“อ๊าย! อ๊าย ๆ ๆ ๆ! คุณคือหลี่โม่! คุณคือหลี่โม่ใช่มั้ยเนี่ย? สวรรค์! นี่ฉันเจอเข้ากับหลี่โม่จริง ๆ ด้วยอ่า!”
จางลี่จื้อรู้สึกตื่นเต้นมาก หันกล้องโทรศัพท์กลับมาถ่ายตัวเอง แล้วพูดด้วยเสียงสูงปรี้ดว่า: “ฉันได้พบกับหลี่โม่ ผู้ชายมหัศจรรย์ที่เป็นตำนานของเมืองฮ่านของเรา! ฉันเคยได้ยินเรื่องราวแสนมหัศจรรย์อันเป็นตำนานของเขามามากมายเลยล่ะค่ะ! ฉันเป็นแฟนคลับของเขา!”
หลี่โม่ไม่ใช่บุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จักอีกต่อไป เขาสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับการก่อตัวของคลื่นลมฝนฟ้าพายุมากมายในเมืองฮ่าน แม้ว่าจะมีคนในเมืองฮ่านไม่น้อยที่ยังไม่เคยเจอหลี่โม่ แต่พวกเขาต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหลี่โม่มาแล้ว
กู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงหันมาสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่รู้สึกขึ้นมาในเวลาเดียวกันว่า ยิ่งนับวัน หลี่โม่ก็ยิ่งเป็นเหมือนโคมไฟอันเจิดจ้าที่ที่ส่องประกายอยู่ในความมืด ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ล้วนดึงดูดสายตาของทุกคนให้อยากเข้าหามากขึ้นทุกที
เฉินเสี่ยวถงเม้มปาก ใช้ตะเกียบจิ้มคางเหวินซิงที่กำลังยิ้มระรื่นไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้คางเหวินซิน พลางชี้ไปที่ผู้ประกาศข่าวสาวสวยซึ่งกำลังถ่ายวิดีโอไปรอบ ๆ ตัวหลี่โม่ด้วยความตื่นเต้นจนเกินบรรยาย
คางเหวินซิงเข้าใจได้ในวินาทีนั้นเอง ตบหน้าอกผาง ๆ แล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง ผมเชี่ยวชาญในการคุ้มกันมากที่สุดแล้ว รับประกันได้ว่าใครก็เอาเปรียบอาจารย์ไม่ได้ จะไม่ให้ใครมาหยิบชิ้นปลามันหาผลประโยชน์จากท่านอาจารย์เด็ดขาด!”
คางเหวินซิงเบียดตัวเข้าไปกลางฝูงชน ไปยืนขั้นกลางอยู่ระหว่างจางลี่จื้อกับหลี่โม่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่ปั้นให้ดูไร้เดียงสาว่า: “คุณคนสวย ผมคือดวงจิตที่สองของหลี่โม่ ถ้าคุณอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกับหลี่โม่ สามารถถามผมได้ทุกเมื่อ หลี่โม่ยังต้องทำซาซิมิปลาปักเป้าอยู่ อย่าไปรบกวนเขาเลยนะครับ”
จางลี่จื้อจ้องหน้าคางเหวินซิงพลางทำหน้าบูดบึ้งใส่ : “ไปให้พ้นเจ้าอ้วนหน้าอืด อย่ามายืนบังตอนฉันดูไอดอลของฉันสิยะ ห้องถ่ายทอดสดของฉันตอนนี้มีผู้ชมกว่าแสนคนเชียวนะ ระวังเหอะ ฉันจะให้ผู้ชมส่งมีดไปให้นาย “
จางลี่จือมีความสุขอย่างยิ่ง เดิมทีเธอเป็นแค่ผู้ประกาศข่าวโนเนมที่ไม่เคยมีผู้ชมเกินหมื่นด้วยซ้ำ แต่มาเวลานี้อยู่ดี ๆ ก็มีผู้ชมเพิ่มทะลุหลักแสนในชั่วพริบตา นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ก้าวเข้าสู่ค่ายผู้ประกาศข่าวระดับสองกับเค้าบ้างแล้ว
จางลี่จื้อรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นเพราะหลี่โม่ จึงทำให้จำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จางลี่จื้อถึงกับมีความคิดที่จะไปหาหลี่โม่ตรง ๆ แล้วขอร่วมมือกับเขาเพื่อทำการถ่ายทอดสดเลยทีเดียว
ขอแค่หลี่โม่สามารถตอบตกลงได้ จางลี่จื้อก็รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองต้องรับกติกาซ่อนเร้น *(คือ พวกคนใหญ่คนโตหรือมีอำนาจเส้นสายหวังเคลมเด็กใหม่ที่อยากดังทางลัด) เธอก็โอเค เพราะถึงยังไงหลี่โม่ก็หล่อซะขนาดนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสามารถต้านทานสิ่งล่อใจดี ๆ ขนาดนี้ไหว!
