แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธ: “ฉยงฉยง ฉันรู้ว่าเธอดีกับฉันมากและฉันก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับเธอ แต่ฉันลืมวิธีการทำงานเหล่านั้นแล้วตอนนี้ฉันไม่เหมาะกับบริษัท ตอนนี้บริษัทต้องการเธอ ฉยงฉยงไม่ต้องแบ่งอะไรให้ฉันทั้งนั้น”
เจียงฉยงฉยงพูดไม่ออก
เธออยากจะตะโกนดังๆว่า อย่าโง่แบบนี้
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นสายตาที่จริงใจของ เฉินเฉียวเธอทำได้เพียงแค่ยอมแพ้และพูดอย่างหงุดหงิดว่า“บริษัทมีส่วนของเธอเสมอ ฉันเชื่อว่าสักวันเธอต้องจำได้ รอถึงวันนั้นเรามาปกป้องบริษัทด้วยกันนะ”
เฉินเฉียวพยักหน้าโดยไม่ต้องการทำให้ความมั่นใจของฉยงฉยง ลดลง
ระหว่างทางบนรถที่กำลังกลับไปที่จิ้งหย่วน เฉินเฉียวถอนหายใจและรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ทิวทัศน์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วด้านนอก
เธอไม่เคยรู้สึกว่าความจำเสื่อมจะไม่ดีขนาดนี้มาก่อน ยังไงซะมนุษย์ก็เสียความทรงจำได้ โดยปกติถ้าได้รับการกระตุ้นอย่างรุนแรง สิ่งเร้าเหล่านั้นจะไม่เป็นผลดี
ดังนั้นเฉินเฉียวไม่เคยบังคับให้ตัวเองนึกออก
แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเมื่อนึกถึโย่วอีซังหลินจวินและฉยงฉยงยังมีความทรงจำที่หายไป เป็นครั้งแรกที่เธอคิดเรื่องอดีตออก
ไม่มีอะไรอื่นมีแต่พวกเขาเท่านั้น
เมื่อเธอลงจากรถ เฉินเฉียวก็เห็นรถสองคันจอดอยู่หน้าบ้านของเธอเธอเลิกคิ้วสันนิษฐานว่ามีแขกมาที่บ้าน
เธอลังเลว่าจะเข้าไปหรือไม่นึกได้ว่าเหมิ้งเหมิ้งที่ยังอยู่ที่บ้านเธอก็กังวัลเดินเข้าไป
เหล่าฟู่นั่งอยู่ในรถมองร่างเธอเข้าไป เหล่าฟู่ก็โทรหานายเขาทันที
เมื่อเฉินเฉียวเข้าไปเธอพบว่าเหมิ้งเหมิ้ง ถูกหญิงชราผมสีเงินอุ้ม
เด็กมักจะอ่อนไหวอยู่ตลอดเวลาอาจเป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงลมหายใจของแม่ เหมิ้งเหมิ้งเงยหน้าขึ้นหลังจากเห็นแม่เธอก็ตะโกนอย่างมีความสุขทันที: “แม่กลับมาแล้ว”
มุมปากของ เฉินเฉียวยิ้ม: “เหมิ้งเหมิ้งอยู่บ้านดื้อไหม”
ไม่ค่ะเหมิ้งเหมิ้งพยักหน้า
คุณหญิงที่ถูกทอดทิ้งมองเธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“เฉินเฉียวไม่ได้เจอกันนานเลย”เมื่ออุบัติเหตุของเฉินเฉียวเกิดขึ้นถ้าไม่ใช่ว่าคุณหญิงพูดตั้งแต่แรก เรื่องคงจะไม่กลายเป็นแบบนี้
เฉินเฉียวไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหญิงต้องข้อโทษเธอ สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
เห็นได้ชัดว่าคุณหญิง รู้ว่าเธอความจำเสื่อมและเธอก็ไม่ได้พูดอะไรเธอแค่แนะนำตัวเองและพูดว่า: “ฉันเป็นแม่ของหลินจวินและยายของโย่วอีแน่นอนตอนนี้ฉันก็เป็นยายของเหมิ้งเหมิ้งที่น่ารัก”
คุณหญิงรักเด็กเสมอไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
เหมิ้งเหมิ้งเป็นคนน่ารักและนุ่มนวลและได้รับความเอ็นดูอย่างมากจากผู้ใหญ่เสมอมา
ในขณะนี้อีกด้านพ่อของซังหลินจวินที่กำลังคุยกับโย่วอีบนโซฟาก็พูดแทรก
“ไหนๆก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว อย่าจากหลินจวินไปไหนอีกเลย อายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว รีบๆจัดงานแต่งให้เสร็จๆไป ให้ฉันตายตาหลับเถอะ”
อาจเป็นเพราะยิ่งแก่ยิ่งเห็นค่าของครอบครัว ซังหลีหย่วนไม่ได้กีดกันเฉินเฉียวอีกต่อไป ยังไงซะลูกชายเขาก็หัวรั้น
แม้ว่าคนเราจะตายไปแล้ว ถ้าไม่รีบทำดี มีแต่จะทำร้ายทั้งสองฝ่าย
เฉินเฉียวตกตะลึงเธออยากจะพูดว่า พวกเธอยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
