ตอนที่ 7 – หนึ่ง
นักโทษ 3,102 คน ตอนนี้ไม่ไปเล่นคนใหม่ก็ไปจมอยู่ในเขตนันทนาการ ยังมีส่วนน้อยที่ไปยกน้ำหนักที่เขตอุปกรณ์ออกกำลังกาย ทุกคนคล้ายกับจะไม่มีความสนใจต่อการอ่านหนังสือมากนัก
ดังนั้นหลี่ซูถง, หลินเสี่ยวเสี้ยว, เยี่ยหว่านในขณะนี้จึงดูจะแปลกแยกเป็นพิเศษอยู่บ้าง
หลินเสี่ยวเสี้ยวนั่งยอง ๆ อยู่บนเก้าอี้ยิ้มอย่างซุกซน สองเท้าเปล่าเปลือย รองเท้าของเขาตกเกลื่อนอยู่ข้าง ๆ
เยี่ยหว่านยืนตัวตรงอยู่ข้างหลังหลี่ซูถง สายตาจับสังเกตรอบด้านเป็นครั้งคราว
คนหนึ่งเหมือนข้ารับใช้ในห้องหนังสือ ส่วนอีกคนเหมือนองครักษ์
หลินเสี่ยวเสี้ยวเห็นหลี่ซูถงอ่านข่าวจบแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้านาย เด็กนั่นไม่ช่วยคนใหม่คนอื่น”
หลี่ซูถงพยักหน้า “ไม่ช่วยถึงจะถูก เขาตอนเล่นหมากรุกเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด กับตัวเองยังสามารถตัดแขนเพื่อเอาชีวิตรอดได้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย”
“เล่นหมากรุกมันก็เล่นหมากรุกนะ บนกระดานหมากรุกให้ผมทิ้งหมากผมก็กล้า…. งั้นเจ้านาย พรุ่งนี้ท่านยังจะเล่นหมากรุกกับเขาต่อไหม” หลินเสี่ยวเสี้ยวคิด ๆ แล้วถาม
“เล่น” หลี่ซูถงยิ้มกล่าวว่า “ไม่เล่นกับเขาหรือว่ายังจะให้เล่นกับคนไม่รู้หมากอย่างพวกเธอสองคนล่ะ” ในเขตอ่านหนังสือ หลี่ซูถงกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวยาว ในมือถืออีรีดเดอร์ใหม่เอี่ยมเครื่องหนึ่งอ่านอย่างตั้งใจ ข้างในถึงกับเป็นข่าวต่าง ๆ นานาของเช้านี้
แมวใหญ่ยักษ์ตัวนั้นขณะนี้นอนลงบนโต๊ะงีบหลับอีกครั้ง คล้ายกับว่าความหมายในการถือกำเนิดของแมวก็คือการนอนในสถานที่ต่าง ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เขตอ่านหนังสือนี้คล้ายเป็นเป็นห้องสมุดขนาดเล็ก แต่บน “ชั้นหนังสือ” ของที่นี่ไม่มีหนังสือกระดาษเลย ทว่าเป็นอีรีดเดอร์ที่ชาร์จแบตอยู่ในช่อง
ระหว่างชั้นหนังสือคือโต๊ะยาวหลายสิบตัว เพียงพอที่จะบรรจุคนเกือบพันคน แต่ขณะนี้กลับว่างเปล่า
เยี่ยหว่านกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งอยู่ข้าง ๆ ว่า “ผมแกร่งกว่าหลินเสี่ยวเสี้ยวอยู่หน่อยหนึ่งนะ”
“แต่ก็ไม่ได้แกร่งกว่าสักแค่ไหน” หลี่ซูถงมองไปทางเยี่ยหว่าน ใช้นิ้วจิ้มข่าวบนอีรีดเดอร์ “ยังจำกัวหู่ฉานคนนั้นที่กลุ่มตระกูลเฉินจับไปได้ไหม กระบวนการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว หลายวันนี้น่าจะส่งมาที่คุกหมายเลข 18 นี้ ถึงเวลาเธอไปติดต่อเขาหน่อย”
เยี่ยหว่านพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ก็เคยติดต่อกับเขามาหนึ่งครั้ง คนคนนี้ถึงจะคบหาไม่ง่าย แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถพูดคุยกัน”
“อืม” หลี่ซูถงพยักหน้า หันเหสายตาไปทางหลินเสี่ยวเสี้ยว “เรื่องของเด็กที่พังทลายลงเช้านี้ เธอเห็นว่ายังไง”
