นี่เป็นสเปรย์พริกไทยที่เธอซื้อมาจากซูเปอร์มาร็เก็ต ตอนแรกเธอซื้อมันมาเพราะความตื่นเต้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอคงต้องขอบคุณความคิดบ้าๆ ของตัวเองในตอนนั้นเสียแล้ว
ประตูถูกเปิดออกช้าๆ เงาของคนรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นตรงประตู เธอตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ ตอนนี้มือเธอลื่นจนแทบจะจับกระป๋องสเปรย์พริกไทยไม่อยู่
เธอผ่อนลมหายใจลงช้าๆ พยายามไถลตัวลงไปหลบอยู่ใต้โต๊ะให้มากที่สุด ในใจภาวนาอย่าให้คนคนนั้นเห็นเธอเลย
ขณะที่เธอไถลตัวลงไปนั่งหลบอยู่ใต้โต๊ะได้สำเร็จนั้น เสียงเปิดสวิตช์ไฟดังขึ้น ทันใดนั้น ไฟสว่างไสวไปทั่วห้อง เมื่อกี้เธอนั่งทำงานอยู่คนเดียวจึงปิดไฟในห้องเสีย
เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนหยุดอยู่ตรงประตูชั่วครู่ จากนั้นเสียงฝีเท้าหนักๆ ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง เธอเงี่ยหูฟังอยู่ใต้โต๊ะแล้วรู้สึกแปลกๆ
ยังไม่ทันได้รู้ว่ามันแปลกตรงไหน เธอก็ได้ยินคนคนนั้นส่งเสียง “เอ๊ะ” ขึ้นมา จากนั้นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เธอได้แต่กู่ร้องอยู่ในใจเพราะรู้แล้วว่าตัวเองยังไม่ได้ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์จนทำให้คนอื่นเห็นร่องรอยของเธอเข้าจนได้
เธอนั่งขดตัวงออยู่ใต้โต๊ะ มองลอดออกมาจากช่องว่างเล็กๆ แล้วเห็นว่าคนคนนั้นสวมรองเท้าหนังทำมือของอิตาลี ราคาขายอยู่ที่ประมาณหลักหมื่น งานส่วนใหญ่ที่เธอทำในช่วงนี้เกี่ยวข้องกับสินค้าฟุ่มเฟือยพวกนี้ทั้งสิ้น เธอเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้ทันที
ความรู้สึกแปลกๆ เมื่อกี้หวนกลับมาอีกครั้ง เธอมุ่นหัวคิ้วพลันได้ยินเสียงขีดเขียนบนกระดาษดังมาจากเหนือศีรษะ ดูเหมือนว่าคนคนนั้นกำลังอ่านผลงานของเธออยู่ เธออดแขวะในใจไม่ได้ “จะขโมยของก็ขโมยไปสิ ทำไมต้องอ่านงานคนอื่นด้วย?”
เธอภาวนาให้เจ้าหัวขโมยรีบออกไปเร็วๆ แต่เธอรอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปเสียที เพราะคนที่สวมรองเท้าแสนแพงคู่นั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเสียที
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป เธอเริ่มขยับตัวเพราะทนความเหน็บชาไม่ไหวอีกต่อไป เธอหันศีรษะมองออกไปนอกโต๊ะ ทันใดนั้น เธอสบเข้ากับดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว
เธอตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นกระเถิบตัวถอยหลังอย่างแรงจนศีรษะโขกเข้ากับโต๊ะอย่างจัง
“โอ๊ย!” เธอลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ เจ็บจนน้ำตาแทบไหล
ทำไมถึงซวยขนาดนี้? เธอทั้งโมโหทั้งร้อนใจ กระวนกระวายจนลนลาน ตอนนี้เธอถูกจับได้แล้วใช่ไหม?
ดวงตาของคนคนนั้นแฝงรอยยิ้ม เขาก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยกับเธอ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ในเมื่อถูกจับได้แล้วเธอก็คงต้องยอมจำนน เธอค่อยๆ คลานออกมาจากใต้โต๊ะ พอเงยหน้ามองเขาเท่านั้นเธอถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้ง เธอใช้มือกุมศีรษะตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “คุณ…คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”
คนตรงหน้าที่เธอคิดว่าเป็นหัวขโมยนั้น ที่แท้เขาก็เป็นหัวหน้าของหัวหน้าของเธอ… คุณคริส… เจ้านายของพวกเธอนั่นเอง
โอ้ พระเจ้า! นี่เธอคิดว่าเขาเป็นหัวขโมยหรือนี่!
ไม่ต้องส่องกระจกเธอก็รู้ว่าวินาทีนี้สีหน้าของเธอแย่มากขนาดไหน ขณะเดียวกันเธอก็แอบด่าตัวเองว่าโง่อยู่ในใจเบาๆ มีหัวขโมยที่ไหนที่เข้ามาแล้วไม่ขโมยของ แต่เอาแต่อ่านงานของเธอ แล้วยังสวมรองเท้าราคาแพงมากขนาดนั้นอีก
เฉียวซือมู่ เธอนี่มันยิ่งอยู่ก็ยิ่งโง่จริงๆ ด้วย!
