เย่ซวิ่นกล่าว “ข้าเข้าใจความกังวลของพวกใต้เท้าดี ในเมื่อหวาดระแวงว่าซูเจ๋อจะทำลายเกียรติศักดิ์ของฝ่าบาท ทั้งยังกังวลว่าเขาจะกลับมากุมอำนาจในราชสำนัก ทำให้ฝ่าบาทกลายเป็นหุ่นเชิดที่คล้อยตามเขา ในเมื่อเขาอยู่ก็เป็นตัวก่อเกิดปัญหา ไยไม่ให้เขาหายตัวไปเสีย จะได้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างไรเล่า? ยามนี้ราชสำนักในต้าฉู่มั่นคงแล้ว ถึงแม้จะไม่มีซูเจ๋อ ข้าเชื่อว่าด้วยบารมีและพระปรีชาสามารถของฝ่าบาท บวกกับมีพวกใต้เท้าที่เก่งกาจคอยเกื้อหนุน ต้องทำให้ต้าฉู่รุ่งโรจน์กว่าเดิมแน่”
ใต้เท้าซวีไม่พูดเป็นเวลานาน เขากำลังใคร่ครวญการได้เสียในสิ่งเรื่องที่เย่ซวิ่นกล่าว และอดคาดคะเนสาเหตุที่เย่ซวิ่นกระทำเช่นนี้ไม่ได้
ซูเจ๋อเป็นหมาป่าชั้นดี เขาสามารถวางแผนให้จักรพรรดินีก้าวมาถึงวันนี้ได้ทีละขั้นตอน การวางอุบายของเขาเลิศล้ำกว่าผู้ใด คิดอยากจะทำร้ายเขา จึงเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าเย่ซวิ่นกำลังคิดเช่นไรอยู่? เขาอยากยุแยงให้ขุนนางต้าฉู่เกิดความขัดแย้ง จนนำมาซึ่งความแตกแยกในที่สุดหรือไม่?
ทว่าหากทำเช่นนี้ได้จริง ทุกแห่งหนก็จะปราศจากผู้ที่มีนามว่าซูเจ๋อ จะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง จักรพรรดินีก็ไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ไร้ทำนองคลองธรรมเพราะเขาอีก เหล่าขุนนางก็ไม่ต้องคอยวิตกว่าซูเจ๋อจะแทรกแซงราชการแล้วกุมอำนาจอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงมีผลประโยชน์โดยแท้
ใต้เท้าซวีไม่อาจตัดสินใจได้ในเวลาอันสั้น เขากล่าวว่า “ราชครูคือขุนนางผู้มีผลงาน องค์ชายหกรับสั่งเกินงามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่หรือ” เย่ซวิ่นคลี่ยิ้มช้าๆ “ข้านึกว่าเขาเป็นเสี้ยนหนามของบรรดาขุนนางสักอีก ข้าจึงประสงค์อยากช่วยใต้เท้าขจัดเขาทิ้ง”
“องค์ชายหกอยากยุให้ภายในต้าฉู่วุ่นวายหรือพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงใต้เท้าซวีเย็นเยียบ
เย่ซวิ่นกะพริบตาปริบๆ กล่าวอย่างบริสุทธิ์ว่า “หากภายในวุ่นวายจริง ไม่ใช่ข้าก็ต้องลำบากไปด้วยหรือ? ต้องเรียกว่ายามนี้เป้าหมายของข้ากับใต้เท้าตรงกันเสียจะดีกว่า หัวใจฝ่าบาทมีแต่ซูเจ๋อ ไม่แยแสข้าเลย ข้าอยู่วังหลังคนเดียว รู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน หากซูเจ๋อหายไป หัวใจของพระองค์ก็จะกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
เย่ซวิ่นโน้มตัวเข้าใกล้โต๊ะ ก่อนจะวางขวดเล็กๆไว้บนมุมโต๊ะ ใต้เท้าซวีต้องตกตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง “อันนี้คือ……”
เย่ซวิ่นกล่าว “อันนี้คือยาที่เย่เหลียงคิดค้นสูตรเอง มันไร้รสไร้กลิ่น จึงสังเกตได้ยาก หลังจากทานเข้าไปจะสูญเสียพละกำลังทั้งหมดแล้วเสียชีวิตในที่สุด”
