แม้ว่าจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เธอก็จินตนาการได้ ตอนนั้นโห้หลีเฉินผิดหวังขนาดไหน
ส่วนเธอหนีไป ปล่อยให้เขาอยู่ในนรกคนเดียว
เย้นหว่านเจ็บปวดแทบขาดใจ
วันคืนที่เหมือนฝันร้าย แค่เพียงคิด ก็ทำให้ยากจะทบรับไหว
“เสี่ยวหว่านไม่ได้เป็นเจ้าหญิงนิทรา นั้นเป็นข่าวที่ฉันตั้งใจปล่อยออกไป เพื่อหลอกหยูฉู่สองกับ…พวกนาย”
ป่ายฉีพูดพลาง มองโห้หลีเฉินค่อนข้างรู้สึกผิด
“ตอนนั้นเพื่อหลบหนีหยูฉู่สองตามไล่ฆ่า พวกเราทิ้งฐานทั้งหมดของตระกูลเย้นและหนีตาย เพื่อให้หยูฉู่สองตายใจ ก็เลยแกล้งปล่อยข่าว เสี่ยวหว่านนอนหมดสติไม่ฟื้น กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา”
“เสี่ยวหว่านสลบไม่กี่วันก็ฟื้นแล้ว หลังจากฟื้น พอรู้สถานการณ์ทั้งหมด เธอแทบจะใจสลาย แต่เสี่ยวหว่านก็เข้มแข็งมาก เป็นแม่จึงเข้มแข็ง เธอยืนหยัดผ่านช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด อดทนมาได้”
“ตอนที่สุขภาพเธอดีขึ้น พวกเราก็เริ่มวางแผนช่วยเหลือ เดิมทีฉันตั้งใจจะเข้าไป แต่เสี่ยวหว่านยืนยันจะเข้าไปด้วย เธอบอกว่า มีแต่เธอเข้าไป ถึงจะไม่ต้องการคำพูด ไม่เปิดเผยเบาะแส ก็ทำให้โห้หลีเฉินร่วมมือกับพวกเราได้”
“ตอนนี้ความจริงก็พิสูจน์แล้ว พวกนายสามีภรรยา สนิทสนมกลมเกลียวกันจริงๆ”
พูดไปเรื่อยๆ ป่ายฉีก็ยิ้มหยอกล้อ แต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตาลึกๆ ตอนที่มองเย้นหว่าน สีหน้ามักจะมีความซับซ้อนซ่อนอยู่
แต่ถูกเขาปิดบังไว้อย่างดี
เมื่อฟังที่ป่ายฉีเล่า เว่ยชีก็พยักหน้า ยืนยันว่ามีแต่เย้นหว่านเท่านั้นที่จะทำได้ พาโห้หลีเฉินเข้าสู่ความรักความแค้นของรักสามเส้า
ถึงจะหลอกหยูฉู่สองให้สับสนได้ แสดงละครจับตัวแรบบิทแก้แค้นเพราะความรัก
ให้หยูฉู่สองส่งตัวโห้หลีเฉินจากตระกูลหยูออกมาเองกับมือ
“งั้นฝีมือรักษาของคุณเย้นหว่านมาจากไหนกันล่ะ ผ่านการตรวจสอบของหยูฉู่สอง ฝีมือการรักษาของคุณเย้นหว่านก็ยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงจะเป็นไปได้ ตอนที่รักษา ฉันดูการทำงานต่างๆ แล้ว ดูคล่องแคล่วมาก เหมือนกับอาชีพตัวเอง ทำมานานเป็นสิบๆ ปียังไงยังงั้น ไม่มีพิรุธอะไรเลยนะ”
นี่คืออีกสาเหตุหนึ่งที่เว่ยชีไม่เคยคิดเชื่อมโยงว่าเย่ซือซือจะเป็นเย้นหว่าน
