บทที่ 172 ใครกันแน่ที่เป็น‘ผืนฟ้าของเมืองฮ่าน’
ฉู่จงเทียนมองไปที่หลี่โม่อย่างเคารพ รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่หลี่โม่เป็นนายน้อยของสำนักหลงเหมิน เวลานี้ดุดันอย่างไร้ที่เปรียบ
หลี่โม่ยื่นนิ้วออกและชี้ไปที่เฮียเปียว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังฉู่จงเทียนวิ่งมาทันที ค้นโทรศัพท์มือถือของเฮียเปียว และถามว่าจะโทรหาเบอร์ไหนในสมุดรายชื่อของเขา
“โทรหาคนแรกในสมุดรายชื่อ”
เฮียเปียวพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังจากที่นักเลงกดโทรออก เขาก็วางโทรศัพท์ไว้ที่หูของเฮียเปียว หลังจากที่เฮียเปียวพูดกับอีกฝ่ายได้สองสามคำ สีหน้าของเขาก็ดูเหมือนว่ามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น
เพิ่งมีความสุขได้เพียงชั่วครู่ มันก็ส่งผลต่อการบาดเจ็บบนร่างกาย เจ็บจนหน้าบิดเบี้ยว
“โอ๊ย เจ็บสุดๆ ไปเลย พวกแกรอก่อน ผู้หนุนหลังของฉันกำลังมา แล้วพวกแกจะรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็น‘ผืนฟ้าของเมืองฮ่าน’”
ฉู่จงเทียนดึงเก้าอี้มาวางไว้ข้างหลังหลี่โม่ หลังจากที่หลี่โม่นั่งลง ฉู่จงเทียนก็หยิบกล่องซิการ์สีทองออกมา หยิบซิการ์ออกมาแล้ววางไว้ระหว่างสองนิ้วของหลี่โม่
ชือ!
ไม้ขีดไม้ซีดาร์แท่งหนึ่งถูกจุดขึ้น และกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของต้นซีดาร์ก็โชยขึ้นมา
ซิการ์ถูกจุดด้วยไม้ขีดไฟ หลังจากที่หลี่โม่สูบมัน ก็เผยรอยยิ้มออกมา”คุณฉู่ซิการ์ของนายไม่เลวเลยนะ สินค้าชั้นนำในฮาวานา ล้วนรีดออกมาจากหน้าอกของหญิงสาว มันจะมีกลิ่นหอมๆ ของหญิงสาว”
“คุณหลี่เนี่ยเก่งจริงๆ ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ก็ได้มาเท่านี้ ปกติผมทำใจไม่ได้ที่จะสูบมัน ก็เลยสูบเป็นครั้งคราว”
ฉู่จงเทียนยิ้มอย่างชื่นชม
เฮียเปียวมองตาค้าง รู้สึกว่าท่าทางที่หลี่โม่สูบซิการ์นั้น ดูมีระดับกว่าตัวเขาเอง เหมือนกับว่าการสูบซิการ์ก่อนหน้านี้ของตัวเองนั้นเป็นการสูบที่สูญเปล่า
“แสร้ง ดูสิว่าจะเสแสร้งไปถึงเมื่อไหร่ ก็แค่สูบซิการ์ จะอะไรนักหนา “
เฮียเปียวบ่นเบาๆ
หลี่โม่และฉู่จงเทียนคุยกันแบบไม่มีเรื่องที่จะคุยแต่ก็พยายามหาเรื่องมาคุยกัน และไม่นานเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
ชายวัยกลางคนที่มีผมตรงสลวย สวมแว่นกันแดดสีดำ และเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำเดินเข้ามา ตามด้วยชายหนุ่มสองคนที่มีสีหน้าเฉยเมยอยู่ข้างหลังเขา
ชายวัยกลางคนไม่สนใจพวกอันธพาลที่ถือดาบซามูไรทั้งสี่ทิศ ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย และมองคนดุร้ายเหล่านี้เป็นเพียงอากาศ
เมื่อเฮียเปียวเห็นผู้มาเยือน เขาก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน”ท่านไป๋ ดูผมสิถูกพวกมันทำร้าย แขนขาของผมถูกพวกมันตีหักหมดแล้ว อีกอย่างพวกมันไม่ไว้หน้าท่านเลย ผมถึงกับเอ่ยชื่อของท่านแล้ว พวกมันก็ไม่ยอมละเว้น!”