“ผมสังเกตอยู่นานมาก รู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง” หลินเสี่ยวเสี้ยววิเคราะห์ “ดูท่าเด็กนั่นเหมือนจะพูดจาไร้สาระหลังจากพังทลายลงไป แต่ตอนที่เขาพูดคำว่าเมืองลั่วกับกลุ่มหย่งลี่ชัดเจนหนักแน่นเป็นพิเศษ ท่าทางเหมือนกับมันเป็นเรื่องจริง”
“ตัวตนของเขาล่ะ” หลี่ซูถงถาม
“ตรวจสอบแล้ว อยู่ข้างนอกก็เป็นบุคคลว่างงานทั่วไปในสังคมที่ดรอปเรียนมัธยม เขาติดตามองค์กรเฮยหู่ของเมืองหมายเลข 18ทำการซื้อขายอวัยวะจักรกล ต้องสงสัยว่าปล้นชิงอวัยวะจักรกลผิดกฎหมายแต่ไม่มีหลักฐาน สุดท้ายให้ข้อหาหลีกเลี่ยงภาษีส่งตัวเข้ามา ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดในอดีตล้วนสามารถตรวจสอบ แต่เมืองลั่วกับกลุ่มหย่งลี่ที่เขาพูดสืบหาไม่เจอจริง ๆ” หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าว
ใครก็ไม่เห็นว่าหลินเสี่ยวเสี้ยวไปตรวจสอบอะไร แต่เขาเหมือนกับว่าใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ตรวจสอบเด็กหนุ่มที่พังทลายลงไปคนนั้นได้อย่างเรียบร้อยหมดจด
นี่จึงเป็นส่วนที่น่าอัศจรรย์ที่สุด
หลี่ซูถงกล่าวว่า “สังเกตต่อไป เด็กนั่นจะต้องมีปัญหาอื่นแน่ ๆ นอกจากนี้ คนที่เล่นหมากรุกกับฉันมีสถานการณ์ยังไง”
หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าวว่า “เกมหมากรุกของท่านเพิ่งจะจบเอง ผมยังไม่ทันได้ตรวจสอบ ก่อนพักเที่ยงจะสามารถให้คำตอบกับท่านครับ”
“ดี” หลี่ซูถงพยักหน้าพลางพลิกอ่านอีรีดเดอร์ต่อไปพลาง
หลินเสี่ยวเสี้ยวจับจ้องหลี่ซูถงเงียบ ๆ จู่ ๆ เขาก็ตระหนักว่าเจ้านายคนนี้เห็นใจเด็กหนุ่มนั่น
ตอนที่เขากำลังเตรียมจะพูดอะไรต่อสักหน่อย หลินเสี่ยวเสี้ยวก็หันหน้ามองไปทางข้างนอกเขตอ่านหนังสือ ขณะนี้ชิ่งเฉินกำลังเดินมาช้า ๆ สังเกตมองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เห็นแค่ชิ่งเฉินมองประเมินด้านหลี่ซูถงก่อน จากนั้นลองดึงอีรีดเดอร์ที่คล้ายกับไอแพดออกมาจาก “ชั้นหนังสือ” เบา ๆ กดปุ่มเปิดเครื่อง
ชิ่งเฉินจ้องมองหน้าจอ
ถ้าจะบอกว่ามีวิธีอะไรที่สามารถทำความเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างรวดเร็ว นั่นย่อมต้องเป็นการอ่านหนังสือของโลกนี้
เขาคิดไม่ถึงว่าโลกนี้แม้แต่หนังสือกระดาษก็ล้วนกำจัดไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลือล้วนเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แต่ว่าหลังจากเปิดเครื่องอีรีดเดอร์นี้กลับไม่ใช่หน้าจอการทำงาน ทว่าเป็นหน้าจอล็อคอิน
หลินเสี่ยวเสี้ยวที่อยู่ด้านข้างเดินมาหัวเราะเบา ๆ ว่า “เข้าคุกครั้งแรกล่ะสิ อยากจะใช้อีรีดเดอร์นี่ก่อนอื่นต้องลงทะเบียนแอคเคาน์โดยใช้หมายเลขนักโทษก่อน รอหลังจากคุณล็อคอินเข้าไป ข้างในจะแสดงรายการอ่านล่าสุดของคุณ มีคั่นหน้าหนังสือที่เป็นของคุณ รวมทั้งการตั้งค่าตามนิสัยการอ่าน ตัวหนังสือใหญ่เล็ก”
ชิ่งเฉินคิดในใจว่า ของเล่นนี่ยังมีมนุษยธรรมมากเลย
