“ฝ้านหยวน?”
จางจงหยางอ่านตัวอักษรบนแผ่นป้ายของคฤหาสน์โบราณในภาพถ่ายนั้น ในสมองครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็คิดว่าฝ้านหยวนเป็นสถานที่แห่งใด
ฝ้านหยวนเป็นภัตตาคารจัดเลี้ยงสุดอลังการ ซึ่งอู๋เต้าเหวินเป็นผู้สร้างขึ้น ตั้งอยู่ในเมืองฮ่าน โดยมีจุดหลักคอนเซปต์ในการจัดงานเลี้ยงส่วนตัวระดับไฮเอนด์ในรูปแบบเชิงพาณิชย์และเป็นการสร้างรูปแบบที่แตกต่างออกไปในการจัดเลี้ยงเชิงธุรกิจส่วนบุคคลและหน่วยงานอย่างเป็นทางการ
“ฮ่า ๆ อู๋เต้าเหวินเปิดภัตตาคารเองเหรอ ทำลายก็ต้องทำลายแล้วล่ะ รอจนถึงวันที่ฉันได้ครอบครองเมืองฮ่าน ธุรกิจด้าน อุตสาหกรรมอาหารและจัดเลี้ยงจะต้องตกอยู่ในมือของฉัน”
จางจงหยางที่มีความทะเยอทะยาน เตรียมพร้อมที่จะรวบรวมธุรกิจอุตสาหกรรมมากมายในเมืองฮ่านไว้ครอบครองเป็นของตนเอง ก่อนอื่นต้องทำลายฉู่จงเทียนก่อน ควบคุมเขตอิทธิพลของเมืองฮ่านได้สำเร็จ
“เฮียหยางผู้ยิ่งใหญ่ อีกหน่อยเฮียหยางก็จะมาเป็นประมุขแห่งเมืองฮ่าน”
ลูกน้องไม่ปล่อยให้เสียโอกาสที่จะประจบสอพลอ
“ฮ่า ๆ ๆ แกช่างพูดเสียเหลือเกิน อีกหน่อยหากฉันได้เป็นประมุขของเมืองฮ่าน พวกแกก็จะได้ตำแหน่งที่ควรจะได้ในเมืองฮ่าน”
จางจงหยางหัวเราะคำโตด้วยความปิติยินดี
“ต้องขอบคุณเฮียหยางที่ให้การอุปถัมภ์ ผมจะตั้งใจทำงานให้ดี”
ลูกน้องพูดด้วยความดีใจ
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ให้เดินทางที่ไปฝ้านหยวนอย่างรวดเร็ว”
ตามคำสั่งของจางจงหยาง ขบวนรถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่พุ่งไป พุ่งไปยังฝ้านหยวนด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
……
ฝ้านหยวน
หัวหน้าพนักงานต้อนรับสวมใส่ชุดโบราณที่ดูมีเสน่ห์ ยืนด้านหน้าเพื่อนำทาง ให้คำแนะนำต่อซีเหมินจื้อเผิงและเหอซูฟางอย่างไม่หยุดปาก
“เครื่องประดับประดาด้านในฝ้านหยวนของพวกเรา ทั้งหมดเป็นของโบราณแท้ที่รวบรวมมา นี่ก็เป็นความพิเศษของฝ้านหยวนของพวกเราที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ”
“ฉากทิวทัศน์ของหินสำหรับตกแต่ง ร่องหิน เสาหิน อื่นๆ เหล่านี้ล้วนเป็นของเก่าแก่จริง ๆ อีกทั้งต้นสนและต้นไซเปรสรอบ ๆบริเวณนี้ เป็นต้นไม้เก่าแก่อายุนับร้อยปีที่ย้ายมาจากภูเขา สามารถกล่าวได้ว่าในฝ้านหยวนอิฐก้อนหนึ่งกระเบื้องแผ่นหนึ่งให้ความรู้สึกถึงความร่วมสมัยอยู่”
กู้เจี้ยนหมินพยักหน้าซ้ำ ๆ หวังฟางมึนงงไม่ได้พูดอะไร ถูกหัวหน้าพนักงานต้อนรับแนะนำจนอ้าปากค้างไปเรียบร้อยแล้ว
“ฉันเชื่อ ทั้งหมดนี้เป็นของโบราณทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นมูลค่าการก่อสร้างต้องใช้เงินที่ประเมินค่าไม่ได้เลย”
หวังฟางพูดด้วยความประหลาดใจ
ซีเหมินจื้อเผิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ที่นี่ต้องมีสไตล์ เพียงแค่มีสไตล์สูงพอ ก็จะทำให้คนแห่กันเข้ามา นี่เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ร้ายกาจอย่างหนึ่ง”
“จื้อเผิงเก่งกาจจริง ๆ แค่มองก็สามารถมองออกถึงกลยุทธ์การตลาด หยุนหลันเธอต้องเรียนรู้วิธีการทำธุรกิจกับจื้อเผิงให้ดี ๆ”
หวังฟางดึงตัวกู้หยุนหลัน อยากจะผลักให้กู้หยุนหลันและซีเหมินจื้อเผิงรวมเข้าด้วยกัน