“ฮึ!”
ท่านไป๋ถอนหายใจอย่างเยือกเย็น กระตุกไหล่ และเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำที่เขาสวมใส่ก็ปลิวไปข้างหลัง
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังท่านไป๋ยื่นมือมารับเสื้อคลุมขนสัตว์ หันกลับมาและมองไปที่หลี่โม่กับฉู่จงเทียนด้วยสายตาเย็นชา
“พวกแกไม่รู้หรือไงว่าท่านไป๋เป็นใคร ฉู่จงเทียน ท่านไป๋เคยเมตตาต่อแก ไม่ได้ฆ่าแก เพราะเห็นว่าแกเป็นคนรู้จักหลบหลีก ทำไมตอนนี้แกถึงไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ”
ฉู่จงเทียนใจสั่นเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังพูด และโน้มตัวไปข้างหูของหลี่โม่แล้วกระซิบ”นี่คือเลขาใหญ่คนสนิทของเขา เพียงเขากระทืบเท้า เมืองฮั่นของเราก็จะสั่นสะท้าน”
หลี่โม่หัวเราะ และทิ้งซิการ์อีกครึ่งที่เหลืออยู่ในมือ ซิการ์วาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ และตกลงไปบนร่างของท่านไป๋
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งยกมือขึ้น ใช้มือบี้ซิการ์ครึ่งหนึ่งที่หล่นลงมา และจ้องไปที่หลี่โม่ด้วยแววตาสังหาร!
ดูเหมือนว่าตราบใดที่ท่านไป๋ออกคำสั่ง เขาก็จะรีบพุ่งออกไป ฆ่าหลี่โม่ซะ
“ไหวพริบไม่เลว ตกรางวัล”
หลี่โม่หัวเราะขณะพูด
ท่านไป๋ขมวดคิ้ว จากทัศนคติของฉู่จงเทียนที่มีต่อหลี่โม่ และท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านของหลี่โม่ในตอนนี้ทำให้ท่านไป๋รู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวตนของหลี่โม่
บนพื้นที่หนึ่งในสามแห่งเมืองฮั่นนี้ ท่านไป่ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งเมือง ตราบใดที่ผู้คนทำมาหากินในเมืองฮั่นนี้ ก็ต้องก้มหัวทำความเคารพเมื่อเจอท่านไป๋
แต่ที่หลี่โม่ทำแบบนี้ ถ้าหลี่โม่ไม่โง่จริง ก็คือหลี่โม่ต้องมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งพอสมควร
“น่าสนใจ แกรู้ไหมว่าคนล่าสุดที่ไม่เคารพฉัน จุดจบของมันเป็นอย่างไร”
ท่านไป๋ถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง
หลี่โม่ยกคิ้วด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่อยากรู้ แต่ที่ฉันรู้คือชะตากรรมของแก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าขำเสียจริง ในเมืองฮั่นนี้ไม่มีใครแตะต้องตัวฉันได้ เพราะฉันคือ‘ผืนฟ้าของเมืองฮ่าน’! ตอนนี้แกทำให้ฉันโมโห ฉันจะทำให้แกรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าบทลงโทษจากสวรรค์!”
ท่านไป๋ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ ซึ่งไม่มีใครกล้าขัดขืนเขามานานแล้วหลายปี!
