บทที่ 247 โชคชะตาที่ยิ่งใหญ่
หวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงถึงกับอึ้งและสีหน้าก็บูดบึ้งอย่างดูไม่ได้
พวกเขายอมคุกเข่าต่อหน้าเฉียนฝู เพราะถึงอย่างไรแล้วเฉียนฝูก็เป็นคนใหญ่คนโต
แต่ถ้าจะให้คุกเข่าต่อหน้าหลี่โม่นั้นพวกเขาไม่มีทางจะทำได้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นทั้งสองได้แต่ก้มหน้าและไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว เฉียนฝูจึงยิ้มพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกนายอยากลองดีใช่ไหม?”
คุณปู่หวางถึงกับตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าเฉียนฝูกำลังจะโกรธ
“ไอ้เหลือขอทั้งสอง ยังรอช้าอยู่ทำไม! รีบไปขอโทษหลี่โม่สิ!”
คุณปู่หวางฝืนตะโกนออกมา
แม้คุณปู่หวางจะไม่อยากเห็นภาพนี้ แต่ต่อหน้าคนใหญ่คนโต เขาจึงจำใจต้องพูด
หวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงทำได้เพียงคุกเข่าต่อหน้าหลี่โม่ “ขอโทษครับ พวกผมผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษกับการกระทำของพวกผมด้วยครับ”
กู้หยุนหลันดึงหลี่โม่เบาๆ เพื่อจะบอกกับเขาว่าให้เรื่องมันจบแบบง่ายที่สุดก็พอ
หลี่โม่พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ยกโทษให้แล้ว ไปให้พ้นซะ”
ในใจของหวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้คนเพราะรู้สึกอับอายขายหน้ามาก
“เชี่ยเอ้ย คอยดูสักวันกูจะเอาคืนไอ้กระจอกคนนั้นให้ได้!”
หวางจงเหิงพูดด้วยความโกรธ
ส่วนหวางจงเฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาได้แต่มองไปที่ผู้คนที่รวมตัวกันแล้วเข้าไปหาเฉียนฝูกับหลี่โม่
คุณปู่หวางไม่สนศักดิ์ศรีของตนอีก เขาโค้งคำนับอย่างมีมารยาทแล้วเดินเข้าไปหาเฉียนฝู
“เป็นเกียรติของผมมากเลยนะครับที่ประธานเฉียนให้เกียรติมาถึงที่ ถ้าไม่ติดอะไรผมขอเชิญท่านประธานเฉียนเข้าไปนั่งดื่มชาในบ้านนะครับ”
เฉียนฝูส่ายหัว “คุณยังมีหน้ามาเชิญผมอีกเหรอ? เดี๋ยวผมก็คงถูกคนในครอบครัวคุณด่าอีกหรอก”
คุณปู่หวางถึงกับไปต่อไม่เป็น ในขณะนี้เขารู้สึกเกลียดหวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงจนเข้ากระดูกดำ
จากนั้นแขกที่มาร่วมงานต่างก็พากันเข้ามากล่าวทักทายเฉียนฝูกับหลี่โม่จากด้านหลังและแนะนำตัวเองอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีครับท่านประธานเฉียน ผมชื่อหวังเฉินเหวินครับ เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทซินซิงเซิงครับ ท่านมีอะไรเรียกใช้ผมได้นะครับ”
“สวัสดีครับคุณหลี่ ผมชื่อหลี่ชางเซิงครับ เป็นเจ้าของบริษัทเหอจงอิเล็กทรอนิกส์ครับ ท่านมีอะไรก็เรียกใช้ผมได้เหมือนกันนะครับ”
“สวัสดีครับท่านประธานเฉียน คุณหลี่ ผมเป็น……”
เมื่อเห็นแขกที่เข้าไปหาหลี่โม่กับเฉียนฝู คุณปู่หวางและทุกคนในตระกูลหวังต่างก็รู้สึกขมขื่น
ถ้าเมื่อกี้พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อหลี่โม่แบบนั้น ตอนนี้พวกเขาจะยืนอยู่จุดไหนกัน?
