บทที่ 670 มีลูกสาว
โจวข่ายวางสายเสร็จก็มาหาเวิงเหม่ยเจี่ย
เขากับเวิงเหม่ยเจี่ยเป็นว่าที่สามีภรรยาที่แท้จริง พวกเขาหมั้นกันไว้นานแล้ว แจ้งเรื่องแต่งงานไปนานแล้วด้วย แต่บรรดาพี่เขยล้วนได้แต่งงานติด ๆ กัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้แต่งงานกันไปนานแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทั้งสองก็ยังไม่ได้อยู่ก่อนแต่ง
โจวข่ายก็อยากกอดภรรยานอน ส่วนเวิงเหม่ยเจี่ยก็ตุ๋นซุปมาให้เขาบ่อย ๆ
มีใครไม่รู้บ้างว่ามีทหารหญิงบางคนในคณะสันทนาการมายุ่งกับโจวข่ายไม่เลิกราต่อให้รู้ว่าเขาจะมีคู่หมั้นแล้ว แต่ดีที่โจวข่ายไม่ใช่คนหลายใจ
ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องยึดมั่นไปทั้งชีวิต ไม่เหลือโอกาสให้คนอื่นแน่นอน
แต่ถึงเป็นอย่างนั้น เวิงเหม่ยเจี่ยก็ยัง…..อยากแต่งงานแทบคลั่ง
แน่นอนว่าหล่อนแค่ไม่ได้พูด แต่ในใจหวังว่าจะได้แต่งงานกับโจวข่ายและได้เป็นสามีภรรยาที่แท้จริงในเร็ววัน ไม่ใช่แค่ว่าที่สามีภรรยา
ตอนโจวข่ายมานั้นเวิงเหม่ยเจี่ยเพิ่งทำงานเสร็จ ตอนนี้หล่อนได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าพยาบาลแล้ว และยังเป็นหัวหน้าพยาบาลที่อายุน้อยที่สุด แต่ก็ไม่มีใครกังขาในความสามารถของหล่อน
“ทำไมมีเวลามาล่ะคะ?” เวิงเหม่ยเจี่ยมองเขาแล้วเอ่ย
“ฝั่งผมก็เพิ่งวุ่นวายเสร็จ” โจวข่ายกล่าว “ผมคิดจะกลับไปก่อนกำหนด คุณคิดว่ายังไงครับ?”
“ก่อนแค่ไหนคะ?” เวิงเหม่ยเจี่ยถาม
ตอนแรกพวกเขาคิดจะกลับไปช่วงวันที่ 20 เดือนธันวาคม แล้วแต่งงานวันที่ 25 ถึงเวลาจะดูกระชั้นชิดไปหน่อยแต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียก็เป็นช่วงข้ามปี ซึ่งค่อนข้างยุ่ง
“คิดว่าจะกลับไปตั้งแต่วันที่ 15 น่ะ” โจวข่ายบอก
เวิงเหม่ยเจี่ยก็อยากกลับเร็วเหมือนกัน แต่ต้องดูการจัดการโดยรวมก่อน “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน ถ้าได้ฉันจะพยายามทำให้ทันนะคะ”
โจวข่ายรู้สึกพอใจ และเปลี่ยนเรื่องไปพูดเรื่องที่โจวอู่นีลูกพี่ลูกน้องของเขาแต่งงานแล้ว ในเวลาไม่ถึงเดือนก็จบกระบวนการตั้งแต่รู้จักยันแต่งงาน
เวิงเหม่ยเจี่ยได้ยินน้ำเสียงอิจฉาของเขา สายตาก็เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม “แต่งงานแล้วเราจะไปอยู่ไหนเหรอคะ?”
