บทที่ 81 หลี่โม่หรือ
มาทวงความยุติธรรมให้กับกู้หยุนหลัน?
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้นิ่งไป ไม่เข้าใจว่าหวางฉางเห้อพูดเรื่องอะไรกันแน่
“ประธานหวาง ท่านหมายความว่ายังไง?” คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้กล่าวถามด้วยความสงสัย
หวางฉางเห้อไม่พอใจ “คุณถอดตำแหน่งประธานของกู้หยุนหลันใช่ไหม แถมยังไล่เธอออกจากบริษัทวินเซิงงั้นเหรอ?”
“ก็เพราะหยุนหลันกลั่นแกล้งเมิ่งเหยา ผมทำเพื่อความยุติธรรม ประทานหวาง ท่านวางใจได้ หากท่านคิดว่าการลงโทษนี้เบาเกินไป ท่านว่ามาเลย ผมจะทำตามคำร้องขอแน่นอน ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างเราก็พอ ไม่กระทบต่อการลงทุนก็พอแล้ว”
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ใบหน้านั้น ช่างหน้าหนาหน้าทน
แต่
หวางฉางเห้อกลับมีสีหน้าบึ้งตึง “ผมหมายความว่า ฟื้นฟูตำแหน่งประธานของกู้หยุนหลันซะ แล้วอีกเรื่อง ความร่วมมือด้านการลงทุนของตระกูลหวางและบริษัทวินเซิง ต่อจากนี้ให้กู้หยุนหลันรับผิดชอบดูแลทั้งหมด”
ซู๊ด!
ภายในห้องประชุม ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้า
นี่มัน นี่มันหมายความว่ายังไง?
หวางฉางเห้อบ้าไปแล้วรึเปล่า?
ลูกสาวของตัวเองถูกรังแก แต่เขากลับช่วยเหลือผู้กระทำ?
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้นิ่งไปสักพักหนึ่ง ก่อนกล่าวถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ประธานหวาง ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ” หวางฉางเห้อตอบกลับ “ผมสืบรู้รายละเอียดเรื่องนี้หมดแล้ว เมิ่งเหยาเป็นผู้กระทำก่อน เรามาเพื่อขอโทษประธานกู้โดยเฉพาะ คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้อย่าเอาความประธานกู้เลย”
เขาเอ่ย พลางพาลูกสาวของเขา หันไปทางกู้หยุนหลัน ก้มศีรษะโค้งคำนับพร้อมกล่าว “ประธานกู้ ต้องขออภัยด้วย ที่สร้างปัญหาให้กับคุณ”
หวางเมิ่งเหยาเองก็กล่าวขออภัยด้วยเช่นเดียวกัน “ขอโทษ ฉันไม่ควรหาเรื่องคุณ ขอต้องอภัยด้วย กับการกระทำของฉันในวันนี้”
หวางห้านเชาเองก็ขอโทษหลี่โม่ทันที “คุณ…..คุณหลี่ ต้องขอโทษด้วย วันนี้ผมวู่วามเกินไป หวังว่าคุณจะไม่ถือโกรธเอาความผม และหวังว่าคุณจะไม่บอกกับท่านเทียนและท่านเฉียว……”
ยังไม่ทันได้จบประโยคดี หลี่โม่ขัดขึ้นเสียก่อน “พอได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ผมไม่เอาความคุณ แต่เรื่องนี้ ต้องให้หยุนหลันเป็นคนตัดสินใจ”
จบคำ หลี่โม่หันไปทางกู้หยุนหลันที่ยืนนิ่งอยู่อีกทาง
กู้หยุนหลันถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา และหันไปทางทั้งสามที่ก้มหน้าโน้มตัวลง พลันประคองหวางฉางเห้อให้ลุกขึ้น “ประธานหวาง ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก เรื่องนี้ ช่างเถอะค่ะ ขอให้ท่านประธานหวางยังคงจะร่วมมือกับบริษัทวินเซิงต่อไป”
หวางฉางเห้อฉีกยิ้มกว้าง ปาดเหงื่อที่ไหลผุดเต็มหน้าผาก หากแต่สายตากลับตกไปอยู่ที่หลี่โม่ ชายหนุ่มส่งสายตาตอบรับ หวางฉางเห้อถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานกู้ ถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อน”
จบคำ เขาเดินออกไปอย่างเร่งรีบพร้อมกับลูกสาวและลูกชาย โดยไม่ล่ำลาคุณท่านใหญ่ตระกูลกู้สักคำ
ในตอนนี้ ทุกคนในห้องประชุมต่างพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ส่งผลกระทบต่อสายตาจนเกินไป!