คางเหวินซิงตบหน้าอกพลางพูดว่า “อย่าพูดถึงแค่การส่งมีดส่งดาบเลย ต่อให้ส่งกระสุนมาผมก็ไม่กลัว ผมคือผู้ส่งสารแห่งสันติภาพและความยุติธรรมนะจะบอกให้”
“เรื่องนั้นช่างมันเหอะน่า! อย่ามารบกวนการถ่ายทอดสดของฉัน” จางลี่จื้อไม่สนใจคางเหวินซิงแม้แต่น้อย เดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งเพื่อถ่ายรูปหลี่โม่
หลี่โม่ถือปลาปักเป้าไว้ในมือซ้าย ทั้งแหย่และเกาส่วนท้องมันด้วยมือขวา ปลาปักเป้าที่โกรธเกรี้ยวพองตัวตามสัญชาตญาณอย่างรวดเร็ว จนมีรูปร่างเหมือนลูกบอลกลม ๆ อ้วน ๆ ลูกหนึ่ง
ปลาปักเป้าตัวอ้วนกลมเป็นลูกบอลนั้นดูน่ารักมาก แต่จางลี่จื้อมองแค่แวบเดียวเท่านั้นก็ถอนสายตาออกไป คิดว่าใบหน้าด้านข้างของหลี่โม่นั้นดูดีจริง ๆ หล่อจนแทบอยากจะอยากกินเข้าไปให้หมดในคำเดียว
หลี่โม่หยิบมีดยาวใบมีดบางเล่มหนึ่งออกจากชั้นใส่มีด แล้วจู่ ๆ มีดยาวเล่มนั้นก็หมุนคว้างอยู่ในมือของหลี่โม่ กระตุ้นอารมณ์ของผู้คนที่กินเผือกอยู่รอบ ๆ ให้ยิ่งโห่ร้องชื่นชมอย่างพร้อมเพรียง
“แม่จ้าวโว้ย! นี่มันมีดอะไรกันเนี่ย? ดูแล้วโคตรร้ายกาจเลย!”
“มันเหมือนกับมีดในหนังเรื่อง [เทพแห่งการปรุงอาหาร] เลยนะ ตัวตนของน้องชายคนนี้ดูแล้วไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
เชฟตงหยางเห็นวิธีการหมุนมีดของหลี่โม่ สีหน้าก็ดูน่าเกลียดขึ้นมาเล็กน้อย: “ก็แค่กลปาหี่หลอกเด็ก คิดเหรอว่าวิธีการทำปลาปักเป้า แค่หมุนมีดเป็นก็สามารถจัดการได้แล้วน่ะ?”