คริสเป็นชายหนุ่มชาวอิตาลีวัยสามสิบกว่าๆ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ผมสีทองตาสีเขียว เห็นแล้วเจริญตาเจริญใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ความเป็นผู้ใหญ่ของเขาก็มีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดความสนใจจากสาวๆ ได้มากมายแล้ว
ดวงตาสีเขียวของเขากะพริบปริบๆ เขาเอ่ยถาม “คุณเฉียว ทำไมเย็นขนาดนี้แล้วคุณยังอยู่ที่นี่อยู่อีก?” เอ่ยพลางปรายตามองไปยังโต๊ะยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบของเธอแวบหนึ่ง “ผมจำได้ว่าไม่ได้สั่งให้คุณทำงานนอกหน้าที่พวกนี้นี่นา”
โชคดีที่เขาไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงไปแอบอยู่ใต้โต๊ะ เธอถอนหายใจโล่งอกแล้วเอ่ยตอบ “เอลลี่เป็นคนให้ฉันจัดการเอกสารพวกนี้ค่ะ ตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“เอลลี่เหรอ?” เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย เมื่อกี้เขาดูเอกสารพวกนี้ของเธอแล้ว เขาจำได้ว่าตัวเองเป็นคนมอบหมายงานนี้ให้เอลลี่เองกับมือ แล้วทำไมเรื่องถึงมาอยู่ในมือของเธอได้ล่ะ?
“ค่ะ” ไหนๆ ก็พูดออกไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อทำงานต่อ ตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้ว เธอต้องรีบทำงานส่วนที่เหลือให้เสร็จเร็วๆ แล้วรีบกลับบ้าน ตอนนี้เธอหิวจะตายอยู่แล้ว
คริสขยับริมฝีปากเล็กน้อย อยากถามเหลือเกินว่าทำไมเธอถึงไปแอบหลบอยู่ใต้โต๊ะ แต่เขาสังเกตท่าทางของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากให้เขาถามสักเท่าไหร่
อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าเขาเป็นคนร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายเธอ? เขาลูบคางตัวเองเบาๆ ด้วยความสนใจ
วันนี้เขาลืมของสำคัญบางอย่างเอาไว้ที่ออฟฟิศ เขาว่างอยู่พอดีจึงหวนกลับมาที่ออฟฟิศ เขารู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่ายังมีคนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ
เขาปรายตามองเฉียวซือมู่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง เขาหาของเจอแล้ว พอหันมองไปยังดวงไฟสีเหลืองนวลที่อยู่นอกห้อง พลันความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วเริ่มดูปฏิทินงานของตัวเอง
เวลาเคลื่อนผ่านไป กระทั่งเขาเก็บของเรียบร้อยแล้วจึงเห็นว่าเธอเองก็ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน และเธอกำลังนั่งรับประทานอาหารปิ่นโตของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย
เธอกำลังนั่งกินเปาะเปี๊ยะทอดชิ้นสุดท้ายพอดี ขณะที่เธอกำลังจะกัดเปาะเปี๊ยะทอดชิ้นสุดท้ายชิ้นนั้น พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นพอดี เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขากำลังเดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเอง ดวงตาสีเขียวราวน้ำทะเลคู่นั้นจ้องเธอนิ่ง
เธอชะงักเล็กน้อย เธอได้บทเรียนจากเจนนี่แล้ว พอเห็นดวงตาเป็นประกายของเขาจึงคิดว่าเขาอยากกินเปาะเปี๊ยะทอดของเธอเหมือนกันหรือเปล่า? แต่นี่มันชิ้นสุดท้ายแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นชวนเขากินข้าวผัดก็ได้ แต่ข้าวผัดก็เย็นแล้วด้วยสิ คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง?
ขณะที่เธอกำลังรู้สึกลำบากใจอยู่นั้น เขาก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เขามองอาหารจีนสีสันสดใสในปิ่นโตของเธอแล้วเอ่ยถาม “อร่อยไหม?”
เธอชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ก็พอใช้ได้ค่ะ ความจริงสปาเก็ตตี้ก็อร่อยเหมือนกันนะคะ แต่ฉันชอบอาหารจีนมากกว่า”
อาหารอิตาเลี่ยนเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น สปาเก็ตตี้ที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลก แต่เธอชอบอาหารจีนมากกว่าเพราะไม่ชินกับอาหารต่างชาติเสียที และปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือ อาหารที่นี่ราคาแพงมากเกินไป เธอทำกินเองคุ้มกว่ากันเยอะเลย
เขาฟังคำตอบของเธอแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นยังไงบ้าง เริ่มชินกับการทำงานที่นี่หรือยังครับ?” เขามองท่าทางที่เธอถือปิ่นโตสีฟ้าเอาไว้ในมือแล้วรู้สึกว่าน่ารักไม่เบา ผิวพรรณขาวผุดผ่องและผมดกดำเป็นเงางามใต้แสงไฟ ทำให้เธอดูสง่างามและดูลึกลับน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน
เขารู้สึกแปลกใจตัวเองมาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเธอ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจเธอเลย จนกระทั่งตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าเธอเป็นสาวงามจากตะวันออกที่ดูอ่อนโยนและสง่างาม แตกต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขาเจอในชีวิตอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่าแววตาของเขาเป็นประกายวูบวาบผิดปกติ เธอเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยด้วยความระแวง ได้ยินว่าคนต่างชาติเป็นคนที่เปิดเผยมาก อย่าบอกนะว่าตอนนี้เขากำลังคิดไม่ดีกับเธออยู่?
เธอเอ่ยตอบอย่างระแวดระวัง “ตอนมาใหม่ๆ ก็ยังไม่ชินหรอกค่ะ แต่ตอนนี้ปรับตัวได้แล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” เขายืดตัวยืนตัวตรงพลางเคาะนิ้วบนโต๊ะเธอเบาๆ “คุณรีบกินเถอะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้าน”
“ไม่… ไม่ดีมั้งคะ” เธอเอ่ยอย่างลังเล