หวางจงเสวียนเลือกที่จะไปรอที่หน้าประตูออฟฟิศของประธานบริษัทโดยที่ไม่ฟังคำเตือนของหวางจงเหิง ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะหวางจงเสวียนเชื่อในคำพูดของหลี่โม่ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ถ้าหากไม่ได้พบเจ้าของบริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปและคอนเฟิร์มวันเริ่มงาน หวางจงเสวียนคงทนรับต่อไปไม่ได้ไหวอย่างแน่นอน เพราะอุปกรณ์และบุคลากรที่เตรียมไว้ต่างก็ต้องใช้เงินทุนทั้งนั้น ถ้าหากไม่ได้เริ่มงานสักทีหวางจงเสวียนคงต้องชดใช้ค่าเสียหายนี้อย่างแน่นอน
และถ้าหากถึงขั้นต้องชดใช้ค่าเสียหาย หวางจงเสวียนไม่เพียงแต่ต้องเสียเครดิตและยังต้องหมดตัวอีกด้วย ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็จะกลายเป็นที่น่ารังเกียจของทั้งวงการนี้ทันที
“ไปเถอะ เราไปรอที่หน้าประตูออฟฟิศของท่านประธานกัน”
หวางจงเสวียนพาหวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงกลับเข้าไปในสำนักงานของหยุนจงหลันกรุ๊ปอีกครั้ง พวกเขาทั้งสามขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุดแล้วตรงไปที่ออฟฟิศของเจ้าของบริษัททันที
หน้าประตูออฟฟิศของประธานบริษัทถูกปิดอย่างแน่นหนา ซึ่งไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย และมันก็ดูเหมือนว่าออฟฟิศนี้ไม่ได้ใช้งานมานานแล้วด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
หวางจงเสวียนรวบรวมความกล้าแล้วเคาะประตูห้องและตั้งใจฟังเสียงตอบรับจากด้านใน แต่หวางจงเสวียนก็ต้องผิดหวังเพราะไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เลย
“ไม่มีใครอยู่จริงๆ เรารอที่นี่แล้วได้อะไร? ถ้าเศรษฐีผู้ลึกลับคนนั้นไม่ปรากฏ เราจะรอแบบนี้ไปตลอดงั้นเหรอ?”
หวางจงเฉิงบ่นพึมพำ
“เหอะ ๆ จะไปหวังอะไรมากมาย เจ้าของหยุนจงหลันกรุ๊ปไม่อยู่หรอก ไอ้กระจอกหลี่โม่มันช่างกล้าดีจริงๆ เดี๋ยวมันเจอดีแน่ คอยดูว่ามันจะแสร้งทำอะไรได้อีก”
หวางจงเหิงถึงกับหักข้อนิ้วมือรอ
หวางจงเสวียนได้แต่เอนหลังพิงอยู่ที่กำแพงข้างประตู ตอนนี้เขารู้สึกหมดหวังแล้วจริงๆ ถ้าวันนี้เขาไม่ได้พบเจ้าของหยุนจงหลันกรุ๊ป ชื่อเสียงทั้งหมดของเขาก็คงต้องพังทลายอย่างแน่นอน
“หุบปากกันให้หมด รออยู่เงียบๆ ไปซะ”
หวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงที่เห็นหวางจงเสวียนเริ่มอารมณ์เสีย ทั้งสองจึงไม่กล้าส่งเสียงอะไรอีก
……
หลี่โม่เล่นโทรศัพท์ต่ออีกสักพัก เมื่อเห็นว่าเวลาพอประมาณแล้วเขาก็เดินลงจากรถแล้วเข้าไปในสำนักงานหยุนจงหลันกรุ๊ป
เมื่อเข้าไปด้านในแล้วหลี่โม่ก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ส่วนตัวโดยไม่ใช้ลิฟต์ที่ทุกคนใช้กัน
หลังจากเขาเดินไปถึงหน้าลิฟต์แล้ว ทันใดนั้นด้านหลังเขาก็มีมือยื่นออกมาเพื่อช่วยเขากดลิฟต์
หัวหน้ารปภ. ของบริษัทยิ้มมองหลี่โม่อย่างหอบเหนื่อย “ท่านประธานครับ ท่าน ท่านมาแล้วเหรอครับ หัวหน้ารปภ. หวังต้าหย่งขอรายงานตัวครับ”
หน้าที่หลักของหวังต้าหย่งก็คือคอยตรวจเช็คกล้องวงจรปิดเพื่อดูว่าหลี่โม่จะเข้ามาบริษัทเมื่อไหร่ และทุกครั้งที่หลี่โม่เข้าบริษัท หวังต้าหย่งก็จะปรากฏตัวที่หน้าลิฟต์โดยเร็วที่สุดเพื่อจะให้บริการกับหลี่โม่
