เมื่อเหล่าขุนนางต่างได้ลงมือทำตามขั้นตอนนี้แล้ว เฉินเสียนคิดว่าเธอก็ควรกล้าที่จะเดินไปข้างหน้า แม้เท้าที่จะต้องก้าวออกไปนั้น จะเต็มไปด้วยขวากหนามทิ่มแทง เธอก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่น
เหล่าขุนนางยังคงอยู่ในภวังค์ขณะหนึ่ง
ฉินหรูเหลียงเงยหน้ามองขึ้นไปบนบัลลังก์มังกรที่มีผู้หญิงนั่งอยู่ ใบหน้าเธอของเธอไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยน เต็มไปด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
ดูเหมือนว่าเรื่องราวมาถึงตอนนี้แล้ว เรื่องขององค์ชายใหญ่ก็ควรได้รับการเปิดเผยโดยเขาเสียที
หลังจากนั้น สายสัมพันธ์ที่ทุกคนคิดว่าเขาและเฉินเสียนมีต่อกันก็จะหายไป
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงสิ่งที่ทุกคนคิด ฉินหรูเหลียงรู้ดีว่า เขาและเฉินเสียน ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ต่อกันมานานแล้ว และเรื่องนี้ก็คงต้องถูกเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว
