“บัดซบ! ตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักโทษของหัวหน้าเราแล้ว ต่อไปพวกเราควรเรียกพี่หยางว่าท่านหยางแล้ว”
“ใช่ ท่านหยางของพวกเรายึดครองเมืองจินไห่และเมืองฮ่านได้ อีกไม่นานพวกเราก็สามารถเข้าเมืองได้ ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะได้ดิบได้ดีเหมือนท่านหยางเช่นกัน”
“ตาแก่ ท่านก็ได้เชิดหน้าชูตามานับสิบปีแล้ว ยังไม่รีบคลานมาคุกเข่าไหว้ท่านหยางของพวกเราอีก ไม่แน่ท่านหยางอาจอารมณ์ดี แล้วจะไว้ชีวิตท่านก็เป็นได้”
ชายฉกรรจ์พูดเหน็บแนมฉู่จงเทียน และลากฉู่จงเทียนเดินไปด้านหลัง แล้วผลักฉู่จงเทียนเข้าไปในห้อง
จางจงหยางเห็นฉู่จงเทียนโดนลากตัวเข้ามา หัวเราะอย่างได้ใจแล้วพูดว่า“ฮ่าๆๆๆ ท่านพี่ใหญ่ คิดไม่ถึงว่าท่านก็มีวันนี้เหมือนกัน ท่านว่าท่านแก่จนเป็นอัลไซเมอร์แล้วหรือไม่ บอกให้ท่านมาคนเดียว ท่านก็มาคนเดียวจริงๆด้วย”
“ฮึ่ม! นายจะไปรู้อะไร!”
ฉู่จงเทียนชักสีหน้าใส่จางจงหยาง หันตัวแล้วโค้งคำนับทักทายหลี่โม่:“ท่านหลี่ กระผมมาแล้ว”
“นายทำได้ดีมาก” หลี่โม่กล่าวเบาๆ
ฉู่จงเทียนอมยิ้ม เพียงประโยคเดียวของหลี่โม่ ทำให้เขามีความสุขจากหัวใจ
“ บ้าเอ้ย! ไม่ต้องมาเสแสร้งต่อหน้าฉัน พวกนายไม่รู้เหรอว่าความตายกำลังจะมาถึง! นายนี่บ้าไปแล้วใช่ไหม หรือว่าไอ้ไร้ประโยชน์นี้เป็นมันพ่อของนาย!”
จางจงหยางรู้สึกว่ากระวนกระวายใจ ใบหน้าของฉู่จงเทียนกับหลี่โม่สงบนิ่งมาก ทำให้จางจงหยางคิดไม่ตก
ตอนนี้ฉู่จงเทียนนิ่งและสงบมากจริงๆ เพราะความใจเย็นของหลี่โม่ ทำให้เขารู้ว่าสบายใจได้
หากจางจงหยางสามารถทำให้นายน้อยของสำนักหลงเหมินได้รับบาดเจ็บ หลงเหมินก็คงไม่ใช่หลงเหมินที่สูงศักดิ์ของโลกหรอก
“ถ้าผมมีพ่อแบบนี้ แม้แต่ตอนฝันผมก็คงยิ้มหวาน”
คำพูดของฉู่จงเทียนนั้นช่างประจบสอพลอหลี่โม่ยิ่งนัก
กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางยังคงหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่จงเทียนแล้ว สีหน้าที่เย็นชากลับกลายเป็นมึนงง
หารู้หรือไม่ว่าฉู่จงเทียนนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองฮ่าน แต่ทำไมเขาถึงสามารถพูดจาประจบได้ถึงเพียงนี้ เขาไม่รู้สึกเขินอายบ้างรึ
เหตุผลคืออะไร?
หรือว่าเขาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหลี่โม่กับเฉียนฝูผิดไป?
