออีกฝ่ายไหม”
“มีสิ อยู่ในลิ้นชักที่บ้าน ฉันเก็บไว้อย่างดีเลย เพราะฉันยังคาดหวังกับคนๆ นี้” กู้หยุนหลันยิ้มและพูดออกมา
“โอเค งั้นพอถึงบ้าน คุณโทรหาเขานะ พรุ่งนี้เราไปกัน” หลี่โม่กำหมัดโดยไม่รู้ตัว ความตื่นเต้นพลุ่งพล่านขึ้นมา
……
“ฮัลโหล คุณกงซุนใช่ไหมคะ”
เมื่อถึงบ้าน หลี่โม่ให้กู้หยุนหลันไปหาเบอร์โทรศัพท์ แต่เพราะมันค่อนข้างดึก หลี่โม่จึงให้กู้หยุนหลันโทรหาอีกฝ่ายในวันพรุ่งนี้
“ผมเอง คุณคือผู้หญิงที่ช่วยผมในปีนั้นสินะ”
เสียงใสดังก้องออกมาจากปลายสาย ในความสงสัยแฝงไปด้วยความแน่ใจเล็กน้อย
“หา? คุณยังจำฉันได้เหรอ” กู้หยุนหลันพูดอย่างอึ้งๆ
แต่หลี่โม่เข้าใจ เพราะเมื่อพวกลูกหลานตระกูลที่ปลีกตัวจากโลกออกมาข้างนอก เขาไม่มีทางบอกช่องทางการติดต่อตัวเองง่ายๆ
ถึงจะให้ ก็ให้เบอร์ที่ใช้ในสังคมภายนอก เมื่อพวกเขากลับบ้านก็โยนเบอร์พวกนั้นทิ้ง
เบอร์ที่คุณกงซุนให้กู้หยุนหลัน น่าจะเป็นเบอร์ที่ใช้ในบ้าน และยังให้กู้หยุนหลันเพียงคนเดียวด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเบอร์โทร จึงแน่ใจว่าเป็นเบอร์ของกู้หยุนหลัน
“จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ” มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากปลายสาย
“ตอนนั้นถ้าไม่ได้คุณ ผมคงอดตายอยู่ข้างทาง คงกลับมาที่ตระกูลไม่ได้ ผมเลยจำคุณได้ดี”
หลี่โม่ฟังเสียงของคุณกงซุน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ
“ทำไมคุณถึงโทรหาผมล่ะ เจอเรื่องลำบากอะไรหรือเปล่า”
“ถ้าใช่ คุณบอกผมมาได้เลย ผมจะรีบจัดการให้ทันที ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมช่วยได้ทุกเรื่อง” คุณกงซุนหัวเราะและเอ่ยขึ้น
หลี่โม่รู้ได้ทันทีว่าคุณกงซุนเป็นคนยังไง กงซุนจุนคงเป็นพวกคุณชายที่สง่างามและสูงส่ง
คำที่รับปากนั้นเชื่อถือได้มาก แถมยังทำอะไรโดยไม่ลังเลและยืดเยื้อ
เพราะฉะนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ถ้าขืนเป็นคนอื่น คงเปลี่ยนเรื่องไปนานแล้ว ไม่เป็นฝ่ายพูดสิ่งที่ตัวเองให้สัญญาไว้ในตอนนั้นหรอก
“ฉันเจอเรื่องนิดหน่อย แต่จะให้เล่าในเวลาสั้นๆ คงทำไม่ได้” กู้หยุนหลันขมวดคิ้ว
“ถ้าคุณสะดวก พรุ่งนี้ฉันกับสามีไปหาคุณได้ไหม”
กู้หยุนหลันจงใจบอกว่าตัวเองมีสามีแล้ว เพราะอยากรู้ปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“ว้าว คุณแต่งงานแล้วเหรอ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะอายุถึงช่วงแต่งงานแล้ว”
เสียงตกใจของคุณกงซุนดังออกมา แต่กลับไม่มีน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจ
“ได้เลย ไม่ต้องพรุ่งนี้หรอก วันนี้ตอนบ่ายก็ได้ ผมอยู่ในเมืองพอดี บ่ายสามผมจะไปรอคุณที่โรงเตี๊ยมดอกท้อ”
คุณกงซุนหัวเราะแล้วพูดออกมา
กู้หยุนหลันได้ยินก็โล่งอก โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ไม่งั้นเธอก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
เพราะเธอคิดว่าการโทรไปครั้งนี้ ถือเป็นการก้าวล่วงแล้ว
แต่เหมือนคุณกงซุนจัดการกับเรื่องเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น คำพูดที่เขาพูดออกมา ทำให้คนรู้สึกสบายใจมาก
“ได้ค่ะ เดี๋ยวถึงเวลา ฉันจะไปกับสามีนะคะ” กู้หยุนหลันยิ้มและเอ่ยขึ้น
“ได้ งั้นผมขอจัดการธุระก่อนนะครับ เจอกันตอนบ่าย”
“โอเคค่ะ”
กู้หยุนหลันพูดจบก็วางสาย สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความยินดี
“คิดไม่ถึงว่าคุณกงซุนจะเป็นคนดีเช่นนี้ ฉันนึกว่าเขาจะลืมฉันแล้ว”
หลี่โม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณกงซุนจะนิสัยดีเลยนะ ในเมื่อเจอกันช่วงบ่าย งั้นผมขอไปทำธุระของผมก่อนนะ”