ใต้เท้าซวีหน้าเปลี่ยนสี “พระองค์ถึงกลับอยากวางยาให้เขาตาย……”
เย่ซวิ่นลุกขึ้น หัวเราะกล่าวว่า “มิได้ มิได้ ข้าแค่ขจัดความกลัดกลุ้มของใต้เท้าให้หมดสิ้นตลอดกาล ลำบากครั้งเดียวก็สบายแล้ว ข้าวางยาไว้ตรงนี้ ไม่ฝืนใจใต้เท้าเด็ดขาด จะตัดสินใจเยี่ยงไรก็สุดแล้วแต่ใต้เท้าเลย”
เมื่อออกมาจากสำนักหมอหลวง เย่ซวิ่นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มอย่างหมดจด กล่าวว่า “สดชื่นเหลือเกิน”
ช่วงนี้ข้ารับใช้ของเขาเฝ้าสังเกตการณ์สำนักหลวงหมอมาโดยตลอด รู้ว่าใต้เท้าซวีจะมาเปลี่ยนยาที่นี่ ซึ่งใต้เท้าซวีมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง ไม่ใช่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายถึงได้มาที่นี่แต่อย่างใด
วันนั้นเย่ซวิ่นลั่นวาจาในที่แห่งนี้ไม่หมดประโยค กลายเป็นข้อสงสัยของใต้เท้าซวี เขารอให้ใต้เท้าซวีมาที่สำนักหมอหลวงอีกครั้ง แล้วค่อยบอกวิธีที่ง่ายกว่าอันนี้
ใต้เท้าซวีเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีและเที่ยงตรง ไม่มีทางปล่อยให้จักรพรรดินีเดินทางผิดแผกเด็ดขาด
เขาต้องขัดขวางเรื่องนี้ให้ทันท่วงที
ปล่อยให้เรื่องที่ขัดต่อ ความถูกต้อง ความยุติธรรม ศีลธรรมและเกียรติยศดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ จักรพรรดินีของต้าฉู่จำต้องมีภูมิฐานให้สมกับตำแหน่ง ควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ปวงชน ซึ่งไม่ใช่การเห็นแก่ความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ ส่งผลกระทบต่อศีลธรรมประเพณี จนทำให้ปวงชนเอือมระอา
เขาในฐานะหัวหน้าตรวจการแผ่นดินตักเตือนจักรพรรดินีไม่เป็นผล งั้นก็ต้องคิดหาหนทางอื่น
หลังจากเย่ซวิ่นเดินออกจากสำนักหมอหลวง ต่อมาใต้เท้าซวีก็ออกไป ทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่าบนมุมโต๊ะในห้องตรวจ
พลบค่ำนี้ เปลวไฟที่ก่อจากฟืนกำลังลุกโชนขึ้นสู่ฟากฟ้า
เฉินเสียนกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอพลันถอนพระภูษาลายมังกร แล้วเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงบางเบา จากนั้นก็ร่วมทานข้าวกับซูเซี่ยนด้วยกัน ต่อด้วยสอนอักษรให้เขา
ภายในห้องบรรทมยังมีฎีกาที่ยังไม่ได้ตัดสินมากมาย ซูเซี่ยนอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนชุดนอนใยไหมบางนุ่ม ภายใต้ชุดนั้นผิวเนียมนุ่มยิ่ง
เขากล่าวว่า “ไม่ใช่ยังมีราชกิจต้องทำหรอกหรือ ท่านแม่ไม่ต้องรอกล่อมข้านอนหรอก”
เฉินเสียนยกมุมปากขึ้นมายิ้มเบาๆ กล่าวว่า “งั้นให้เอ้อร์เหนียงมากล่อมเจ้านอนนะ?”
“ไม่ต้องกล่อมลูกนอนหรอก ข้ายังไม่นอน”
ระหว่างที่เฉินเสียนนั่งอ่านฎีกาอยู่ ซูเซี่ยนก็เดินเท้าเปล่าไปมาบนพรมปูพื้น ฎีกาที่กองบนโต๊ะราชการล้วนเป็นข้อกล่าวหาซูเจ๋อทั้งหมด ซูเซี่ยนยืนด้านข้างโต๊ะ ก่อนจะนำมาอุ้มไว้หลายเล่ม ถามว่า “ท่านแม่จะอ่านพวกนี้หรือไม่?”
