ฉินเพ่ยหรงฟังแล้วไม่ได้เอามาใส่ใจ ก้มหน้าก้มตาดูผลการตรวจสุขภาพของจิ้นเฮ่า ผลการตรวจดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วเยอะมาก จึงเอ่ยอย่างดีใจ “ลำบากเธอแล้วนะ เธอเองก็รีบกลับไปหาจิ้นหยวนเถอะ เป็นผัวเมียกันแท้ๆ อย่ามัวแต่มาเสียเวลาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างพวกเราเลย เข้าใจหรือยัง?”
หร่วนเซียงเซียงพยักหน้าหงึกๆ พยายามฝืนยิ้ม “ค่ะ คุณแม่ หนูรู้แล้วค่ะ”
ในสายตาคนเป็นแม่ ถึงลูกชายตัวเองจะไม่ดีแต่แม่ก็คิดว่าลูกตัวเองดี ส่วนคนนอก ต่อให้ทำดีมากแค่ไหนก็เห็นว่าเขาไม่ดี หร่วนเซียงเซียงฉลาดมากที่ไม่บอกว่าจิ้นหยวนอยู่กับหญิงอื่น แบบนี้ภาพลักษณ์เธอจะได้ดูดีในสายตาพ่อแม่จิ้นหยวน
สำหรับเธอ ในเมื่อเธอไม่ได้รับความรักจากจิ้นหยวน ถ้าเช่นนั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้ก็คือ พยายามทำตัวให้พ่อแม่ของจิ้นหยวนรู้สึกดีกับเธอ ตราบใดที่พวกท่านยังเอ็นดูเธอ จิ้นหยวนก็จะไม่มีวันทิ้งเธอ
เธอครุ่นคิดเล็กน้อย พลันแววตาเปล่งประกาย…
จิ้นหยวนไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน เขากับเฉียวซือมู่เดินออกจากโรงพยาบาล ตอนแรกเขาอยากจะพาเธอออกไปเที่ยวเล่น แต่พอเห็นสีหน้าซีดเซียวของเธอแล้วก็เลิกล้มความคิดทันที
สุขภาพของเธอในตอนนี้ควรกลับไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านดีกว่า รอให้หายดีแล้วค่อยออกไปข้างนอกก็ยังไม่สาย
วันเวลาหลังจากนั้น เฉียวซือมู่ใช้ชีวิตไม่แตกต่างจากสัตว์บางประเภทที่เอาแต่กินกับนอน ทุกเช้าที่เธอลืมตาตื่นขึ้นก็จะมีน้ำซุปบำรุงร่างกายรอเธออยู่แล้ว จากนั้นก็ถึงเวลาอาหารเช้า จิ้นหยวนจะเป็นคนคอยกำกับให้เธอรับประทานอาหารเช้าทุกวัน อย่างน้อยเธอต้องดื่มนมห้าร้อยซี.ซี.หนึ่งแก้วและไข่ดาวอีกสองฟอง เขาถึงจะยอมปล่อยเธอไป
ถึงเวลาอาหารเที่ยง ส่วนใหญ่จิ้นหยวนมักจะกลับบ้านไม่ทัน ดังนั้น พ่อบ้านจึงต้องเป็นคนคอยกำกับดูแลแทนเขา พ่อบ้านคนนี้เป็นคนพูดน้อยมาก เขาทำงานตามคำสั่งของจิ้นหยวนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอต้องกินข้าวให้หมดถ้วย และต้องดื่มน้ำซุปบำรุงอีกถ้วยใหญ่ภายใต้การกำกับดูแลของพ่อบ้าน เธออิ่มจนท้องจะแตก แต่ก็ไม่กล้าประท้วงใดๆ
เพราะจิ้นหยวนรับปากเธอว่า ถ้าเธอยอมกินข้าวดีๆ และร่างกายหายดีแล้ว เขาจะพาเธอไปเยี่ยมคุณแม่ของเธอ ตอนนี้สุขภาพของท่านดีขึ้นเยอะมาก สามารถเดินเหินเองได้อย่างอิสระแล้ว จิ้นหยวนให้สัญญากับเธอ สุขภาพเธอแข็งแรงเมื่อไหร่เขาจะพาเธอไปพบคุณแม่ทันที