เมื่อนึกถึงฐานะของเฉียนฝู กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางคิดเองเออเองไปว่า เขาว่ากันว่าฝ่ายอัครเสนาบดีเป็นขุนนางสูงถึงขั้นที่เจ็ด หากหลี่โม่สามารถทำให้หลานชายของเฉียนฝูนั้นมีความสุข มันก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหมือนกัน และถ้าสร้างความปรองดองกันไว้ให้ดี ก็คงได้รับการสนับสนุนจากเฉียนฝูแน่นอน
เมื่อคิดได้แบบนี้กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางเข้าใจถึงการกระทำของฉู่จงเทียน เข้าใจแล้วก็รู้สึกว่าหลี่โม่นั้นช่างโง่เขลานัก ทำไมไม่ถือคว้าโอกาสดีๆแบบนี้ไว้เพื่อสานความสัมพันธ์ ทำไมปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้เป็นเพียงอากาศ ช่างโง่เขลาที่สุด!
หลังจากที่ซีเหมินจื้อเผิงนิ่งสงบมาชั่วครู่แล้ว เขาเฝ้ามองและคอยสังเกตจึงรู้สึกได้ว่าสถานการณ์แปลกๆ รู้สึกว่าเรื่องราวนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แค่กิริยาอาการที่นิ่งเฉยของหลี่โม่ ก็ทำให้ซีเหมินจื้อเผิงรับรู้ได้ว่า ทุกอย่างต้องเป็นแผนจัดฉากของหลี่โม่แน่นอน
ใช่ มันต้องเป็นแค่ฉากการแสดงแน่นอน!
หลี่โม่เป็นคนจัดการทุกอย่าง คอยดูเดียวหลี่โม่ต้องไล่ล่าทั้งสี่ทิศแน่ และเขาก็จะกลายเป็นวีรบุรุษในการแสดงครั้งนี้!
และนี่คือการแสดงที่เขาจะแสดงให้ตัวเองและกู้หยุนหลันดู ประเดี๋ยว จะต้องเปิดโปงเขาให้ได้!
หลี่โม่เฝ้าดูการแสดงของจางจงหยางอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่รู้ว่าภายในใจของพ่อตาแม่ยายและซีเหมินจื้อเผิงนั้นได้ระเบิดแตกไปแล้ว
“หากไอ้ไร้ประโยชน์นี่เป็นพ่อนายสามารถทำให้นายหลับฝันหวาน ตกลงเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่!”
จางจงหยางถามอย่างสงสัย
“นายไม่รู้นายยังกล้าลงมือ ฉันละชื่นชมในความกล้าของนายจริงเชียว ดูเหมือนว่าคำเตือนที่ฉันเตือนนายไป นายไม่ได้รับฟังมันเลย นายอยากรนหาที่ตาย ห้ามยังไงก็ห้ามไม่หยุด”
ฉู่จงเทียนส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ ดูเหมือนว่ายังจางจงหยางต้องตายอย่างแน่นอน
จางจงหยางควักปืนออกมา แล้วเล็งไปที่ฉู่จงเทียน “บอกมา! เขาเป็นใคร!”
“บอกไป นายก็ไม่เข้าใจหรอก”
ฉู่จงเทียนมองจางจงหยางอย่างเย้ยหยัน
จางจงหยางหลับตาเผื่อระงับอารมณ์โกรธในใจ และยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมพูดว่า:“ตอนนี้จะพูดหรือไม่พูดก็ไม่เป็นไร
รอฉันยึดครองเมืองของนายได้เมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นค่อยๆถามนายก็ได้!”
“อาเมิ่ง บอกพี่น้องที่บ้านทุกคน ให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้จะบุกเข้าเมืองฮ่าน”
จางจงหยางสั่งกับลูกน้อง
“ได้ครับ”
อาเมิ่งขานรับพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเริ่มโทรเลย หลังจากโทรออกไปแล้วหลายสายหลายเบอร์ต่างก็โทรไม่ติด หน้าผากอาเมิ่งก็เริ่มมีเหงื่อไหลออกมา
“พี่หยาง โทร โทรไม่ติด ผมโทรไปหาพี่น้องทุกคนแล้ว แต่พวกเขาไม่มีใครรับสายเลย”
อาเมิ่งพูดอย่างหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้น?”