แขกทุกคนในงานคงต้องเข้าหาคนตระกูลหวังเพื่อจะใช้พวกเขาเป็นช่องทางในการเข้าหาเฉียนฝูอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ทุกคนกลับเข้าใจแล้วว่าตระกูลหวังไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเฉียนฝูกับหลี่โม่ ดังนั้นตระกูลหวังไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าหาเฉียนฝูได้ แต่ยังต้องกลายเป็นศัตรูของเขาไปด้วย
มันช่างเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ!
หวางจงเสวียนแอบมองไปที่หลี่โม่จากมุมเงียบๆ ด้วยสายตาที่ขมขื่น ซึ่งไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หวางจินซานกับหวางจินไห่และหวังเหมยยังอยู่ในสภาพเหม่อลอย สีหน้าของพวกเขายังคงเฉื่อยชาเหมือนสมองไม่ทำงานอยู่
หวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินจับมือกันอย่างแน่นๆ และไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะเศร้าหรือว่ามีความสุขดี
ส่วนหวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงที่ถูกบดขยี้ความรู้สึกได้แต่ยืนมองผู้คนที่เข้าหาเฉียนฝูกับหลี่โม่ด้วยสายตาที่หมดหวังและเต็มไปด้วยความกลัว
“จงเฉิง เราตาฝาดไปหรือเปล่า คนพวกนี้พยายามเข้าหาพวกเขา แต่พวกเราสองคนกลับไปดูถูกเยาะเย้ยพวกเขา……เรากำลังจะเจอหายนะใช่ไหม?”
หวางจงเหิงรู้สึกไม่สบายใจมาก เขาคิดว่าถ้าหากหลี่โม่หรือเฉียนฝูสั่งให้ทุกคนลงมือฆ่าเขาในตอนนี้ เกรงว่าทุกคนที่เข้าหาพวกเขาคงต้องวิ่งมาฆ่าเขาอย่างแน่นอน
หวางจงเฉิงกลืนน้ำลายแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “แต่เราคุกเข่าขอโทษไปแล้วนะ คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ไอ้กระจอกหลี่โม่คงไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอก”
“ข้าคิดไม่ออกเลยจริงๆ เมื่อก่อนเราต่อว่ามันแต่ไม่เป็นไร แต่วันนี้ทำไมเราถึงต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย”
ในใจของหวางจงเหิงกับหวางจงเฉิงเต็มไปด้วยความสับสน จากนั้นทั้งสองก็จมอยู่ในความคิดของตัวเองว่าทำไมหลี่โม่ถึงทำเช่นนี้ได้
หวางจินซานตั้งสติแล้วหันไปถามหวังฟาง “เสี่ยวฟาง ลูกเขยเธอหมายความว่าไง?”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อก่อนเคยเห็นมันอยู่กับเฉียนฝู แต่มันบอกว่าไม่ได้สนิทกับเฉียนฝูเลย เพราะมันเคยช่วยเหลือเฉียนฝูเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เฉียนฝูจึงอาสาจะส่งมันกลับบ้าน”
หวังฟางพยายามรื้อฟื้นความทรงจำและไม่รู้ว่าภาพมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้านี้มันหมายถึงอะไร บางทีเธอควรกลับไปถามให้ชัดเจน
“เสี่ยวฟาง เมื่อกี้พี่อาจจะพูดแรงไปหน่อย เธอกับน้องเขยอย่าเก็บมันไว้ในใจนะ ในเมื่อหลี่โม่มันรู้จักเฉียนฝู พวกเธอต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดีนะ”