เนื่องจากหลี่โม่ไม่ได้เข้ามาที่บริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปบ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ช่วยหรือเลขานุการประจำอยู่ ซึ่งงานเหล่านี้หลี่โม่ก็ได้มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของหวังต้าหย่ง
หวังต้าหย่งที่ไม่ได้พบกับหลี่โม่มาเป็นเวลานานก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก “ท่านประธานครับ ท่านไม่ได้เข้าบริษัทมานานแล้วนะครับ กระผมรู้สึกคิดถึงท่านจริงๆ เลยครับ”
“พอได้แล้ว เรื่องไร้สาระเยอะจริงๆ เดี๋ยวขึ้นไปชั้นบนแล้วคุณอย่าเรียกผมท่านประธานนะ เรียกคุณหลี่ก็พอ”
หลี่โม่ออกคำสั่งให้เขา
“รับทราบครับ ท่าน……คุณหลี่”
หวังต้าหย่งกดปุ่มลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุดแล้วยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ด้วยสีหน้าจริงจัง
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดออก หวังต้าหย่งก้าวเท้าออกจากลิฟต์ก่อนแล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นชายทั้งสามคนยืนอยู่ตรงหน้าประตูออฟฟิศของประธานบริษัท หวังต้าหย่งมือซ้ายแตะไปที่กระบองยางในตัวส่วนมือขวาก็จับที่เครื่องวิทยุสื่อสาร
“พวกคุณสามคนมาทำอะไรที่นี่! ใครอนุญาตให้พวกคุณมายืนที่นี่!”
หวังต้าหย่งตะโกนถาม
หวางจงเสวียนแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าทันทีและพูดอย่างระมัดระวังว่า “พวกเรามารอพบท่านประธานบริษัทครับ”
หลี่โม่เดินออกมาจากด้านหลังหวังต้าหย่งแล้วพูดเบาๆ “ให้พวกเขารอข้างนอกไปก่อน ถ้าพวกเขาทำตัวไม่สุภาพคุณไม่ต้องเกรงใจนะ”
หวังต้าหย่งเข้าใจคำสั่งของหลี่โม่และเดินตามหลังหลี่โม่ไปที่ออฟฟิศของประธานบริษัท
ส่วนหวางจงเสวียนและพี่น้องของเขาถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นรปภ. เดินตามหลังหลี่โม่เหมือนบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขา
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมรปภ. ของบริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปถึงเชื่อฟังหลี่โม่ขนาดนี้ มันจะดูแปลกไปไหม
“ไอ้กระจอก! นายคิดว่า……”
หวางจงเหิงที่กำลังจะตะโกนด่า แต่กระบองยางของหวังต้าหย่งชี้ตรงมาที่เขาจนทำให้เขาหุบปากเงียบไปทันที
“หน้าประตูออฟฟิศของท่านประธานบริษัทไม่ใช่ที่ที่คุณจะส่งเสียงดังได้ หุบปากไปซะ”
หวังต้าหย่งตะคอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลี่โม่มองไปที่ทั้งสามพี่น้องของหวางจงเสวียนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปที่หน้าประตูออฟฟิศของประธานบริษัท
หวังต้าหย่งรีบเดินนำไปข้างหน้าแล้วใช้คีย์การ์ดสแกนเปิดประตูและให้หลี่โม่เดินเข้าไปข้างใน
หวางจงเสวียนถึงกับอ้าปากค้างและเตรียมเดินตามหลี่โม่เข้าไป แต่หวังต้าหย่งก็หันกลับมาแล้วเตะไปที่กล้างหน้าท้องของหวางจงเสวียนจนเขากระเด็นออกไป
“โอ๊ย! ท้องผม”
หวางจงเสวียนกุมหน้าท้องแล้วนอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
หวังต้าหย่งเปิดประตูออฟฟิศของประธานบริษัทแล้วยิ้มพูดอย่างเย็นชา “กล้าดียังไงถึงคิดจะเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต อยากตายแล้วใช่ไหม?”