“ไม่อ่าน”
ซูเซี่ยนจึงถือไปกลับตรงประตู ซึ่งตรงนั้นแม่นมซุยนำถังเผามาตั้งรอไว้แล้ว เขาจึงโยนฎีกาพวกนั้นลงไปเผาในถัง
พอเผาฎีกาที่ฟ้องร้องซูเจ๋อทั้งหมดเสร็จ ซูเซี่ยนก็เริ่มล้า จึงกลับไปนอนในห้อง
เฉินเสียนเงยหน้ามองประตูห้องบรรทม เปลวไฟในถังเผายังคงส่องแสงระยิบระยับ ทำให้ความมืดมนในยามราตรีด้านนอกพร่าเลือนยิ่งนัก เธอไม่ได้ออกจากวังหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่ายามนี้ซูเจ๋อทำอะไรอยู่ เขาเข้านอนแล้วหรือกำลังนั่งอ่านตำราใต้แสงเทียน
กำลังเหม่อลอย อวี้เยี่ยนก็เดินเข้าห้องบรรทมด้วยฝีเท้าเบาๆ โดยสองมือประสานกันตรงหน้าท้อง เมื่อมาถึงด้านหน้าเฉินเสียน นางก็ย่อตัวคำนับกล่าวว่า “ฝ่าบาท คนจากพระตำหนักฉีเล่อมาเพคะ” พระตำหนักฉีเล่อส่งคนมาในเวลานี้ เดิมทีอวี้เยี่ยนไม่อยากรายงานเฉินเสียน ด้วยเกรงว่าองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงจะมีเจตนาไม่ดี
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “บอกว่าองค์ชายหกอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ เพลานี้ก็ดึกมาแล้ว ฝ่าบาทให้เข้าเฝ้าพรุ่งนี้เถอะ”
เฉินเสียนกล่าวเสียงเรียบเฉยอย่างไร้อรรถรส “พรุ่งนี้ข้าก็ไม่พบ”
อวี้เยี่ยนลังเล สุดท้ายก็กล่าวออกมาว่า “คนของพระตำหนักฉีเล่อบอกว่ามีธุระด่วนจะหารือ โดยกล่าวว่าองค์ชายหกอยากหารือกับฝ่าบาทเรื่องที่ต้าฉู่ติดค้างสองเมืองกับเย่เหลียง”
เรื่องที่เชื่อมโยงถึงชาติบ้านเมือง อวี้เยี่ยนไม่กล้าปิดบัง อีกทั้งยังเกี่ยวพันถึงสองเมือง เหมือนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
เฉินเสียนหยุด ก่อนจะกล่าวว่า “เคลื่อนขบวน”
อวี้เยี่ยนกล่าวอย่างร้อนรน “ฝ่าบาทดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยรับสั่งให้เขามาเข้าเฝ้าในพระตำหนักไท่เหอดีกว่าเพคะ” อวี้เยี่ยนกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
เฉินเสียนกล่าว “พรุ่งนี้มีราชกิจของพรุ่งนี้ เรียกเขามาที่พระตำหนักไท่เหอเถอะ ไม่กลัวว่าจะทำให้ที่นี่แปดเปื้อนหรอก” เธอมองอวี้เยี่ยนอย่างเรียบเฉย “ที่นี่เป็นวังหลังของต้าฉู่ นางกำนัลก็เป็นนางกำนัลของต้าฉู่ เจ้ายังคิดว่าเขาจะวางอุบายกับข้าได้หรือ?”
อวี้เยี่ยนไตร่ตรองดูแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล รีบกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่เพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เพคะ”
จากนั้นเฉินเสียนก็ถือโอกาสที่อยู่ในชั่วฟ้ามืด นำนางกำนัลไปยังพระตำหนักฉีเล่อ
พอมาถึงพระตำหนักฉีเล่อ พลางเห็นองครักษ์เฝ้าประจำจุดต่างๆ โดยมีฉินหรูเหลียงเป็นหัวหน้า
เฉินเสียนสาวเท้ามายังทางเดินตรงยาวเหยียด และแล้วก็เห็นร่างสูงโปร่งของฉินหรูเหลียงกำลังยืนอยู่ที่ทางเดิน เปลวไฟสองข้างทางกำลังพริ้วไหว เงาต้นไม้กำลังทำท่าแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่บนพื้น
เห็นเฉินเสียนเข้ามา เขาก็ยกมือทำความเคารพ
เฉินเสียนยืนอยู่ด้านข้างเขาชั่วครู่ กระซิบกล่าวว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว ไยไม่กลับไปพักผ่อนอีก?”
ฉินหรูเหลียงตอบเธอ “คืนนี้เป็นเวรของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา บุรุษเบื้องหน้าหล่อเหลา มุมานะ หนักแน่น เป็นที่พึ่งพิงได้ คล้ายกับว่าต่อให้มีเรื่องใหญ่โตเท่าฟ้า เธอก็มีเขาคอยค้ำจุน ทำให้เฉินเสียนรู้สึกไม่ดีเหลือเกิน