เปลือกตาจางจงหยางกระตุก พร้อมกับควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา
สไลด์หน้าจอไปมาช่วงกำลังจะกดปุ่มโทรออก โทรศัพท์มือถือของจางจงหยางได้ดังขึ้น
จางจงหยางมองเบอร์ของเฝิงจื่อฉายที่ขึ้นเรียงรายบนหน้าจอ มือนั้นสั่นรัว
จางจงหยางชั่งใจไปสามวินาที แล้วกัดฟันกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล เกิดอะไรขึ้นกับเมืองจินไห่?”
“พี่หยาง เมืองจินไห่เกิดเรื่องแล้ว เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ได้บุกเข้ามาจับลูกน้องของพี่ไป ทั้งเมืองจินไห่และจุดต่างๆถูกกวาดล้างหมด รวมทั้งสมุนหลักของพี่ทั้งองค์กร ลูกน้องที่เหลือก็หนีไปหมดแล้ว ฉันก็กำลังหนีอยู่!”
คิ้วของจางจงหยางขมวดเข้าหากันจนเป็นก้อน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือกลัวหลังบ้านไฟไหม้ กลัวอะไรก็มักจะเจอสิ่งนั้น
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้! ใครเป็นคนบงการ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!”
จางจงหยางคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ตามที่ผมได้เบาะแสมา ว่าเป็นคนที่ลึกลับสั่งการมา พี่หยางพี่ไปทำคนใหญ่คนโตไม่พอใจไว้ที่ไหนหรือเปล่า เขาถึงได้ใช้วิธีการที่โหดร้าย และกวาดล้างทั้งองค์กรเช่นนี้!”
ขณะที่เฝิงจื่อฉายพูดไปพลันเงยหน้าขึ้นก็เห็นด่านตรวจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ใจของเฝิงจื่อฉายเย็นวาบขึ้นมาทันที
“พี่หยาง ผมไม่คุยกับพี่แล้วนะ ผมเจอด่านตรวจ ผมเกรงว่าครั้งนี้ผมคงไม่รอดแน่ หากพี่โชคดีรอดชีวิตไปได้ พี่อย่าลืมมาช่วยผมด้วยนะ!”
สมองของจางจงหยางหมุนคิดอย่างรวดเร็ว และคำนวณว่าใครกันแน่ที่เป็นคนกวาดล้างลูกน้องของเขาทั้งองค์กรเช่นนี้ แต่คิดไปคิดมา จางจงหยางก็คิดไม่ตก
คนที่จางจงหยางกล้าทำให้ไม่พอใจนั้น แล้วแต่เป็นคนที่ฐานะเทียบเท่าหรือต่อยตํ่ากว่าจางจงหยางทั้งนั้น หากใครที่มีฐานะสูงส่งกว่าจางจงหยาง จางจงหยางจะไม่กล้าเข้าไปพัวพันด้วยเด็ดขาด
ระมัดระวังถึงเช่นนี้แล้ว แล้วทำไมเรือมันยังพลิกควํ่าในคูนํ้าได้อีก?
ขณะที่คิดจนปวดหัว จางจงหยางก็กวาดตามองไปที่หลี่โม่
เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของหลี่โม่ สมองของจางจงหยางก็ระเบิดคิดได้ว่า
หรือจะเป็นหลี่โม่ไอ้คนไร้ประโยชน์นี้เป็นคนบงการ!
เมื่อกี้กิริยาท่าทางที่ฉู่จงเทียนปฏิบัติต่อเขา ช่างประจบสอพลอยิ่งนัก
และฉู่จงเทียนก็เคยกล่าวไว้ว่า เบื้องหลังของหลี่โม่นั้นไม่ธรรมดา!
จางจงหยางจ้องมองหลี่โม่ด้วยแววตาที่งุนงง นํ้าเสียงแหบแห้งแล้วถามว่า“ฝีมือของนายใช่ไหม!”