กู้หยุนหลันเอนตัวไปด้านหลังเพื่อต่อต้าน หวังฟางเหลือบมองเธอด้วยความโกรธ
ทุกคนเดินเข้ามาตรงไปที่โต๊ะที่จองไว้ ซีเหมินจื้อเผิงถือเมนูอาหารขึ้นมาดู
“หอยเป๋าฮื้อชั้นยอดจากออสเตรเลีย คนละหนึ่งที่ ไอ้สวะเคยกินหอยเป๋าฮื้อชั้นยอดหรือเปล่า? อีกเดี๋ยวก็ลองชิมหอยเป๋าฮื้อชั้นยอดนี้ มีขนาดความใหญ่ที่แตกต่างกับหอยเป๋าฮื้อธรรมดาทั่วไป ก็คงใช่แม้แต่หอยเป๋าฮื้อธรรมดาคุณก็คงยังไม่เคยรับประทานซินะ”
ซีเหมินจื้อเผิงได้โอกาส เริ่มต้นสั่งอาหารเพื่อจ้องจะสร้างความอับอายให้กับหลี่โม่
หลี่โม่นั่งอยู่อีกมุมก้มหน้ามองแก้วน้ำชา แท้จริงแล้วไม่ได้สนใจซีเหมินจื้อเผิงเลย
ซีเหมินจื้อเผิงเห็นหลี่โม่ไม่พูดจา ยิ้มแล้วพูดว่า: “คุณทำไมไม่พูดจาบ้างล่ะ? หากคุณไม่เคยรับประทานหอยเป๋าฮื้อธรรมดาทั่วไป งั้น ฉันก็จะสั่งหอยเป๋าฮื้อธรรมดามาให้คุณที่หนึ่ง ให้คุณลองชิมความแตกต่างของมัน”
“ไอ้สวะ ทำไมไม่พูดตอบ ไม่ได้ยินจื้อเผิงถามเธอเหรอ!”
หวังฟางจ้องไปที่หลี่โม่พูดข่มขู่ด้วยเสียงต่ำ
“เคยกินเป๋าฮื้อชั้นยอดมาแล้ว ในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านพ่อตา ”
หลี่โม่พูดตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หวังฟางชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง มองหลี่โม่ด้วยความโกรธ: “แกไอ้สารเลว พูดเรื่องไร้สาระ ของที่ไม่เคยกินกลับบอกว่าเคยกิน ยังมีหน้าจะพูดออกมาอีก?”
“โอ้ว ไอ้สวะคนนี้ เคยรับประทานหอยเป๋าฮือชั้นยอดมาแล้ว ทำให้ฉันคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ เอาเนื้อวัววากิวชิ้นใหญ่ ต้องเป็นส่วน
สเต็กโทมาฮอว์คที่ดีที่สุด ไม่รู้ว่าไอ้สวะอย่างแก เคยกินเนื้อวัววากิวแบบนี้ไหม?”
ซีเหมินจื้อเผิงมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาล้อเลียน
หลี่โม่พูดเบา ๆว่า: “เนื้อวัววากิวส่วนใหญ่ก็เป็นพวกแขวนหัวแกะขายเนื้อสุนัข เป็นการหลอกลวงเพื่อขายสินค้า เนื้อวากิวของแท้นั้น ต้องนำเข้าและตอนนี้ไม่สามารถนำเข้ามาได้แล้ว”
ซีเหมินจื้อเผิงหรี่ตา คิดไม่ถึงว่าตั้งใจวางกับดักไว้ ไม่คาดคิดว่าไอ้สวะคนนี้จะดูออก
ไม่ว่าหลี่โม่จะเคยกินหรือยังไม่เคยกิน ซีเหมินจื้อเผิงก็ทำให้หลี่โม่ได้รับอับอายไปได้บ้าง แต่ว่าหลี่โม่ได้พูดความจริงเกี่ยวกับการนำเข้าเนื้อวัววากิวนั้น ทำให้กับดักของซีเหมินจื้อเผิงต้องล้มเหลวในทันที
“ไอ้สวะนี่ ยังนับว่ามีความรู้อยู่บ้าง งั้นเอาปลาแซลมอนน้ำลึกมาที่หนึ่ง อาหารนี้ไอ้สวะอย่างแกน่าจะเคยกินมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าที่แกกินไปนั่นน่ะ เป็นปลาน้ำลึกหรือเปล่า”
“ปลาแซลมอนในตลาดร้อยละเก้าสิบไม่ใช่ปลาน้ำลึก เกือบครึ่งเป็นปลาเทราต์น้ำจืดที่ปลอมปนมา” หลี่โม่ก้มหน้าพูด
กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมองไปที่หลี่โม่ด้วยความแปลกใจ คิดไม่ออกว่าหลี่โม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
หลี่โม่เงยหน้าขึ้นมองหน้าสบตาซีเหมินจื้อเผิงเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “คุณยังจะสั่งอะไรอีก? ปลาสเตอร์เจียนคาเวียร์? เห็ดทรัฟเฟิลดำ? ตับห่านฟัวกราส์? ทั้งหมดนี้ฟังดูเป็นสิ่งของที่ล้ำค่า แต่ก็ไม่ได้ถูกปากของหยุนหลัน”