หวางฉางเห้อพาลูกสาวและลูกชาย มาขอโทษกู้หยุนหลันและหลี่โม่เนี่ยนะ
คุณท่านใหญ่กู้เองก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน พลันจ้องมองกู้หยุนหลันด้วยความสงสัย “หยุนหลัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
กู้หยุนหลันเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เธอส่ายหน้าพร้อมกล่าว “คุณปู่ หนูเองก็ไม่รู้ค่ะ”
จบคำ เธอหันไปทางหลี่โม่ที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างกาย
เรื่องนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขางั้นเหรอ?
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ขมวดคิ้วแน่น นิ่งคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่สามารถเข้าใจได้
แต่ว่า ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถเอาความต่อไปได้ จึงหันไปกล่าวกับกู้หยุนหลัน “ในเมื่อประธานหวางร้องขอเอาไว้ ถ้างั้นเธอก็อยู่ในตำแหน่งประธานต่อไป และเรื่องการลงทุนกับตระกูลหวาง เธอก็รับหน้าที่ดูแลแทนแล้วกัน ลำบากเธอแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น กู้ซิงเว๋ยเหมือนถูกไฟรนก้น พลันตะโกนเสียงดัง “คุณปู่ ไม่ได้นะ จะคืนตำแหน่งประธานให้กับกู้หยุนหลันได้ยังไง ท่านลองพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้สิ และ เรื่องการลงทุนร่วมกับตระกูลหวาง ผมเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอดนี่”
กู้ซิงเว๋ยร้อนใจขึ้นมา
ชั่วพริบตาตำแหน่งประธานและการดูแลโครงการของตระกูลหวางหลุดลอยไป ตำแหน่งของเขากู้ซิงเว๋ยในบริษัท ก็จะลดลงไปด้วย!
หากแต่ผลลัพธ์ที่ได้ คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ไม่สบอารมณ์ “พอได้แล้ว เลิกก่อความวุ่นวายได้แล้ว ตอนนี้เป็นช่วงวิกฤตของบริษัทวินเซิง เราต้องสามัคคีกันและได้ร่วมมือกับบริษัทรุงคางอ แกเองก็ต้องปรับนิสัย ช่วยเหลือหยุนหลัน รู้ไหม?”
จบคำ คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้กลับหลังหันเดินออกไปทันที
กู้หยุนหลันเองก็เหลืองมองไปทางกู้ซิงเว๋ยที่โกรธจัด ก่อนจูงมือหลี่โม่เดินออกไป
กู้ซิงเว๋ยดวงตาแดงก่ำ หมัดแห่งความแค้นทุบลงกับโต๊ะ
คำรามเสียงแผ่ว “กู้หยุนหลัน หลี่โม่ ฉันไม่ปล่อยพวกแกเอาไว้แน่!”
อีกด้าน กู้หยุนหลันลากหลี่โม่ออกจากบริษัท ก่อนที่จะหยุดชะงักลงที่หน้าบริษัท หมุนตัวกลับมา สีหน้าเย็นชา “หลี่โม่ บอกมา ว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณไหม?”
หลี่โม่รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องถามเขาแบบนี้ พลันเผยรอยยิ้มยักไหล่อย่างขอไปที “ทำไมคุณถึงรู้สึกแบบนี้ล่ะ?”
หยุนหลันกล่าวตอบคำถาม “เมื่อกี้ไม่มีคนสังเกต แต่ฉันว่า ประธานหวางมาถึง ก็ขอโทษคุณก่อนเลย แล้วพอเข้าไปในห้องประชุม หวางห้านเชายังมีทีท่าแบบนั้นอีก แถมยังท่านเฉียว ท่านเทียนอะไรนั่นอีก คุณยังกล้าแก้ตัวอีกเหรอว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ?”