แต่เมื่อมองไปที่โย่วอีเก้าขวบและเหมิ้งเหมิ้งสามขวบก็เป็นหลักฐานชัดเจน
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า
เมื่อซังหลินจวินกลับมาในตอนเย็นป้ามั่วก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างวัน
ซังหลินจวินคิดว่าครอบครัวของเขากลับมาฉุดรั้งเขาไว้อีกครั้งไม่คาดคิดว่าครั้งนี้พวกเขาจะมาช่วยเขาจริงๆ
เขายิ้มอย่างร่าเริง
เขาเดินออกไปเคาะประตูห้องเฉินเฉียว
เฉินเฉียวที่ยังไม่ได้นอนหอบเสื้อผ้าออกมาจากห้อง ค่อยๆปิดประตู หันมาเจอซังหลินจวินเธอตกใจ:“ดึกขนาดนี้แล้ว มาหาฉันทำไม”
“ ผมได้ยินคนบางคนบอกว่าจะแต่งงานกับผม”ซังหลินจวินยืนตัวตรงกดดันแต่เขาก็ยังรู้สึกประหม่า
“เปล่า ไม่มีอะไร.”เฉินเฉียวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเธอไม่คิดมาก่อนเลย ว่าคำพูดขอไปทีของเธอ เขาจะจริงจัง
เมื่อเห็นเฉินเฉียวก้มศีรษะลงหูของเธอก็เป็นสีชมพูแล้ว ซังหลินจวิน รู้ว่าเธออายเขาก้าวเข้าไปใกล้เธอและถามว่า “เปล่าหรอ แต่ผมจริงจัง”
อะไรนะเฉินเฉียวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแสดงความงง
ซังหลินจวินรู้ว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ความรู้สึกของเขาหยุดอยู่ที่นี่ดังนั้นเขาจึงไม่ปิดบังความไม่พอใจเขากอดเธออยู่ในอ้อมแขนศีรษะของเขากดลงกับลำคอเนียนๆของเธอเขาพูดทุกคำ เหมือนกับการตีกลองในหัวใจของเธอ
“เฉียวเฉียวผมคิดว่าผมรอได้อให้คุณจดจำอดีตของเรารอให้คุณตกหลุมรักผม แต่เมื่อฉันได้ยินคุณสัญญาว่าจะแต่งงานกับผมผมก็ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ วันที่ผมรอเศร้าแค่ไหนผมรักคุณดังนั้นผมไม่อยากมองคุณจากระยะไกลทุกครั้งผมสัมผัสคุณไม่ได้ผมอยากจับมือคุณอย่างเปิดเผยครั้งหนึ่งเราเคยเป็นอย่างไร ผมจะทนได้ยังไงถ้าตอนนี้คุณอยู่ห่างจากผมหนึ่งเซ็นต์ ”
เสียงของเขาทุ้มมาก ดังในหูของเฉินเฉียว และมันดังก้องอยู่ในทุกมุมของหัวใจของเธอ
สัมผัสอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในหัวใจของเธอ
แต่สำหรับเธอ คิดว่ามันเป็นระยะที่เหมาะสมพอดี แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
เฉินเฉียวจ้องมองเขาเป็นเวลานาน
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่นั้น ตอนนี้มีความร้อนแผดเผา
เหมือนไฟที่ลุกโชนหัวใจของเธอจะละลายเป็นน้ำ
เธอสามารถได้ยินเสียงหัวใจของเธอในอกราวกับว่ามันเริ่มเต้นอย่างรวดเร็ว
เธอต้องการปกปิดเสียงหัวใจเต้น กลัวว่าเขาจะได้ยิน
ไม่คาดคิดว่าในเวลานี้เขายังคงพูดคำที่ทำให้เธอหัวใจเต้นเร็วขึ้น
“เมื่อเราแต่งงานกันจะไม่มีการหย่าร้างเมื่อเราอยู่ด้วยกันจะไม่มีการแยกจากกันความรักของผมที่มีต่อคุณจะไม่มีวันหายไปเฉียวเฉียวสัญญากับผมแต่งงานกับผมโอเคไหม”
เขาวางมือบนคอของเธออย่างใจดีและปลายนิ้วหนาทำให้อุณหภูมิในตัวเธอร้อนขึ้น
เฉินเฉียวผลักเบา ๆ แต่ ซังหลินจวินไม่ยอมปล่อย
จนกระทั่งเสียงหัวใจเต้นแรงจนอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้ก็ได้ยินเช่นกัน
เสียงอะไรเนี่ยซังหลินจวินได้ยินชัดเจน แต่ก็ยังคงแกล้งถาม
ฉันไม่รู้เฉินเฉียวยังคงยืนกราน
ซังหลินจวินยิ้ม เฉินเฉียว มึนงง แต่เขาก็ยังคงพูดว่า: “นั่นคือจังหวะการเต้นของหัวใจของผม เฉินเฉียวคุณเคยได้ยินไหมหัวใจของผมกำลังบอกคุณว่าผมรักคุณมาก”
“……”น่าไม่อายจริง มันเป็นเสียงหัวใจของฉันชัดๆ ในใจของเฉินเฉียวตีโพยตีพาย
แต่เธอไม่กล้าพูด ถ้าเธอพูดมันออกไป นั่นแสดงว่า ใจเธอหลงรักเขาไปแล้ว