หวางจินซานพูดอย่างจริงจัง
หวังฟางยิ้มอย่างขมขื่นและคิดในใจ ถ้าหาเธอสามารถสร้างความสัมพันธ์กับเฉียนฝูได้ คงไม่จำเป็นต้องให้พวกเขามาย้ำเตือนหรอก แต่ปัญหาคือลูกเขยของเธอไม่เอาไหนมากกว่า มันไม่มีทางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉียนฝูได้หรอก
หลี่โม่เริ่มรำคาญกับเสียงพูดคุยของผู้คนที่เข้ามารุมเร้า เขาจึงส่งสายตาให้กับเฉียนฝูด้วยแววตาของชายที่ร่ำรวยที่สุด จากนั้นเลี่ยงจากผู้คนอย่างไม่ไยดีแล้วขึ้นรถไปพร้อมกับกู้หยุนหลัน
เมื่อเห็นรถโรลส์รอยซ์แฟนธอมขับออกไปอย่างช้าๆ ทุกคนก็รู้สึกแอบเสียดาย ถ้าเมื่อกี้พวกเขาเข้าข้างหลี่โม่แล้วช่วยหลี่โม่ขอความเป็นธรรม เชื่อว่าเฉียนฝูจะเห็นหัวพวกเขาแล้ว
แต่เวลามันจะย้อนกลับคืนไปไม่ได้ ตอนนี้ทุกคนทำได้เพียงเสียดายเท่านั้น
“เธอว่าหลี่โม่เป็นใครมาจากไหนกันแน่ถึงได้น่าทึ่งขนาดนี้ ไม่เพียงแต่มีกลุ่มของท่านเทียนมาหาเขาก่อนหน้านี้ แถมตอนนี้ยังมีประธานเฉียนมารับเขาด้วยตนเองอีกด้วย”
“แต่ที่แน่ ๆ คนตระกูลหวังยังไม่รู้จักตัวตนของเขา น้ำนิ่งไหลลึกจริงๆ”
“ที่รู้ๆ คือวันหลังถ้าเราเจอหลี่โม่ต้องทำตัวสุภาพกับเขาด้วย ยังหาว่าหลี่โม่เป็นคนไร้ประโยชน์ ถ้าเขาไร้ประโยชน์แล้วคนอย่างพวกเราจะเป็นอะไรแล้ว”
เมื่อฟังความคิดเห็นของแขกที่มาร่วมงานครอบครัวตระกูลหวังก็เริ่มจะรู้ตัว และเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างมากมายจนทำให้ไม่มีใครสนใจงานเลี้ยงวันเกิดอีกต่อไป
คุณปู่หวางกระทืบเท้าแล้วเดินเข้าไปหาหวังฟางแต่ไม่รู้จะพูดยังไงกับเธอ
“พ่อคะ พ่อไม่ต้องถามหนูหรอก หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวหนูกลับไปถามให้รู้เรื่องก่อนแล้วหนูจะโทรมาบอกพ่อนะ”
หวังฟางรีบอธิบาย
“อย่ารอช้า ให้ไวเลยนะ จินซาน นายช่วยส่งพวกเขากลับบ้านที ต้องถามให้รู้อย่างชัดเจน เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของตระกูลหวังของเราเลยนะ”
คุณปู่หวางพูดอย่างตื่นเต้น
หวางจินซานหยิบกุญแจรถออกมาแล้วพาหวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินไปส่งที่บ้าน
ส่วนแขกที่มาร่วมงานต่างก็กล่าวอำลากับคุณปู่หวางและงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปีของคุณปู่หวางก็สิ้นสุดลง
……
หลังจากที่หลี่โม่กับกู้หยุนหลันกลับไปถึงบ้านไม่นาน หวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินก็ตามมาถึงบ้านติดๆ
หลี่โม่ถือกาต้มน้ำร้อนมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณพ่อคุณแม่กลับมาแล้วเหรอครับ นั่งก่อนสิครับ เดี๋ยวผมจะชงชาให้”
หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าเพิ่งยุ่งกับเรื่องอื่น นายบอกแม่ก่อนว่านายรู้จักกับเฉียนฝูยังไง”