ป่ายฉีมองเย้นหว่านชื่นชม ชมเธอโดยไม่ปิดบัง
“เสี่ยวหว่านของพวกเราฉลาดมาก ช่วงปีกว่ามานี้ ทุกวันเรียนการแพทย์กับฉัน คนอื่นต้องเรียนสิบปีถึงจะเป็น เธอเรียนปีเดียวก็ได้แล้ว”
หยุดไปนิดหนึ่ง เสียงของป่ายฉีเคร่งขรึมลง พูดกับโห้หลีเฉิน “หนึ่งปีกว่ามานี้ เธอตั้งใจเรียนการแพทย์โดยไม่ให้เสียเวลาสักนาทีเดียว ทุกวันนอนแค่วันละสามชั่วโมง ก็เพื่อมาช่วยนาย โห้หลีเฉิน เสี่ยวหว่านเพื่อช่วยนายแล้ว ลำบากตรากตรำมากทีเดียว”
แม้แต่เขาเอง เห็นเย้นหว่านทุ่มเทขนาดนั้นบ่อยๆ ก็รู้สึกเป็นกังวล
ช่วงเวลาหนึ่งปีกว่ามานี้ สำหรับเย้นหว่านแล้ว เหมือนกับอยู่ในนรกทั้งเป็น
เย้นหว่านกลับยิ้มส่ายหน้า “ฉันไม่ลำบาก ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนี้ ปีกว่ามานี้ ฉันคงทนไม่ได้ ความลำบากที่สุดไม่ใช่ความยากและสถานการณ์อันตรายตรงหน้า แต่คือไม่มีหนทางจะไปต่างหาก”
เย้นหว่านเงยหน้ามองโห้หลีเฉิน มือบอบบางลูบใบหน้าที่ผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูกของเขา
“ฉันเจ็บปวดใจก็ตรงที่ หนึ่งปีกว่ามานี้ คุณสิ้นหวัง”
นั่นคือความทุกข์ทั้งหมดที่สุด
เธอตำหนิตัวเองมากกว่าที่โง่เกินไป ใช้เวลาตั้งปีกว่าถึงจะเรียนเป็น ถึงจะกล้ามาช่วยโห้หลีเฉิน
โห้หลีเฉินรู้สึกสะเทือนใจ ชายหนุ่มที่สูงถึง 190 เซนติเมตร พ่ายแพ้แล้ว
เขากุมมือของเธอแน่นๆ
“เสี่ยวหว่าน คุณเอาแรบบิทให้ผม หนึ่งปีมานี้ เธอเป็นความหวังของผมที่จะอยู่ต่อไป เพราะแรบบิท เพราะคุณช่วยชีวิตผมมาตลอด”
บรรยากาศเศร้าสร้อย คนในรถอดไม่ได้ที่จะร้องไห้
เว่ยชีเช็ดน้ำหูน้ำตา ถามต่อไป
“งั้นพวกนายแน่ใจได้ยังไงว่าหยูฉู่สองจะเลือกพวกนาย ตอนนั้นหยูฉู่สองเตรียมหมอตั้งหลายคน มาแข่งขันคัดเลือกทีละคน อีกทั้งเงื่อนไขการคัดเลือกก็ไม่ใช่คนที่ฝีมือดีที่สุด”
ป่ายฉีตอบเรียบๆ
“เพราะตอนแรกเริ่มเราไม่ได้ปลอมเป็นเสิ่นเคอหานกับเย่ซือซือ แต่รอพวกเขาได้รับเลือกแล้ว ถึงเข้าไปสวมรอยแทน”
คำตอบนี้ เว่ยชีคาดไม่ถึงจริงๆ
เขาประหลาดใจ “ตอนนั้นคนที่เข้าทดสอบ ต่อให้เป็นแผนกกายภาพบำบัด อย่างน้อยก็มีหมอตั้งหลายสิบทีม หลังจากพวกเขาได้รับเลือก ไม่นานก็มาดูแลคุณผู้ชายแล้ว พวกนายไม่น่าจะมีเวลาพอเข้าใจนิสัยพวกเขา และไม่มีทางแสดงเป็นพวกเขาได้แนบเนียนขนาดนี้
