ตอนที่ 608 ลองชุดแต่งงาน
อาหลานไม่พูดไม่จา ตามปิงซินเข้าไปในห้องของซูจิ่วซือ
สาวใช้เอาชุดแต่งงานมาที่ห้องของซูจิ่วซือ สองคนช่วยกันคลี่ชุดให้ซูจิ่วซือดู ซูจิ่วซือยืนอยู่ใกล้ๆ ยื่นมือไปลูบชุดแต่งงานสีแดง มุมปากผุดรอยยิ้ม
พอเห็นชุดแต่งงานคลี่ออกมา ปิงซินก็ตื่นเต้น “คุณหนู ชุดแต่งงานสวยจริงๆ บ่าวไม่เคยเห็นชุดแต่งงานสวยอย่างนี้มาก่อน”
แม้แต่อาหลานก็ตะลึง นางไม่เคยเห็นเสื้อผ้าที่สวยงามอย่างนี้มาก่อน
ซูจิ่วซือยิ้มกว้างขึ้นอีก ชุดแต่งงานนี้เป็นผลจากการทุ่มเทจริงๆ ใช้เวลาถึงสามเดือนจึงปักเสร็จ ใช้ผ้าทอยกดอกอวิ๋นจิน ดูคล้ายกับหนาแต่พลิ้วเบา
ที่แขนกับคอเสื้อใช้ไหมสีทองปักเป็นรูปดอกบัวซึ่งซูจิ่วซือชอบเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังปักรูปนกมงคลแห่งแคว้นเจียง สื่อความหมายโชคดีสมปรารถนา
รูปทรงเป็นแบบเรียบง่าย แต่งด้วยด้ายสีทอง พอกระทบแสงแดดก็ส่งประกายวิบวับ
คนที่เอาชุดแต่งงานมาส่งเป็นป้าอายุสี่สิบกว่า พูดอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ “คุณหนู ดอกบัวนี้ปักสองหน้า แต่ละหน้าไม่เหมือนกัน
ดอกบัวทั้งหมดเป็นฝีมือของช่างปักรุ่นเก่าที่ทำงานประณีตที่สุด ทั้งบัวตูมบัวบาน ล้วนแต่มีชีวิตชีวาเหมือนของจริง”
ซูจิ่วซือลูบดอกบัวบนผ้า เป็นอย่างป้าพูด มีชีวิตชีวาเหมือนของจริง งานปักฝีมือดีอย่างนี้ นางเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก มิน่าฟู่เฉินหรงจึงส่งไปปักตั้งไกล
“คุณหนู ลองใส่เถอะ!”
ปิงซินอยากเห็นซูจิ่วซือใส่ชุดแต่งงานมาก ป้าซึ่งอยู่ข้างๆ พูดอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายาทสั่งไว้ เอาชุดแต่งงานมาส่งต้องให้คุณหนูลองใส่ด้วย ดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
ซูจิ่วซือยิ้มอย่างอ่อนโยน พยักหน้า เป็นการรับคำ
ปิงซินกับสาวใช้คนอื่นรีบเข้าไปช่วยซูจิ่วซือเปลี่ยนชุด
ชุดแต่งงานไม่เหมือนเสื้อผ้าอื่น มีหลายชั้นมาก ข้างนอกยังมีผ้าบางสีแดงอีกชั้นหนึ่ง การสวมใส่ลำบากยุ่งยาก ใช้เวลาไม่น้อยกว่าสาวใช้หลายคนจะช่วยซูจิ่วซือใส่ชุดแต่งงานเสร็จ
พอใส่แล้ว ซูจิ่วซือก็ยืนหน้ากระจกสัมฤทธิ์ มองดูตัวเองในกระจก รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งลึก ปกตินางชอบสีอ่อน ไม่ค่อยได้ใส่สีแดงสะดุดตาอย่างนี้ จึงไม่เหมือนนางยามปกติ ดูสง่าภูมิฐาน
“คุณหนูสวยจริงๆ บ่าวดูแล้วเคลิบเคลิ้ม”
ปิงซินเอ่ยชม
“เจ้าช่างปากหวานมากขึ้นทุกที”
ซูจิ่วซืออารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอใส่ชุดแต่งงาน นางก็ยิ่งรอคอย อยากให้ถึงวันแต่งงานเร็วหน่อย ยังดีที่เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนเท่านั้น
ความรู้สึกที่รอคอยด้วยความหวังช่างดีจริงๆ
“บ่าวไม่ได้พูดผิด อาหลาน พูดบ้างสิ!” ปิงซินกระทุ้งอาหลานซึ่งเหม่ออยู่
“ปิงซินพูดถูก คุณหนูสวยจริงๆ”
ซูจิ่วซือมองแวบเดียวก็รู้ว่าอาหลานมีเรื่องในใจ จึงเข้ามาหาอาหลานแล้วถามขึ้น “อาหลาน เป็นอะไรไป?”