“ทางรัฐมีหอพักให้ผม สองห้องนอนหนึ่งห้องโถง ผมไปดูมาแล้ว คุณว่างเมื่อไหร่ผมจะพาไปดูนะ” โจวข่ายเอ่ย
ช่วงนี้เวิงเหม่ยเจี่ยว่าง งานที่เหลือปล่อยให้พยาบาลคนอื่นทำก็พอ หล่อนจึงไปกับโจวข่ายด้วย
หอพักเป็นแบบสองห้องนอนหนึ่งห้องโถง ไม่ถือว่ากว้างขวางมาก แค่ไม่กี่สิบตารางเมตรเท่านั้น แต่ถ้าเป็นสามีภรรยาหรือครอบครัวสามคนอยู่นั้นไม่มีปัญหา
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นทำอะไรในห้องบ้าง ตอนออกมาริมฝีปากของเวิงเหม่ยเจี่ยถึงได้ดูแดงนิดหน่อย
ส่วนโจวข่ายมีท่าทางสำราญสดชื่นกับลมวสันต์ จูงมือคู่หมั้นของเขาเดินลงบันไดมา
มาพูดถึงฝั่งปักกิ่งกันบ้าง
ช่วงนี้คุณแม่เวิงกำลังพลิกเปิดปฏิทินกับคุณพ่อเวิง เพราะลูกสาวโทรมาบอกว่าอาจจะกลับมาก่อนกำหนด ถ้าอย่างนั้นวันแต่งงานที่ตั้งไว้ว่าเป็นวันที่ 25 ก็ต้องเปลี่ยนใช่ไหม?
ก่อนหน้านั้นมีวันที่ 21 ด้วย เป็นวันดีที่ไม่เลวเหมือนกัน
โจวซื่อนีกินแอปเปิ้ลพลางดูอยู่ข้าง ๆ
หล่อนและเวิงกั๋วต้งอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการ แต่ช่วงกลางวันต้องมาที่ร้านเสื้อผ้าเพื่อช่วยงานที่นี่บ้างจะได้ไม่เบื่อ
ช่วงนี้ใกล้เดือนกันยายนแล้ว หล่อนเองก็ท้องได้แปดเดือนกว่า ลองนับดูก็เหลืออีกแค่เดือนเดียว
ถึงโจวซื่อนีจะกินเยอะแต่ตัวไม่อ้วนขึ้นมาก ทว่าท้องหล่อนนั้นไม่เล็กเลย
ตอนแรกคุณแม่เวิงตื่นเต้นดีใจมาก นึกว่าได้ลูกแฝด แต่พอไปตรวจที่โรงพยาบาลกลับมีแค่คนเดียว และยังเป็นลูกสาว
บ้านเวิงไม่ได้เห็นผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง ถึงแม้ตอนนี้มีลูกได้แค่คนเดียวก็ไม่เป็นไร จะได้ลูกชายหรือลูกสาวก็มีค่าเท่ากัน
คุณพ่อเวิงคุณแม่เวิงตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ตัวเวิงกั๋วต้งเองก็ชอบลูกสาวมากกว่า เพราะฉะนั้นท้องนี้ของโจวซื่อนีถือว่าสบายใจได้
“คุณแม่คะ น้องสามีจะแต่งงานแล้ว ฉันกับกั๋วต้งเอาอะไรเป็นของขวัญให้หล่อนดี” โจวซื่อนีถาม
“พวกเธอสองคนจัดการเองได้เลย แค่มีน้ำใจก็พอแล้ว” คุณแม่เวิงกล่าว
โจวซื่อนีรอเวิงกั๋วต้งกลับมาตอนกลางคืนและถามเขาเรื่องนี้ เวิงกั๋วต้งคิดไปคิดมา “ใส่ซองสัก 100 หยวนดีไหม?”