นอกจาก พวกนายศึกษาข้อมูลทั้งหมดของคนที่สมัครอย่างละเอียด แต่ว่า จะพูดอย่างนี้ก็ไม่น่าใช่ อยากจะแสดงเป็นคนหนึ่งให้เหมือนขนาดนั้น ก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่ง
การแสดงของพวกนายไม่มีที่ติ ฉันไม่เห็นพิรุธอะไรเลย นึกว่าพวกนายคือตัวจริงอีกนะ”
นี่ไม่เหมือนกับนักแสดงทั่วไปแสดงละคร นี่คือการแสดงเป็นคนนั้นจริงๆ เป็นเวลานาน ใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมงเป็นคนอื่น
ถ้าไม่ใช้เวลานานเข้าใจคนนั้น ไม่มีทางแสดงได้ขนาดนี้
ป่ายฉีส่ายหน้า สายตาซับซ้อนมองเย้นหว่าน
จากนั้น ก็กัดฟันพูดขึ้น
“ที่จริงมืออาชีพเกินไปหน่อย ถึงบทมากไปหน่อย ตอนนี้ฉันยังรู้สึกว่า อยากจะฆ่าโห้หลีเฉิน แย่งเย่ซือซือกลับมา”
เว่ยชีรู้สึกเสียววาบโดยไม่รู้ตัว
เขามองเห็นสายตาเพชฌฆาตที่ไม่ได้เสแสร้งในสายตาของป่ายฉีได้ชัดเจน
เขาขนลุกซู่ทั้งตัว กระทั่งรู้สึกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ป่ายฉี แต่เป็นเสิ่นเคอหานที่มีแผนการชั่วร้าย
เขาขยับไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ บังด้านหน้าป่ายฉี ขอแค่เขากล้าทำอะไร เขาพร้อมจะลงมือขัดขวาง
โห้หลีเฉินยังคงนั่งเงียบๆ สายตาที่มองป่ายฉี เต็มไปด้วยการดูถูก
ไม่ได้ใส่ใจคำขู่ของเขาสักนิด
จากนั้น เขาก้มลงมองเย้นหว่านไม่สบายใจ “คุณล่ะ ออกจากละครยัง ได้รับผลกระทบอะไรมั้ย”
เย้นหว่านสายตาวูบไหวเล็กน้อย
เธอกัดริมฝีปาก ครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้นเบาๆ
“ยังไม่หลุดพ้นทั้งหมด บางครั้งก็ยังรู้สึก ที่จริงก็ฉันคือเย่ซือซือ…”
โห้หลีเฉินพลันขมวดคิ้วขึ้นมา
เขาพูดไม่พอใจมาก “แม้ว่าคุณจะเป็นเย่ซือซือ และเปลี่ยนใจมารักผมแล้ว ในใจก็ห้ามมีที่ว่างให้เสิ่นเคอหานแม้แต่นิดเดียว!”
แม้ว่าจะเป็นการแสดง เขาก็หึงหมด
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดอย่างนี้ ตอนที่เย้นหว่านแสดงเป็นเย่ซือซือมาตระกูลหยู สายตารักใคร่หยาดเยิ้มที่มองเสิ่นเคอหานไม่ใช่การแสดงหรือ
คิดถึงตรงนี้ โห้หลีเฉินยิ่งรู้สึกหายใจติดขัด
และยังโมโหด้วย
เย้นหว่านเห็นโห้หลีเฉินเป็นอย่างนี้ รู้สึกหวาดกลัวด้วยความเคยชิน อยากจะหลบ แต่เพิ่งจะขยับ ก็ถูกชายหนุ่มกอดไว้แน่น ใจของเธอเต้นโครมครามทันที
เธอกลัวโห้หลีเฉินตรงไหน เธอแค่…
ความขี้ขลาดของเย่ซือซือกำลังหลอกหลอน