เมื่อเห็นม้าศึกชิ้นที่ฉายอยู่บนจอขนาดใหญ่ หลี่โม่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ลักษณะของม้าศึกสีทองบรอนซ์ที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับม้าตัวที่ขายออกไป เมื่อสองสามวันก่อนที่ฉีเป่าจาย อย่างกับเป็นตัวเดียวกัน!
สองสามวันมานี้ หลี่โม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับโบราณวัตถุ เพราะว่าเขาอยากลงทุนธุรกิจส่วนหนึ่ง ในงานการตรวจชมโบราณวัตถุ
และถือเป็นการฝึกความสามารถและปลูกฝังธุรกิจ
โดยเฉพาะเรื่องเถ้าแก่เหอเมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้หลี่โม่ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง
เพราะม้าสีทองบรอนซ์ปรากฏต่อสายตาของผู้คน การแข่งขันประมูลรอบที่สอง ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ไม่ว่าจะเป็นสี ผิวสัมผัส หรือองค์ประกอบของม้าชิ้นนี้ เหมือนกับม้าตัวที่ขายออกไปที่ฉีเป่าจายไม่มีผิด
ม้าศึกชิ้นที่ขายออกไปที่ฉีเป่าจาย เป็นของปลอมระดับไฮเอนด์จากฝีมือของจางเหมิน เรื่องนี้หลี่โม่ทราบดี
คนที่ชื่อจางเหมินอยู่ในวงการปลอมโบราณวัตถุ ซึ่งฝีมือของเขาเรียกได้ว่าขั้นเทพ
วันนี้ม้าศึกสีทองบรอนซ์มาอยู่ในงานประมูล ยิ่งทำให้น่าสนใจเข้าไปใหญ่
อย่าบอกนะว่าม้าศึกสีทองบรอนซ์ ที่อยู่บนเวทีประมูล เป็นฝีมือของจางเหมินอย่างนั้นเหรอ
หรือม้าศึกชิ้นที่อยู่ตรงหน้า คือชิ้นที่เป็นของจริงกันแน่
หรือม้าศึกชิ้นที่อยู่ในงานประมูลนี้ ก็เป็นของปลอมเหมือนกัน
หลี่โม่คาดเดาในใจไปต่างๆ นานา แต่เขาก็ไม่สามารถฟันธงออกมาได้
ดูเหมือนว่าจะต้องดูลักษณะบนตัวม้าอย่างละเอียด ถึงจะจับพิรุธได้
ถึงจะเป็นของจริงหรือของปลอม ยังไงก็ต้องเป็นไปตามกฎของสรรพสิ่งบนโลกนี้ ไม่มีทางที่จะมีของสองสิ่งที่เหมือนกันจนแยกไม่ออกขนาดนี้!
ตอนนี้ ในงานเริ่มขยายลักษณะของม้าสีทองบรอนซ์ให้ใหญ่ขึ้น
ด้วยหน้าจอบนเวทีการประมูลที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้เห็นทุกซอกทุกมุมของม้าศึกชิ้นนี้
นี่ทำให้หลี่โม่สามารถสังเกตลายแกะสลักบนตัวม้าได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อได้ดูรอบหนึ่ง หลี่โม่รู้สึกว่างานแกะสลักม้าศึกชิ้นที่อยู่ตรงหน้า ค่อนข้างตื้น มีความแตกต่างกับลายของชิ้นที่ขายออกไปที่ฉีเป่าจาย
หลังจากที่การดูเสร็จเรียบร้อย บนหน้าจอฉายให้เห็นม้าศึกในมุมมองต่างๆ
ม้าศึกสีทองบรอนซ์ชิ้นนั้นหมุนให้เห็นมุมต่างๆ ดียิ่งกว่าพลิกดูด้วยมือเสียอีก
ถ้าให้เทียบกับม้าชิ้นที่ฉีเป่าจาย ม้าสีทองบรอนซ์ชิ้นที่อยู่ในงานตอนนี้ ดูมุมเสยจะโดดเด่นกว่า แต่เมื่อมองจากมุมบนดูด้อยกว่าเล็กน้อย เพราะฉะนั้นของทั้งสองชิ้นต่างก็มีข้อดีคนละแบบ
สรุปการเปรียบเทียบของทั้งสองชิ้น หลี่โม่กล้าพนันได้เลยว่าม้าศึกชิ้นนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกับที่ฉีเป่าจาย แต่ถ้าจะให้ตัดสินว่าเป็นของแท้หรือปลอม หลี่โม่ยังไม่สามารถตัดสินได้
ตอนนี้การแสดงสินค้าก็สิ้นสุดลงแล้ว เข้าสู่ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นที่สุด
บนหน้าจอแสดงราคาต่ำสุดของม้าศึกสีทองบรอนซ์ ซึ่งก็คือสองแสน
หา?