ซีเหมินจื้อเผิงแสดงสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที มองไปที่หลี่โม่ด้วยอารมณ์โกรธเคือง มองแล้วเหมือนอยากจะกลืนกินหลี่โม่เสียให้ได้
เห็นสีหน้าซีเหมินจื้อเผิงไม่สู้ดี หวังฟางจึงพูดด่าหลี่โม่ขึ้นทันที: “แกมันสารเลว ใครใช้ให้แกพูดไปมากมาย ถ้าแกยังพูดจามั่วซั่วอีก ฉันจะไล่แกออกไปเดี๋ยวนี้”
เหอซูฟางเหลือบมองหลี่โม่ด้วยท่าทีดุดัน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “จื้อเผิงสั่งอาหารดี ๆ ไม่จำเป็นต้องไปโต้เถียงกับพวกขยะ อย่างมากก็แค่เข้าไปดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและแสร้งทำเหมือนกับคนมีความรู้ลึกซึ้งเท่านั้นเอง”
ซีเหมินจื้อเผิงระงับความโกรธไว้ในใจ หลังจากนั้นก็สั่งอาหารต่ออีกหลายอย่าง โกรธจนอยากจะกระแทกเมนูอาหารบนโต๊ะอย่างดุดัน
“ค่อย ๆกินก็แล้วกัน ทั้งหมดนี้อย่างแกทั้งชาตินี้คงหากินไม่ได้แล้ว!”
ซีเหมินจื้อเผิงพูดตะคอกด้วยความเดือดดาล
“ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย หากคุณยังมีท่าทีแบบนี้ต่อไป ฉันกับหลี่โม่ก็จะขอตัวกลับก่อน”
กู้หยุนหลันพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“หยุนหลันทำไมคุณถึงทำกับผมแบบนี้ ทำไมคุณต้องดีกับไอ้สวะคนนี้ ไอ้สวะคนนี้มันมีอะไรดี เขาไม่สามารถให้ชีวิตที่ดีกับคุณได้ และฉันสามารถให้ทุกอย่างที่คุณต้องการได้!”
ซีเหมินจื้อเผิงแสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจต่อกู้หยุนหลัน คิดไม่ออกว่าทำไมกู้หยุนหลันจึงไม่ยอมหย่ากับหลี่โม่ ไม่ว่ามองจากแง่มุมใด ซีเหมินจื้อเผิงก็เหนือกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหลี่โม่ ตนเองดีกว่ามากทุกด้าน
เหอซูฟางกุมหว่างคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองเลือกอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ง่ายดาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเสียมากกว่า
กล่าวกันว่าการกระทำที่ไม่เต็มใจ มักมีผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ หากบีบบังคับให้กู้หยุนหลันแต่งงานกับลูกชายของตนเอง อีกหน่อยจะมีชีวิตที่ไม่มีความสุขหรือเปล่า
ในช่วงเวลานั้น เหอซูฟางเริ่มมีความกังวลใจ ในใจนึกถึงคำที่ปรมาจารย์พูดไว้ ปรมาจารย์เคยพูดไว้ว่า การแต่งงานครั้งนี้ นับว่าเหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่จะต้องมีความทุกข์ก่อนถึงจะมีความสุข เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ น่าจะเป็นความทุกข์ที่ต้องมีก่อน การขับไล่ไอ้สวะคนนั้น ก็จะทำให้ชีวิตของลูกชายมีความสุขขึ้นมาได้
“หยุนหลัน เธอนั่งลงก่อน ฉันหวังอย่างใจจริงว่าเธอกับเสี่ยวเผิงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ฉันมองดูแล้วว่าเธอทั้งสองจะต้องมีอนาคตที่ดีต่อไป หากเธอกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ต่อไปของไอ้สวะนั้น ตระกูลของพวกเราก็สามารถเลี้ยงดูเขาได้ ให้เขามีชีวิตที่ดีกว่า สบายกว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองฮ่าน”
กู้หยุนหลันส่ายศีรษะ: “เลี้ยงดูเขา? พวกคุณเห็นหลี่โม่เป็นอะไร?”