กู้หยุนหลันเป็นคนละเอียดรอบคอบ เมื่อสักครู่ในห้องประชุมเธอไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้เธอลากหลี่โม่ออกมาข้างนอก ถึงได้กล่าวถามออกมา
หลี่โม่จับจ้องดวงตาที่กลมโตใบหน้าที่สะสวย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณคิดมากไปเอง บางทีหวางฉางเห้ออาจจะก้มหัวขอโทษผมเพราะคุณก็ได้ หรือแม้กระทั่งหวางห้านเชาเองก็เข้าใจผิด คุณลองคิดดูสิ ว่าผมเป็นคนยังไง หวางฉางเห้อจะขอโทษผมได้ยังไง”
กู้หยุนหลันไม่อยากจะเชื่อ ในใจเต็มไปด้วยคำถาม เมื่อกำลังจะเอ่ยถามต่อ แต่โทรศัพท์พลันดังขึ้นเสียก่อน
เธอจึงรีบรับโทรศัพท์ น้ำเสียงของจินซ่านน่าแล่นผ่านมาตามสาย “หยุนหลัน แกอยู่ไหน ไหนบอกว่าคืนนี้จะไปที่Vienna Concert Hallด้วยกันไม่ใช่เหรอ ฉันอยู่ที่บ้านของแกแล้วนะ”
กู้หยุนหลันเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงรีบตอบกลับ “ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังวางสาย เธอเหลือบมองหลี่โม่ ถอนหายใจออกมา “พอได้แล้ว ส่งฉันกลับบ้านเถอะ”
หลี่โม่หัวเราะแก้เก้อ ขี่รถไฟฟ้ากลับบ้านพร้อมกับกู้หยุนหลัน
เมื่อเข้ามาในบ้าน ก็ได้พบกับจินซ่านน่าที่แต่งตัวทันสมัย รูปร่างเซ็กซี่ราวกับปีศาจ ผมสีบอร์นที่ถูกดัดรอน เรียวขายาวประดับด้วยกระโปรงสั้นสีเหลือง ท่อนบนเป็นเสื้อเกาะอก ทำให้รูปร่างเธอดูงดงามไร้ที่ติ
ผู้หญิงคนนี้ มีรูปลักษณ์ที่เป็นเลิศ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เป็นแม่เสือสาว!
“หยุนหลัน”
เมื่อเห็นการกลับมาของกู้หยุนหลัน จินซ่านน่าโผเข้ามา กอดรับกู้หยุนหลันอย่างรักใคร่
หากแต่ เมื่อเห็นหลี่โม่ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเหี่ยวลงทันที พร้อมบ่นอุบ “แกมาได้ยังไง”
หลี่โม่หัวเราะออกมา พลันเดินเข้าห้องครัวอย่างรู้ตัวเอง
กู้หยุนหลันเองก็ไม่แยแสหลี่โม่ นั่งเมาส์กับจินซ่านน่าที่ห้องรับแขก อยู่บนโซฟา
“หยุนหลัน ขอฉันดูการ์ดเชิญหน่อย” จินซ่านน่าเร่งรัด
กู้หยุนหลันหยิบการ์ดเชิญสีทองออกมายื่นให้กับจินซ่านน่า “เธอจะไปเองคนเดียวไหม วันนี้ฉันไม่ไปแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จินซ่านน่าร้อนใจ “เพราะอะไร? นี่เป็นโอกาสที่หายาก แกชอบคุณจิ่วสืออีร่างมาตลอดนี่ เมื่อก่อนแกยังพูดอยู่เลย ว่าอยากเป็นนักเรียนของเขา”
กู้หยุนหลันหัวเราะออกมา “ก็นี่ซู๋ไห่เทียนเป็นคนให้มา แกก็รู้ว่าเขาคิดยังไงกับฉัน หากฉันไป ก็ไม่มีคำแก้ตัวแล้ว”
“ซู๋ไห่เทียนให้มา?” จินซ่านน่าสงสัย “เป็นไปไม่ได้นี่นา การ์ดเชิญสีทองแบบนี้ ฉันไปสืบมาแล้ว ในเมืองฮ่านมีแค่สิบใบเท่านั้น แกคิดว่าใครอยากจะมีก็ได้เหรอ? คนอย่างซู๋ไห่เทียนจะมีของแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“ทั้งเมืองฮ่านมีอยู่แค่10ใบ?” กู้หยุนหลันนิ่งอึ้ง ตระหนกกับคำพูดของจินซ่านน่า
“แต่ว่า หากไม่ใช่ซู๋ไห่เทียน แล้วจะเป็นใครไปได้?” กู้หยุนหลันถามกลับ
จินซ่านน่าเองก็สงสัย “มีใครที่แอบรักแกรึเปล่า? บอกฉันมา ฉันจะช่วยแกพิจารณาเอง”
กู้หยุนหลันทำตาขวาง เอ่ยอย่างจริงจัง “แกพูดบ้าอะไรออกมา”
เธอเอ่ย พลันเหลือบไปทางหลี่โม่ที่ยุ่งอยู่ในครัว ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่คราวก่อนหลี่โม่ถามฉันว่าชอบจิ่วสืออีร่างใช่ไหม…..”
จินซ่านน่าอึ้งไป หยิบการ์ดสีทองขึ้นมาไว้ พลันจับจ้องไปทางครัวด้วยความสงสัยพร้อมกับกู้หยุนหลัน กระซิบเสียงแผ่ว “แกจะบอกฉันว่า การ์ดนี่ หลี่โม่เป็นคนเอามา?”