เพื่อจะได้พบคุณแม่โดยเร็ว เฉียวซือมู่ยอมทนลำบากทุกอย่าง และแน่นอนว่าความลำบากของเธอในสายตาของคนอื่นนั้นเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อมาก
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สิ่งที่รอเธออยู่ยังคงเป็นน้ำซุปบำรุงร่างกายถ้วยใหญ่เหมือนเดิม หลังจากดื่มน้ำซุปหมดถ้วยแล้วถึงจะเป็นเวลาอาหารหลัก ซึ่งทำให้เธออิ่มจนพุงกาง และที่สำคัญ จิ้นหยวนเป็นคนคอยกำกับการกินของเธอด้วย
อ้อ ยังมีอีกเรื่อง ยังมีขนมกินเล่นต่างๆ วางไว้ข้างๆ เธอ เธอจะได้หยิบกินได้ตลอดเวลา
เป้าหมายของจิ้นหยวนก็เพื่อให้เธอกินเยอะๆ ร่างกายจะได้ฟื้นฟูเร็วๆ ส่วนเฉียวซือมู่ทำเพื่อจะได้พบคุณแม่เร็วๆ จึงให้ความร่วมมือเต็มที่
และความสุขมักมาพร้อมความทุกข์เสมอ
เช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกผิดปกติ เธอยกหลังมือขึ้นปาด ปรากฎว่าหลังมือมีแต่เลือด เธอตกใจจนตะลึงค้าง
จิ้นหยวนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน เขาไม่สนใจเรื่องทำงานแล้ว รีบอุ้มเธอวิ่งไปขึ้นรถ และขับรถพาเธอไปโรงพยาบาลด้วยความเร็วสูงสุด
และผลการตรวจทำให้ทั้งสองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทั้งสองเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสีหน้าเก้อๆ เธอตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่งพลางทำเสียงฮึดฮัด เขาทำหน้าแหยพลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “เป็นความผิดของผมเอง…”
เธอหันหน้าหนี ไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว ครั้งนี้เขาทำเธอขายหน้ามาก มีคนเยอะแยะมากมายที่เห็นทั้งสองคนวิ่งพุ่งเข้าไปหาหมอด้วยความร้อนใจมาก จนคนพวกนั้นคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือเปล่า และดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น?
ยามเมื่อคุณหมออธิบายพร้อมดวงตายิ้มๆ ว่าเป็นเพราะเธอกินยาบำรุงมากเกินไปในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก และทำให้เลือดกำเดาไหล พอเธอฟังเข้าใจเท่านั้นแหละ เธออับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ที่แท้เป็นเพราะน้ำซุปบำรุงร่างกายพวกนั้นนั่นเอง เธอหวนนึกถึงกิจวัตรประจำวันของตัวเองที่ต้องดื่มน้ำซุปบำรุงร่างกายวันละสามมื้อแล้วพาลโกรธจิ้นหยวนขึ้นมาทันที จิ้นหยวนเองพอได้ยินสิ่งที่หมอบอกแล้วถึงกับตะลึงนิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้เองหรือ?