“จัดการได้ไม่ได้ก็ดูต่อไปละกัน!” หลี่โม่พลิกสะบัดข้อมือไปมาอย่างพลิ้วไหวไม่มีสะดุด แสงสะท้อนจากใบมีดสาดประกายวูบวาบ รวดเร็วราวสายฟ้าแล่นผ่าน
ผู้ชมต่างก็เห็นได้ไม่ชัดเจนนักว่าหลี่โม่ทำอะไร ระหว่างที่กำลังสงสัย ก็เห็นหลี่โม่ถือหัวปลาที่ยังหายใจพะงาบ ๆ อยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ออกแรงลอกเบา ๆ ที่ด้านหลังหัวปลา ผิวที่ทั้งหนาและยืดหยุ่นของปลาปักเป้า ก็ถูกลอกลงมาจากตัวปลาทันที
“เฮ้ย! นี่..นี่มันทำได้ยังไงวะเนี่ย? หรือว่าเมื่อกี้ คือการลอกหนังออกไปแล้วงั้นเหรอ? จะเร็วเกินไปแล้วมั้ย ?”
“เชี่ยเอ๊ย! พี่ชายคนนี้เป็นสุดยอดเชฟในตำนานรึเปล่าวะ ? ไม่งั้นจะมีคนใช้มีดได้คล่องแคล่วขนาดนี้ได้ยังไง?”
“แม่จ้าวโว้ย! ทุกคนดูปลาสิ ปากมันยังขยับอยู่เลย ปลายังไม่ตาย!”
สีหน้าของเชฟตงหยางซีดเผือดไปแล้ว มองดูปลาปักเป้าที่ถูกลอกหนังออกไปอย่างอับจนคำพูด
ความเร็วของหลี่โม่นั้น เร็วเสียยิ่งกว่าเชฟระดับแนวหน้าที่เขาได้เคยพบเจอมาทั้งหมด แสงจากมีดเล่มนั้นที่สะท้อนวาบผ่าน ในเวลานี้ ก็ยังคงสะท้อนวูบไหวอยู่ภายในใจของเชฟตงหยางไม่หยุด
หลี่โม่ยิ้มพลางพูดว่า “ความเร็วมีดระดับนี้ของฉัน นายทำได้ไหมล่ะ?”
“นี่มัน นี่มัน…” เชฟตงหยางกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก
หลี่โม่ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจต่อ แต่กลับหมุนมีดในมือแล้วพูดว่า “ขั้นตอนต่อไปคือการจัดการกับปลาปักเป้า ตับและเลือดของปลาปักเป้านั้นมีสารพิษ ดังนั้นระหว่างการจัดการ ตับของปลาจะต้องไม่ถูกทำลาย ต้องนำออกมาเป็นชิ้นเดียว เทคนิคนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ได้ทดสอบฝีมือที่แท้จริงแล้ว”
เมื่ออธิบายจบ หลี่โม่ก็กดมีดในมือลง แล้วผ่าท้องของปลาปักเป้า แสงสะท้อนของมีดก็สาดประกายขึ้นอีกครั้ง ตับขนาดใหญ่ถูกดึงออกมาโดยไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ แม้แต่น้อย
“อั้ยหยา! ไม่ได้ทำซะนานเหมือนมือจะแข็ง ๆ ไปหน่อยแฮะ ช้ากว่าความเร็วมือที่เคยทำได้สูงสุดตั้ง 0.5 วินาทีเชียว ครั้งนี้น่าจะใช้เวลาประมาณเกือบวินาทีได้มั้ง ? ล้มเหลวซะแล้วสิ ” หลี่โม่พูดพลางส่ายหัวไปมา
บรรดาไทมุงต่างมีสีหน้าอึ้งไปตาม ๆ กัน ด้วยความเร็วระดับประกายไฟแล่นเปรี๊ยะแบบนี้ ยังจะบอกว่าล้มเหลว? พี่ชายอ่า! นี่คุณมีความคาดหวังในตัวเองสูงเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?
“นายที่ทำได้ขนาดนี้ยังบอกว่าล้มเหลว? แล้วจะให้พวกเรามีชีวิตอยู่กันยังไงหา!? ฉันอยู่บ้านยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๆ ก็ครึ่งชั่วโมงกว่าจะฆ่าปลาได้เลยนะ!”