“ไม่…ข้าไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแต่นึกถึงเรื่องอดีต”
ซูจิ่วซือยังนึกว่าอาหลานพอเห็นตนใส่ชุดแต่งงานก็นึกถึงชังไห่ นางยื่นมือไปแตะหลังมืออาหลาน “อย่าคิดฟุ้งซ่าน”
“คุณหนู องค์รัชทายาทมาแล้ว”
ข้างนอกมีเสียงสาวใช้ดังขึ้น ซูจิ่วซือกำลังจะพูด ประตูห้องก็มีคนเปิดเข้ามา
“จิ่วซือ ชุดแต่งงานเหมาะกับเจ้าจริงๆ ข้าวัดตัวได้พอดี”
ตอนที่ 609 ไม่อยากรอแม้แต่วันเดียว
ซูจิ่วซือหน้าแดง รู้สึกขัดเขิน แต่ยังคงออกคำสั่งอย่างจริงจัง “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
ซูจิ่วซือพูดจบ สาวใช้ทั้งหมดก็คารวะแล้วถอยออกไป และปิดประตู
ซูจิ่วซือทำตาขวางใส่ฟู่เฉินหรง “เป็นองค์รัชทายาทต้องทำตัวจริงจังหน่อย อย่าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าสาวใช้ หน้าไม่อาย”
ฟู่เฉินหรงจับมือซูจิ่วซือ มองดูซูจิ่วซืออย่างละเอียด สีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว “ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล พูดความจริงทั้งนั้น ข้าเป็นคนวัดตัวเจ้าเอง ใช้มือวัด”
“ยังกล้าพูดเหลวไหลอีก”
ซูจิ่วซือเป็นคนหน้าบางอยู่แล้ว หน้าจึงแดงอย่างเห็นได้ชัด พูดจบก็สะบัดออกจากมือฟู่เฉินหรง หันหลังให้
ฟู่เฉินหรงเองก็ไม่กล้าพูดอะไรกับซูจิ่วซืออีก เขาเอามือโอบเอวซูจิ่วซือจากด้านหลัง “เอาละ เอาละ ข้าพูดเหลวไหล จิ่วซือ อย่าโกรธนะ”
ซูจิ่วซือยังไม่ใส่ใจฟู่เฉินหรง ทำให้ฟู่เฉินหรงเริ่มกระวนกระวายใจ หรือว่าโกรธจริงๆ! เขาเดินอ้อมมาข้างหน้าซูจิ่วซือ ถามอย่างระมัดระวัง “จิ่วซือคนดี ใต้เท้าอย่าถือสาผู้น้อยเลย โปรดอภัยให้ผู้น้อยด้วย!”