สิ่งที่หลี่โม่ทำในวันนี้ ทำให้ท่านไป๋รู้สึกว่าอำนาจของเขาถูกยั่วยุ และหลี่โม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเขา
“มีคำหนึ่งที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า คนที่ควรรู้ว่าอะไรเรียกว่าบทลงโทษจากสวรรค์ คือแก”
หลี่โม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา จากนั้นกดโทรหาหมายเลขหนึ่ง
ท่านไป๋ส่ายหัว”เรียกคนตอนนี้ มันสายไปแล้ว ไม่มีการเตรียมการและการจัดวางภายในเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน ถึงแกจะเป็นมังกรที่ต้องผ่านแม่น้ำก็ยังต่อกรกับฉันไม่ได้!” (มังกรที่ต้องผ่านแม่น้ำอุปมาเจ้าพ่อจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง)
หลี่โม่ไม่สนใจท่านไป๋ เขาเพียงแค่สนทนากับคนในสายอย่างเบาๆ”เมืองฮั่น ไอ้แซ่ไป๋ จัดการเสียตอนนี้เลย”
หลังจากพูดจบหลี่โม่ก็วางสายโทรศัพท์ และเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่น่าขำจริงๆ ยังจะให้คนมาจัดการฉัน ฉันจะดูสิว่าแกจะจัดการฉันยังไง ในเมืองฮั่นคนที่สามารถจัดการฉันได้ มันยังไม่เกิดเลย!”
ท่านไป๋นั่งอยู่บนโซฟา นั่งไขว่ห้าง แววตาที่มั่นคงถูกปิดลงเพื่อรวบรวมสมาธิ
ภายในสองนาทีหลังจากหลับตา โทรศัพท์มือถือของท่านไป๋ก็ดังขึ้น เลขาใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือของท่านไป๋ออกจากกระเป๋า มองไปที่หมายเลขเรียกเข้า แล้วกระซิบว่า “ท่านไป๋ สายเรียกเข้านี้”
“เอามาให้ฉัน”
เมื่อรับสาย ท่านไป๋ยิ้มและกำลังจะพูด เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากคนในสาย คล้ายเสียงคำราม”ไอ้แซ่ไป๋ แม่งเอ๊ยตัวเองอยากตายทำไมต้องดึงฉันมาเกี่ยว! แม่งมึง!”
“เป็นอะไร นายหมายความว่าอะไร”
ท่านไป๋สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“หมายความว่าแม่งมึงสิ นายไม่รู้หรือไงว่าทำอะไรลงไป! คนผู้นั้นนายก็กล้าไปมีเรื่องด้วย! นายถูกไล่ออกแล้ว ฉันก็เอาไม่อยู่แล้ว กระดานโลงศพบรรพบุรุษกำลังจะถูกระเบิดแล้วรู้รึเปล่า!”
เสียงคำรามจากโทรศัพท์!
ท่านไป๋ตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อมองไปที่หลี่โม่ เขารู้สึกรู้แจ้งในทันที
“ฉันถูกไล่ออกจริงๆ เหรอ นายต้องปกป้องฉันนะ ฉันจะไปขอโทษเดี๋ยวนี้!”
ท่านไป๋เข้าใจในทันที สีหน้าดูตื่นตระหนก
“นั่นมันเรื่องของนาย ฉันส่งเรื่องทั้งหมดไปแล้ว สายตรวจกำลังจะไปจับนาย ถ้านายอยากจะแก้ไขก็รีบหน่อย ไม่แน่มันอาจจะยังทัน ฉันก็ต้องไปทำการตรวจสอบแล้ว ไม่คุยกับนายแล้ว ช่วยตัวเองเถอะ!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงยุ่งๆ ของโทรศัพท์ที่วางสายไป ท่านไป๋ก็ทรุดตัวลงบนโซฟา
นี่มันสถานการณ์แบบไหนกันแน่ จู่ๆฉันก็ถูกไล่ออก นี่ต้องมีอำนาจเหนือฟ้าถึงจะทำได้ นายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่!
ท่านไป๋ลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง เลขาใหญ่พยุงท่านไป๋ มองไปที่หลี่โม่อย่างขี้ขลาด
“อย่าพยุงฉัน ฉันจะคุกเข่าขอโทษ!” ท่านไป๋พูด