หวางจงเสวียนครุ่นคิดในใจและรู้สึกว่าคำแนะนำของหวางจงเหิงพอมีประโยชน์เหมือนกัน แต่เขาจะลดตัวไปง้อหลี่โม่อีกไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงเลือกที่จะโทรหาหวังฟาง
“คงไม่โทรหาหลี่โม่แล้วล่ะ พี่โทรหาน้าสาวก่อนดีกว่า”
หวางจงเสวียนหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาหวังฟาง
หลังจากรับสายแล้วหวางจงเสวียนก็ยิ้มพูด “น้าสาวครับ”
“หวางจงเสวียน เป็นยังไงบ้าง หลี่โม่พาพวกนายไปหาเจ้าของบริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปยัง”
หวังฟางถามอย่างประหม่า
“ยังเลยครับ”
หวังฟางโกรธจนลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ในใจเธอเต็มไปด้วยคำด่าที่มีต่อหลี่โม่ “ไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้มันทำอะไรกันแน่ จงเสวียน ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“ใจเย็นก่อนครับน้า คือแบบนี้ครับ เมื่อกี้พวกผมมีความขัดแย้งกับหลี่โม่หน่อย ตอนนี้หลี่โม่เข้าไปในออฟฟิศของท่านประธานบริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปแล้วครับ แต่พวกผมยังอยู่ข้างนอกครับ”
หวังฟางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและความกังวลของเธอก็ค่อยๆ หายไป “แบบนี้นี่เอง แล้วไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้มันคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมปล่อยให้พวกนายยืนรอข้างนอก มันหมายความว่าไง”
หวางจงเสวียนเงียบไปสักพัก เขาไม่รู้จะตอบยังไง แต่ที่รู้คือหลี่โม่จงใจจะแกล้งพวกเขา
“ผมคิดว่าหลี่โม่ตั้งใจจะเอาคืนพวกผมครับ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ แต่น้าช่วยโทรบอกหลี่โม่ทีครับว่าหยุดทำแบบนี้ได้แล้ว รบกวนเขาช่วยพวกเราทีนะครับ”
หวางจงเสวียนพูดอย่างอ่อนน้อม
ในเวลาคับขันแบบนี้หวางจงเสวียนจะพูดถึงหลี่โม่ในแง่ลบไม่ได้ เขาทำได้เพียงฝืนใจพูด
หวังฟางกลอกตาขาวและพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาแล้ว
ขอเพียงแค่หลี่โม่ไม่ได้โกหกและไม่ได้ทำให้เธออับอายขายหน้าก็พอ ส่วนเรื่องบาดหมางระหว่างหลี่โม่กับพี่น้องของหวางจงเสวียนหวังฟางไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว
“เรื่องแค่นี้เองเหรอ ได้สิ เดี๋ยวน้าจะโทรบอกไอ้คนไร้ประโยชน์คนนั้นให้ แต่น้าต้องบอกพวกนายหน่อยแล้วล่ะ ถึงแม้หลี่โม่จะเป็นคนไร้ประโยชน์ก็จริง แต่เขายอมใช้ความสัมพันธ์ของเฉียนฝูเพื่อทำให้พวกนายได้เจอกับเจ้าของบริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปเลยนะ พวกนายกลับไปทะเลาะกับมันอีก เรื่องนี้มันไม่สมควรเกิดขึ้นเลย”
หวังฟางรีบฉวยโอกาสนี้ตำหนิลูกหลานของตระกูลหวางและถือว่าเธอได้ระบายความโกรธที่เธอมีต่อครอบครัวตระกูลหวางตลอดที่ผ่านมา
หวางจงเสวียนยิ้มอย่างขมขื่นและเอวของเขาก็งอไป 15 องศาโดยที่ไม่รู้ตัว “คุณน้าใจเย็นๆ ก่อนครับ เราก็ไม่รู้หลี่โม่จะสนิทกับคนใหญ่คนโตขนาดนี้ เดี๋ยวเราจะหาโอกาสขอโทษเขาเองนะครับ”
“จะไปขอโทษมันทำไม น้าแค่จะบอกว่าพวกนายไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เลยจริงๆ!”
หวังฟางยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น แม้เธอจะคิดว่าหลานชายของเธอฉลาด แต่บางทีไหวพริบของหลานชายก็แย่มากเหมือนกัน ทำไมต้องไปขอโทษคนอย่างหลี่โม่ด้วย
ไปขอโทษหลี่โม่แล้วได้อะไร ต้องมาขอบคุณคนเป็นน้าคนนี้ถึงจะถูก!
หวังฟางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวน้าจะบอกหลี่โม่ให้ละกัน”
หลังจากวางสายลงหวังฟางก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างๆ และบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “ไม่รู้จักเคารพฉัน แล้วจะขอให้ฉันช่วยเหลืองั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ปล่อยให้ไอ้กระจอกเล่นกับพวกนายไปละกัน”
หวางจงเสวียนที่ฟังเสียงในสายถูกกดวางเขาก็แสดงสีหน้าขมขื่นทันที จากนั้นหลังพิงกำแพงแล้วหยิบบุหรี่ออกมาคาบไว้ในปาก
“ทำอะไร ที่นี่คือเขตปลอดบุหรี่คุณไม่รู้เหรอ”
หวังต้าหย่งตะโกนใส่หวางจงเสวียน
หวางจงเสวียนรู้สึกว่าตัวเองในขณะนี้ย่ำแย่มาก เขาได้แต่เก็บบุหรี่แล้วยิ้มพูดอย่างขมขื่น “ขอโทษทีครับ ผมไม่ทราบครับ ผมไม่สูบแล้วครับ”
“พี่ น้าสาวว่าไง สรุปได้ไหม”
หวางจงเหิงถามอย่างกังวลใจ
“น้าสาวบอกว่าที่หลี่โม่พาพวกเรามาพบกับเจ้าของหยุนจงหลันกรุ๊ปได้ก็เพราะใช้เส้นสายของเฉียนฝู”
หวางจงเสวียนพูดอย่างขมขื่น
ไอ้กระจอกคนนั้นมันรู้จักเฉียนฝูจริงๆ แถมยังสนิทกันด้วย ซึ่งทำให้หวางจงเสวียนรู้สึกอิจฉาและเกลียดชังมาก หวางจงเสวียนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่าถ้าเขารู้จักเฉียนฝู ชีวิตของเขาจะดูน่าตื่นเต้นขึ้นมากแค่ไหน
ถ้าเขารู้จักเฉียนฝูคงไม่ต้องมานั่งรอเจ้าของหยุนจงหลันกรุ๊ปเหมือนมานั่งขอทาน เขารู้สึกเสียดายกับหลี่โม่มากที่ไม่รู้จักใช้ความสัมพันธ์นี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างตัว ช่างสิ้นเปลืองทรัพยากรจริงๆ!
หวางจงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองกับชีวิต ทำไมโชคชะตาถึงไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ทำไมคนเก่งอย่างเขาถึงไม่ได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้บ้าง
จิตวิญญาณความคิดของหวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงเข้าสู่ในภวังค์ ทั้งสองนึกถึงฉากที่ต้องคุกเข่าต่อหน้าหลี่โม่ก็เพราะเฉียนฝูคนนี้
การคุกเข่าครั้งนั้นถือเป็นเรื่องที่อับอายที่สุดในชีวิตของพวกเขา ทั้งสองได้แต่บีบมือไว้แน่นๆ จนกลายเป็นกำปั้นและอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปจัดการหลี่โม่ให้ตายไปข้าง
“ให้ตายสิ ไอ้กระจอกคนนั้นมันรู้จักเฉียนฝูจริงๆ มันก็แค่สุนัขขี้ข้าของเขาเท่านั้นแต่เสือกมากลั่นแกล้งพวกเราแบบนี้”
“ต้องสั่งสอนให้มันเข็ดไปสักครั้งจริงๆ จะปล่อยให้มันได้ใจอีกต่อไปไม่ได้แล้ว มันก็แค่รู้จักเฉียนฝูไม่ใช่เหรอ มีอะไรที่น่าภูมิใจนักหนา”
หวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงเริ่มบ่นอย่างขุ่นเคือง แต่หวางจงเสวียนที่ยังหลับตาอยู่ก็ห้ามพวกเขาไว้ “อดทนไว้ก่อน ก่อนที่จะจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จเราจะมีเรื่องกับหลี่โม่ไม่ได้ ถ้าพวกนายไม่ฟังแล้วทำให้เรื่องนี้ต้องพัง คุณปู่ไม่ปล่อยพวกนายไว้แน่”
“พี่จะคิดมากไปไหม จำเป็นต้องกลัวขนาดนี้ด้วยเหรอ ก็แค่มีเรื่องกับคนกระจอกอย่างหลี่โม่มันคงไม่ถึงขั้นที่จะกระทบกับสัญญาของเราที่มีต่อหยุนจงหลันกรุ๊ปได้หรอก”
หวางจงเหิงพูดอย่างไม่พอใจ
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละที่จะตัดสินความสำเร็จของพวกเรา พวกนายเข้าใจไหม? ในเวลาคับขันแบบนี้เราจะประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด พวกนายยังไม่เห็นสภาพของเราตอนนี้เหรอ อย่าเอานิสัยในบ้านมาใช้ที่นี่!”
หวางจงเสวียนตะโกนใส่น้องชายทั้งสองจนทำให้หวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงก้มหัวและเงียบไปอีกครั้ง
หวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงเริ่มไตร่ตรองถึงสภาพของพวกเขาในตอนนี้ ทั้งสองจึงไม่กล้าโต้เถียงกับพี่ชายอีก เพียงแต่คิดในใจว่าพี่ชายของพวกเขาเป็นคนใจเสาะมากเกินไป
ด้านในออฟฟิศประธานบริษัท หลี่โม่เฝ้าดูทุกการเครื่องไหวของพวกเขาทั้งสามผ่านกล้องวงจรปิด
ผ่านไปอีกบทเรียนหนึ่งแล้ว หลี่โม่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังวัวที่หรูหราแล้วหันหลังให้กับประตูทางเข้าของออฟฟิศ ซึ่งทำให้คนที่เดินเข้ามาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขา แต่เห็นเพียงหลังศีรษะของเขาเท่านั้น
“พวกมันคงใกล้จะหมดความอดทนแล้วล่ะ ปล่อยให้เกมมันเดินต่ออีกสักพักแล้วค่อยเรียกตัวหวางจงเสวียนเข้ามา” หลังจากพูดจบหลี่โม่ก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์ต่อ
และอีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป หวางจงเสวียนที่ยังคงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อก็เริ่มกระวนกระวายและเอาศีรษะชนกับกำแพงเบาๆ ในขณะที่เขากำลังจะหมดความอดทน เสียงของหวังต้าหย่งก็ตะโกนขึ้น “หวางจงเสวียน ท่านประธานเรียก”