“ได้ค่ะ” โจวซื่อนีกำลังกินมะเขือเทศอยู่และพยักหน้า
เวิงกั๋วต้งลูบท้องหล่อน โจวซื่อหนียิ้มพลางมองบนใส่เขา “คุณอย่าแตะค่ะ พอคุณแตะลูกสาวคุณก็เตะฉัน”
“ลูกสาวชอบผมน่ะสิ” เวิงกั๋วต้งเอ่ยยิ้ม ๆ
โจวซื่อนีตั้งท้องจนถึงสิ้นเดือนกันยายน เมื่อใกล้ถึงวันชาติแล้วจึงจะคลอด
พอถึงสามวันก่อนวันชาติ หล่อนก็ได้คลอดลูกสาวทั้งขาวทั้งจ้ำม่ำออกมา ทารกน้อยมีน้ำหนัก 6 ชั่งนิด ๆ พอ ๆ กับตอนที่มี่มี่คลอดออกมา
ดูเค้าโครงหน้าตาสิ น่าจะเป็นเด็กหญิงหน้าตาสะสวยทีเดียว
หลินชิงเหอได้ยินข่าวตอนเช้าวันนั้น ก็รีบโทรไปบอกข่าวดีกับสะใภ้ใหญ่โจว
สะใภ้ใหญ่โจวถึงจะดีใจแต่ก็เป็นกังวลนิดหน่อย
ตอนนี้มีการจำกัดเรื่องจำนวนลูก แถบชนบทไม่ค่อยเท่าไร คนจำนวนไม่น้อยแอบไปคลอดนอกหมู่บ้านได้ แต่คนในเมืองนั้นไม่เหมือนกัน
คนในเมืองมีข้อจำกัดจากหน้าที่การงาน โดยเฉพาะคนแบบเวิงกั๋วต้งที่รับเงินเดือนจากรัฐโดยตรง มีลูกเกินจำนวนไม่ได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะได้ทำงานต่อ
หลินชิงเหอสัมผัสได้จึงพูดปลอบ “พวกเรารู้เรื่องท้องนี้ของซื่อนีนานแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ตอนไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้ทำการอัลตร้าซาวด์แล้ว หมอบอกว่าได้ลูกสาว”
ช่วงนี้ยังไม่ถึงขั้นไม่ให้โรงพยาบาลบอกเพศของเด็ก ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แจ้งเอง
“รู้นานแล้วเหรอ?” สะใภ้ใหญ่โจวได้ยินแล้วก็โล่งอก
“ใช่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มีปัญหาอะไร ฉันหาแม่บ้านให้ไปดูแลซื่อนีตอนอยู่ไฟแล้ว” หลินชิงเหอบอก
สะใภ้ใหญ่โจวดีใจมาก หลินชิงเหอคุยกับหล่อนอยู่พักหนึ่งถึงวางโทรศัพท์
โจวกุยหลายมาถึงแล้วก็นั่งลงและหัวเราะ “ป้าสะใภ้ใหญ่ผมกลัวว่าพี่ซื่อนีมีลูกสาวแล้วจะโดนพี่เขยรังเกียจเหรอครับ?”
“ป้าเขากังวลเรื่องนี้อยู่น่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม
“คิดมากเกินไปแล้ว ผมเห็นพี่เขาออกจะชอบลูกสาว มาทีไรอุ้มน้องสาวผมไม่ยอมปล่อยมือเลย” โจวกุยหลายกล่าว
ตอนที่คุยกันอยู่นั้น โจวชิงไป๋กำลังอุ้มสาวน้อยมี่มี่กลับมาจากข้างนอก
สาวน้อยมี่มี่ต้องไปเยี่ยมน้องสาวตัวน้อยทุกวัน ดูกระตือรือร้นแทบทนไม่ไหว คนเป็นพ่ออย่างโจวชิงไป๋ก็ตามใจ พาไปหาทุกวัน
“หม่าม้า หม่าม้ามีน้องสาวให้หนูอีกสักคนได้ไหมคะ?” สาวน้อยมี่มี่ผละจากอ้อมอกพ่อแล้ววิ่งมากอดขาแม่เธอ
โจวชิงไป๋หัวเราะ ส่วนพี่สามอย่างโจวกุยหลายก็หัวเราะจนแทบทนไม่ไหว
“พี่สามหัวเราะอะไร ไม่ได้เหรอ หนูชอบน้องสาวคนนั้นมาก รอน้องโตหนูจะได้มัดผมให้น้อง” สาวน้อยมี่มี่ผู้มีมาดความเป็นพี่สูงมากเอ่ย
หลินชิงเหอ “……”
ภาพนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
ตอนสะใภ้สามโจวคลอดลูกคนที่สาม เจ้าสามอย่างโจวกุยหลายก็กอดขาเธอขอให้เธอมีน้องสาวให้เขาอีกคน
ตอนนี้ถึงตามี่มี่ลูกสาวคนเล็กเป็นคนพูดแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….