“แกมัน! ไอ้กระจอกคนนั้นยังเข้าไปได้เลย ทำไมเราถึงเข้าไปไม่ได้!”
หวางจงเหิงรีบเข้าไปพยุงหวางจงเสวียนลุกขึ้นแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
“พวกคุณเป็นใคร เทียบกับคนอื่นเขาได้เหรอ พวกคุณก็แค่แสงของหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ที่พยายามเทียบกับแสงของดวงจันทร์ มันเทียบกันไม่ได้หรอก”
หวังต้าหย่งรู้สึกซะใจมาก
หวางจงเหิงที่กำลังจะโต้ตอบก็ถูกหวางจงเสวียนห้ามเอาไว้ “ช่วย ช่วยโทษหาหลี่โม่ที พี่จะคุยกับเขา”
“ไอ้สารเลวหลี่โม่! มันเข้าไปได้แต่ไม่พาพวกเราเข้าไปด้วย หาเรื่องชัดๆ!”
หวางจงเหิงบ่นพึมพำแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหลี่โม่ “นายอยากตายนักใช่ไหม ทำไมไม่พาพวกเราเข้าไปด้วย!”
“มารยาทของพวกคุณแย่ขนาดนี้แล้วจะเข้ามากับผมได้ยังไง? รอข้างนอกไปก่อน เดี๋ยวจะให้เวลาพวกคุณเอง”
หลี่โม่พูดอย่างเฉยเมย
“เอามาให้พี่คุย สถานการณ์ขนาดนี้แล้วนายยังไม่รู้จะทำตัวยังไงเหรอ!”
หวางจงเสวียนแทบจะบ้าตาย ในเวลานี้ซึ่งเห็นได้ชัดแล้วว่าหลี่โม่สามารถพาพวกเขาเข้าไปพบเจ้าของบริษัทหยุนจงหลันกรุ๊ปได้ แต่น้องชายของเขากลับทำตัวงี่เง่ากับหลี่โม่ ช่างทำตัวเหมือนคนไอคิวระดับศูนย์เลยจริงๆ
หวางจงเหิงยื่นโทรศัพท์ให้กับหวางจงเสวียนอย่างไม่พอใจ และหวางจงเสวียนก็รับโทรศัพท์มาแล้วยิ้มพูดอย่างขมขื่น “หลี่ หลี่โม่ ขอโทษด้วยนะ เมื่อกี้พี่กับจงเหิงแล้วก็จงเฉิงทำตัวไร้มารยาทกับนายน่ะ ให้อภัยพวกเราด้วยนะ”
“เหอะ ๆ ไม่มีอะไรที่จะให้อภัยกันหรอก พวกคุณรอไปก่อน เดี๋ยวก็ได้จะสมหวังเอง”
หลี่โม่ยิ้มจางๆ
“งั้นก็รบกวนนายทีนะ ช่วยทำให้เราได้พบกับเจ้าของหยุนจงหลันกรุ๊ปเร็วที่สุดนะ เพราะเรื่องนี้สำคัญต่อเรามาก จะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้านายสะดวกก็ช่วยพูดกับท่านประธานให้ทีนะว่าทางเราเร่งด่วนมาก แล้วพี่จะเอาเรื่องที่นายช่วยเราไปเล่าให้คุณปู่ฟังนะ”
หวางจงเสวียนพูดจาอ่อนน้อม แต่หลี่โม่ก็ยิ้มตอบอย่างเย็นชา “รอไปก่อนละกัน”