แค่สองแสนเองเหรอ
ของปลอมที่ขายออกไปที่ฉีเป่าจายขายได้ถึงสองแสนห้า
แต่หลี่โม่คิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่คืองานประมูล มันไม่เหมือนกัน ยังไงก็ต้องดูราคาประมูลครั้งสุดท้ายเป็นหลัก
ขณะที่หลี่โม่กำลังคิดอยู่ คนในงานเริ่มเพิ่มราคา ครั้งแรกก็ให้ราคาถึงสองแสนห้า และตัวเลขสูงขึ้นเรื่อยๆ……
หลังจากที่ตัวเลขบนหน้าจอขยับอย่างรวดเร็ว ราคาหยุดลงที่สามแสนแปด
หลี่โม่คิดในใจว่าราคาสามแสนแปด ไม่ต่างจากที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้ ถือว่าเป็นของที่มีราคา
ขณะที่หลี่โม่คิดว่านี่คือราคาสุดท้าย จู่ๆ ก็มีเสียงดังเข้ามาในหู ตัวเลขบนหน้าจอเปลี่ยนเป็นห้าแสน
คนในงานอุทานออกมาอย่างตกใจ โดยที่ไม่ได้นัดกันมาก่อน
หลี่โม่หันไปตามเสียงของเครื่องกดราคาประมูล เขาเห็นใบหน้าได้ใจของชุยเซิ่งจุน
สุดท้ายก็ไม่มีใครสู้ราคาประมูลของชุยเซิ่งจุน ม้าศึกสีทองบรอนซ์ชิ้นนี้ ตกอยู่ในมือของเขา
หลี่โม่มองชุยเซิ่งจุนที่นั่งพิงเก้าอี้ ด้วยท่าทางได้ใจ เขาคิดในใจว่าไอ้หมอนี่มาหาโบราณวัตถุ หรือมาโฆษณาโรงรับจำนำจู้ติ่ง ถึงชอบออกหน้าออกตาขนาดนี้
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของหลี่โม่ มือซ้ายของชุยเซิ่งจุนหยิบกล่องใส่ม้าสีทองบรอนซ์ และยกนิ้วโป้งขวาขึ้นมา เขายิ้มอย่างตกอกตกใจใส่หลี่โม่
หลี่โม่ถึงกับพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่านายน้อยชุยจะเบียวขนาดนี้……
ของชิ้นที่สองที่ประมูลก็คือนาฬิกาพก ระบบแมนนวลดินแดนแห่งนาฬิกาสวิสเซอร์แลนด์
ว่ากันว่านาฬิกาพกชิ้นนี้ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเจ้าชาย โดยผู้ผลิตนาฬิกาสวิสเซอร์แลนด์ที่เก่าแก่ที่สุด ตัวเรือนและสายห้อยทองคำบริสุทธิ์ ทำให้นาฬิกาทั้งเรือนดูสูงส่งเป็นอย่างมาก บวกกับตำแหน่งสเกลบนหน้าปัดที่ฝังเพชรสิบสองเม็ด ทำให้นาฬิกาพกเรือนนี้มีมูลค่าสูง
ราคาต่ำสุดของนาฬิกาพกเรือนนี้คือสี่ล้าน สุดท้ายมันถูกประมูลไปในราคาห้าล้านหกแสน โดยเศรษฐีชาวต่างชาติคนหนึ่ง
หลังจากรับของสำเร็จ ในงานเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ
เมื่อชุยเซิ่งจุนเห็นการประมูลตรงหน้า เขาเงียบลงมาก หลี่โม่ยียวนใส่เขา
“ทำไมเหรอคุณชายชุย คุณไม่พอใจกับการประมูลรอบนี้เหรอ เงียบอย่างนี้ไม่สมกับเป็นคุณเลยนะ”
ชุยเซิ่งจุนได้ยินก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ
“ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก นี่มันสมัยไหนแล้ว ใครเขาใช้นาฬิกาพกกันล่ะ มีเงินก็ไม่ควรใช้สุรุ่ยสุร่ายไม่ใช่เหรอ”
พูดจบเขาก็ยกนาฬิกาข้อมือสวิสรุ่นลิมิเต็ด ราคาหลายล้านบนข้อมือตัวเองขึ้นมา
จู่ๆ หลี่โม่ก็พูดไม่ออก
เขาคิดในใจว่าครั้งนี้คงเจอตัวซวยเข้าให้แล้ว
สินค้าที่เอามาประมูลเป็นชิ้นที่สามคือกำไลไม้หอมกฤษณา
ไม้หอมกฤษณาเป็นของดี ดังนั้นเมื่อกำลังถูกนำออกมาโชว์ ข้างล่างก็มีเสียงดังขึ้นอย่างคึกคัก
ขนาดสายตาของชุยเซิ่งจุนก็เปลี่ยนไป
เริ่มแรกความคิดของหลี่โม่ก็ไม่ต่างจากผู้คนในนี้ เขาคิดว่านี่คือของดี
แต่เมื่อกำไลไม้หอมกฤษณาถูกนำมาวางข้างหน้า หลี่โม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายออกมาได้
หลี่โม่โน้มหน้าเข้าไปข้างหูฟางรั่วเสว่ และพูดเสียงเบา
“กำไลไม้หอมกฤษณาไม่ใช่ของแท้จนร้อยเปอร์เซ็นต์ และทำของปลอมได้อย่างขั้นเทพ ผมว่าคนในงานนี้ ดูออกแค่ไม่กี่คน ผมเดาว่าราคาต่ำสุดของกำไลนี่คงไม่สูง แต่ราคามันจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว……”