“วินาทีเดียวก็ผ่าเปิดท้องเอาอวัยวะภายในออกมาได้ หรือว่าพี่ชายเป็นศัลยแพทย์งั้นเหรอ? หรือว่าเป็นแพทย์เฉพาะทาง ประเภทที่คุ้นเคยกับโครงสร้างร่างกายของปลารึเปล่า?”
จางลี่จื้ออ้าปากสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ โคลสอัพภาพหัวปลาปักเป้าใกล้ ๆ ด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก แล้วพูดว่า : “ฉันอยากเป็นปลาตัวนี้จริง ๆ อ่า ได้มีโอกาสสัมผัสชิดใกล้แบบเนื้อแนบเนื้อกับหลี่โม่ด้วย”
“เชี่ยแล้ว! ผมว่าคุณน่าจะมีปัญหาทางจิตแล้วมั้งเนี่ย?” คางเหวินซิงมองจางลี่จื้อด้วยความรู้สึกแสยงในใจ
“เชอะ! นายจะมาเข้าใจหัวอกของพวกเราได้ยังไงยะ เจ้าอ้วนหน้าอืดรีบไปตายไกล ๆ เลยไป๊!” จางลี่จื้อจ้องมองโทรศัพท์ด้วยความปีติยินดี หน้าจอเต็มไปด้วยคอมเม้นท์ที่สาดรัว ๆ มาราวกระสุนปืนกล และของขวัญที่คนดูส่งมาเป็นรางวัล
สีหน้าของเชฟตงหยางมืดมนลงไปทุกขณะ จ้องมองหลี่โม่อย่างตะลึงพรึงเพริศ: “แก ทำไมแกถึงเร็วได้ขนาดนี้? นี่มันเป็นไปไม่ได้! นี่มันเกินกำลังคนธรรมดาจะทำได้แล้ว!”
“มีอะไรที่พลังของคนเราทำไม่ได้ด้วยเหรอ? ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าแกแล้ว หรือว่าแกยังไม่เชื่ออีกงั้นเหรอ?” หลี่โม่เอียงหน้าไปถามเชฟตงหยาง
ระหว่างที่พูดมือของหลี่โม่ก็ไม่ได้หยุด หลังจากหั่นเฉือนอย่างรวดเร็วสองครั้ง เนื้อทั้งสองด้านของปลาปักเป้าก็ถูกหลี่โม่หั่นออกมาได้อย่างเรียบร้อย
ปลาปักเป้าที่ไม่มีเนื้อเหลืออยู่ มีเพียงส่วนหัวที่ครบสมบูรณ์ รวมถึงสันหลังและหางที่ยังคงสภาพดีเหลือให้เห็นเท่านั้น
ไม่มีแรงกดจากมือของหลี่โม่ กระดูกสันหลังและหางของปลาปักเป้ากลับยังคงสั่นไหวไปมา เป็นฉากที่เห็นแล้วดูแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก
“โอ้สวรรค์! ปลาถูกแล่เนื้อออกไปหมดแล้ว แต่กระดูกของปลายังขยับได้อยู่อีก นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
การส่ายไหวไปมาของกระดูกสันหลังและหางของปลาปักเป้า ทำให้ไทมุงที่กินเผือกอยู่รอบ ๆ ต้องร้องออกมาอย่างตกตะลึง ภาพฉากแบบนี้ บรรดาลูกค้าทั้งหลายต่างก็ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
หลี่โม่ยิ้มพลางอธิบายว่า “ระบบประสาทส่องสะท้อนกลับ ในส่วนการตอบสนองของปลาจะค่อนข้างยาว ในสถานการณ์ที่มันไม่ได้ตายโดยสมบูรณ์ ร่างกายจะมีการตอบสนองของระบบประสาทที่เรียกว่า neuroreflex การส่ายไหวไปมาที่เกิดอยู่ในตอนนี้ คือการตอบสนองของระบบประสาทของปลาไงล่ะ”