“จริงสิ มันยังมีเสียงเอไอติดตั้งเอาไว้ด้วยนะ คุณเรียกชื่อของมัน สามารถช่วยคุณหาเนื้อหาที่ต้องการค้นหา อย่างนี้” หลินเสี่ยวเสี้ยวก็ดึงอีรีดเดอร์ออกมาหนึ่งเครื่องกล่าวว่า “หนึ่ง”
“ฉันอยู่” ในอีรีดเดอร์มีเสียงผู้หญิงที่ไพเราะดังออกมา ชิ่งเฉินจดจำเสียงนี้ได้ เป็นเสียงเดียวกันกับเสียงประกาศมื้ออาหารในเรือนจำป้อมปราการเป๊ะเลย
เสียงสังเคราะห์แต่ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าแข็งทื่อ
หลินเสี่ยวเสี้ยวพูดกับอีรีดเดอร์ว่า “ช่วยผมหาหนังสือเรื่อง ‘สีน้ำตาล’ ”
“ได้เลย ช่วยคุณหา ‘สีน้ำตาล’ แล้ว” เอไอ ‘หนึ่ง’ ตอบ
“ดู” หลินเสี่ยวเสี้ยวส่งอีรีดเดอร์ในมือตนเองให้ชิ่งเฉิน หนังสือที่มีชื่อเรียกว่าสีน้ำตาลเล่มนั้นเปิดหน้าของมันออกมาแล้ว
ชิ่งเฉินมองดูเครื่องแบบนักโทษบนตัวของตนเอง หมายเลข 010101
หลังจากลงทะเบียนเสร็จสิ้น ชิ่งเฉินมองไปทางหลินเสี่ยวเสี้ยว “ตรงไหนสามารถอ่านข่าว ประเภทเดียวกับแบบในมือคนนั้นน่ะ”
หลินเสี่ยวเสี้ยวหันหน้ากลับไปมองอีรีดเดอร์ในมือเจ้านายตัวเอง จากนั้นหัวเราะขึ้นมา “เลิกคิดเลย แอคเคาน์อีรีดเดอร์ของคุณไม่มีอินเตอร์เน็ต แม้แต่ผมก็ไม่มี”
ชิ่งเฉินรับทราบในใจ ดูท่าสถานภาพของหลี่ซูถงในคุกแห่งนี้สูงส่งเป็นอย่างยิ่งจริง ๆ
ก็อย่างที่อีกฝ่ายสามารถเลี้ยงแมวในคุกได้
เขาไม่พูดอะไรมากความอีก ทว่าหลังจากเอ่ยขอบคุณก็ก้มหน้าลงอ่านเนื้อหาในอีรีดเดอร์ของตนเอง
หลินเสี่ยวเสี้ยวกลับไปที่ข้างกายหลี่ซูถง มองประเมินชิ่งเฉินอย่างเร้นลับ
แต่จู่ ๆ เขาก็พบว่า อีรีดเดอร์ของชิ่งเฉินพลิกหน้าเร็วอย่างยิ่ง!
ในสถานการณ์ปกติ หนึ่งอีรีดเดอร์หนึ่งหน้ามี 800 คำ คนทั่วไปอ่านอย่างเร็วที่สุดก็ต้องหนึ่งนาทีไหม แต่ว่าความถี่ที่ชิ่งเฉินพลิกหน้ากลับเป็นสองวินาที!
หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าวเสียงค่อยกับหลี่ซูถงว่า “เจ้านาย เขาไม่ได้อ่านอีรีดเดอร์อย่างจริงจังเลย อาจจะคิดอยากตีสนิท ผสมโรงหาโอกาสมาสนิทสนมกับท่าน”
“อย่าเรื่องมาก” หลี่ซูถงกล่าวโดยที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “อย่าได้ดูแคลนความปรารถนาในการหาทางเอาชีวิตรอดของคนอื่น ถ้าเกิดเธอกับเขาสลับบทบาทกัน เกรงว่าเธอยังจะกระวนกระวายกว่าเขาอีก เสี่ยวเสี้ยว หัดเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจบ้าง”
หลินเสี่ยวเสี้ยวยิ้มอย่างซุกซนกล่าวว่า “ผมรู้แล้ว ๆ”
ชิ่งเฉินหาที่นั่งลง เขาจดจำเนื้อหาในอีรีดเดอร์ไม่หยุด จากนั้นพลิกเปลี่ยนหน้าอย่างรวดเร็ว การอ่านอย่างนี้ใช้เวลาไปสามชั่วโมงกว่า แม้แต่ท่านั่งก็ยังไม่ได้เปลี่ยน
สำหรับคนอื่นการอ่านอาจจะเป็นกิจกรรมยามว่าง แต่สำหรับเขามันเป็นหนึ่งในหนทางที่จะทำความเข้าใจโลกใบนี้และเอาชีวิตรอด
เนื้อหาบนอีรีดเดอร์เห็นได้ชัดว่าถูกคัดเลือกอย่างเอาใจใส่ ข้อมูลสำคัญแทบจะไม่มี เนื้อหา 95% ดันเป็นปรัชญาและพลังแห่งชีวิต*…..
แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้อมูลใด ๆ สำหรับเขาแล้วล้วนสำคัญมาก
ชิ่งเฉินเป็นคนที่ทะนุถนอมโอกาสมาโดยตลอด
ใกล้จะถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว ในที่สุดหลี่ซูถงวางอีรีดเดอร์ในมือลง ล็อคเอาท์ออกจากแอคเคาน์ของตนเอง
เยี่ยหว่านที่อยู่ด้านข้างรับอีรีดเดอร์มาอย่างรู้ใจแล้ววางกลับลงไปในช่องบนชั้นหนังสือ
เยี่ยหว่านกับหลินเสี่ยวเสี้ยวก็เหมือนกับเป็นผู้ติดตามที่ใกล้ชิดที่สุดข้างกายหลี่ซูถง
ตอนที่หลี่ซูถงลุกขึ้นได้เหลือบมองชิ่งเฉิน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เด็กหนุ่มนี่ตั้งสมาธิกับการอ่านหนังสือ ดูเหมือนว่าไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่าเขาลุกขึ้นแล้ว ไม่เหมือนกับกำลังเล่นละคร
จู่ ๆ เขาถามขึ้นมาว่า “บรรทัดที่สามหน้าที่แล้วมีเนื้อหาอะไร”
น้ำเสียงนี้อ่อนโยนดั่งหยก ตอนที่พูดก็คล้ายกับจะทำให้คนจู่ ๆ ก็พบตนเองอยู่ในห้องน้ำชางามประณีต ฟังคำสั่งสอนน่าเลื่อมใสของผู้อาวุโส
“ตอนที่ระเบียบกลายเป็นความสับสน จะไม่อาจไม่ใช้ความสับสนรักษาระเบียบ กอบกู้กฎหมาย” ชิ่งเฉินเงยหน้าขึ้นกล่าว
เยี่ยหว่านดึงอีรีดเดอร์จากในมือชิ่งเฉิน พลิกไปหน้าที่แล้ว “เจ้านาย ไม่ผิด”
ณ ขณะนี้ จู่ ๆ ชิ่งเฉินก็มองเห็นแมวตัวใหญ่บนโต๊ะลืมตาขึ้น เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าแววตาที่อีกฝ่ายมองดูตนเองเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
คล้ายกับว่า…..อีกฝ่ายสามารถฟังเข้าใจบทสนทนาของทุกคนได้มาโดยตลอด แล้วก็ทึ่งกับความสามารถในการจดจำของชิ่งเฉิน
หลี่ซูถงหลังจากได้ยินคำยืนยันของเยี่ยหว่านก็อึ้งไป แล้วเรียกแมวใหญ่จากไปพร้อมเสียงหัวเราะ “ยิ่งน่าสนใจ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ชิ่งเฉินรู้สึกมาโดยตลอดว่าการเดินของหลี่ซูถงมีบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ ชุดไทเก็กสีขาวสั่นไหวเบาดุจขนนก คล้ายกับเหยียบย่างอยู่บนก้อนเมฆ
………………………………
* พลังแห่งชีวิตนี้ ในต้นฉบับคือ 心灵鸡汤 ซึ่งแปลว่า chicken soup for the soul เป็นหนังสือภาษาอังกฤษแนวสร้างแรงบันดาลใจ และแปลไทยชื่อเรื่องว่า “พลังแห่งชีวิต” เราเลยแปลคำนี้ว่าพลังแห่งชีวิตตามค่ะ ความจริงอยากแปลเป็นซุปไก่สำหรับจิตวิญญาณมากกว่าอะ ทำไมชื่อหนังสือไทยมันไม่มีเอกลักษณ์เอาซะเลยเนี่ย
ตอนที่ 8 – เงา