ซูจิ่วซืออดหัวเราะไม่ได้ ยื่นมือไปแตะหน้าผากฟู่เฉินหรง “เจ้าหนอเจ้า…”
“รู้น่าว่าเจ้าโกรธข้าไม่ลง จิ่วซือ ข้าขอดูเจ้าให้ดี” ฟู่เฉินหรงพูดจบก็เอาแต่จ้องซูจิ่วซือ ไม่พูดอะไรอีก
คงเป็นเพราะแววตาที่รุ่มร้อน ซูจิ่วซือจึงรู้สึกหน้าแดง ปิดเปลือกตาลงโดยไม่รู้ตัว พูดเสียงเบา “ดูพอหรือยัง?”
“ยัง”
“…”
ฟู่เฉินหรงยื่นมือไปรวบซูจิ่วซือแนบอก พูดอย่างเสียดาย “จริงๆนะ กำหนดวันแต่งงานถ้าเป็นวันนี้เลยน่าจะดี ข้าไม่อยากรอแม้แต่วันเดียว”
“งานราชสำนักกำลังยุ่ง เจ้ายังมีเวลาคิดเรื่องนี้”
“ยุ่งอย่างไรก็ไม่คิดถึงเจ้าได้”
“เวลานี้ยังไม่แต่งงานย่อมรู้สึกแปลกใหม่ วันหลังอยู่ด้วยกันทุกวัน เกรงว่าจะเบื่อหน่าย” ซูจิ่วซือซบอกฟู่เฉินหรง พูดล้อเล่น
ฟู่เฉินหรงกอดซูจิ่วซือแน่น “ข้ามีแต่จะรักเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างไร”
“ทำไมจึงมั่นใจอย่างนี้?”
“เพราะเจ้าอยู่ในนี้” ฟู่เฉินหรงดึงมือซูจิ่วซือไปวางบนหน้าอกของตน “ในนี้มีแต่เจ้า วันหลังก็ไม่มีใครอีก ชีวิตนี้ นอกจากอยู่เคียงข้าแล้ว เจ้าอย่าคิดไปไหนทั้งนั้น”
“ดี ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น เจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็จะอยู่ที่นั่น ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะอยู่ด้วยกัน”
ซูจิ่วซือสีหน้าจริงจัง นี่เป็นคำมั่นสัญญาที่นางให้ไว้กับฟู่เฉินหรง ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะอยู่ด้วยกัน ฟู่เฉินหรงกลับไม่อยากฟังคำว่าตาย เขายื่นมือไปปิดริมฝีปากซูจิ่วซือ “ตายอะไรกัน วันหลังไม่พูดคำที่ไม่เป็นมงคลอย่างนี้”
“เจ้าก็เชื่อเรื่องนี้หรือ”
“ข้าไม่เชื่อ แต่ข้าไม่ชอบฟังเจ้าพูดอย่างนี้ จิ่วซือ เราสัญญากันไว้แล้วว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า อย่าพูดว่าตายอีก”
พอเห็นฟู่เฉินหรงทำท่าเหมือนเด็ก ซูจิ่วซือรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็รับคำ “ดี ข้าฟังคำท่านพี่”
“เจ้าเรียกข้าว่าไงนะ?”
ฟู่เฉินหรงตื่นเต้นมาก ดวงตาทั้งสองทอประกาย
“ไม่มีอะไร”
ซูจิ่วซือรู้สึกเขิน ตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ไม่ได้ เจ้าพูดอีกครั้ง”
“ไม่พูด”
ฟู่เฉินหรงจับมือซูจิ่วซือ มองซูจิ่วซือด้วยสายตาลึกซึ้ง “ไม่พูดก็ได้ งั้นข้าต้องบังคับละ”
ซูจิ่วซืออยู่กับฟู่เฉินหรงมานานระยะหนึ่ง จึงเข้าใจคำพูดของฟู่เฉินหรงฉทันที ถ้ารู้ว่าฟู่เฉินหรงจะรบเร้าให้นางเรียกอีก เมื่อกี้คงไม่เรียกฟู่เฉินหรงอย่างนี้แน่