นี่เขาคิดไปต่างๆ นานาจนเกือบคิดว่าเธอเป็นโรคที่รักษาไม่หายเสียอีก แต่สุดท้ายกลับเป็นเพราะเรื่องนี้เองหรอกหรือ
เห็นสายตาไม่เป็นมิตรของเธอแล้วเขารู้สึกผิดขึ้นมาทันที
สุดท้ายคุณหมอยังกำชับด้วยว่าแม้น้ำซุปบำรุงร่างกายจะดี แต่ก็ควรรับประทานแต่พอประมาณ ดื่มเพียงวันละครั้งก็เพียงพอแล้ว หลังร่างกายหายดีแล้วก็ให้ดื่มสามวันต่อครั้ง หรืออาทิตย์ละครั้งก็พอ ห้ามดื่มวันละสามมื้อเด็ดขาด มิเช่นนั้นร่างกายจะรับไม่ไหว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสีหน้าของพวกเขาถึงได้ดูแย่มากขนาดนั้น เฉียวซือมู่โกรธที่เขาเอาแต่บังคับให้เธอดื่มน้ำซุปบำรุงเยอะเกินไปจนทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า ส่วนจิ้นหยวนเพียงแค่รู้สึกผิดเท่านั้นจนไม่กล้าสบตาเธอตรงๆ
ระหว่างทางกลับบ้าน ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจ้องเขาตาเขม็ง “ครั้งนี้คุณทำฉันอับอายขายหน้ามาก เป็นเพราะคุณคนเดียวเลย”
เขาหน้าแดงเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “ผมก็แค่อยากให้คุณหายเร็วๆ คุณดูสิ ตอนนี้คุณก็พูดได้เหมือนเดิมแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นตั้งเยอะ…”
เฉียวซือมู่ที่กำลังโกรธกระฟัดกระเฟียดเห็นสีหน้าสำนึกผิดของเขาแล้วความโกรธหายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างแปลกประหลาด เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย “ครั้งนี้ฉันยกโทษให้คุณก็ได้ แต่คราวหน้าคุณต้องฟังฉัน และห้ามบังคับฉันอีก”
“ผมต้องเชื่อฟังเมียจ๋าอยู่แล้ว” เขารีบรับคำทันที
ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอหน้าเปลี่ยนสีทันที “ใครเป็นเมียคุณ เมียคุณอยู่ที่บ้านคุณโน่น”
เอ่ยจบแล้วเบือนหน้าหนีทันทีโดยไม่สนใจเขาอีก
หากเรื่องน้ำซุปบำรุงเป็นความประสงค์ดีแต่กลับเป็นร้ายแล้วล่ะก็ คำว่าเมียจ๋ากลายเป็นลูกระเบิดดีๆ นี่เอง หลังจากนั้น ไม่ว่าจิ้นหยวนจะปลอบจะโอ๋เธออย่างไร เธอก็ไม่ยอมพูดกับเขาอีก และไม่ยอมชายตาแลเขาแม้แต่หางตา
เรื่องที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงกลายเป็นหนามยอกอกในใจเธอ เวลาที่ไม่ได้พาดพิงถึงหร่วนเซียงเซียงยังพอว่า แต่พอเอ่ยถึงเมื่อไหร่เธอก็จะรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ทรมานกว่าตอนเธอป่วยเสียอีก
จิ้นหยวนเห็นเธอเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จาแล้วได้แต่ถอนหายใจ เขารู้ดีว่าเรื่องที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงทำให้เธอไม่พอใจมาก แต่ไม่คิดว่าอาการจะหนักขนาดนี้ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตัดสินใจจอดรถกะทันหัน ยื่นมือไปจับมือเธอเอาไว้ “เรื่องที่ผมแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงทำให้คุณไม่พอใจมากใช่ไหม?”
ครั้งนี้เธอยอมหันมามองเขา “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ?”
เขายิ้มขื่น “ผมเข้าใจแล้ว แล้วถ้าผมบอกว่าผมกับเขาแต่งงานกันแต่งในนาม เราไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลย แบบนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยใช่ไหม?”
เธอมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะคะ?”
ที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงไม่ใช่เพราะเขาชอบพอเธอหรอกหรือ? ทำไมแต่งงานกับเธอแล้วถึงไม่แตะต้องเธอล่ะ? หรือว่าหร่วนเซียงเซียงไม่ยินยอม?
เธอรู้จักนิสัยของผู้หญิงคนนั้นดี เธอไม่ใช่คนที่ยอมกินน้ำใต้ศอกใครเด็ดขาด
จิ้นหยวนยิ้มบางๆ “มู่มู่ คุณเชื่อผมนะ ผมจะต้องแต่งงานกับคุณให้ได้”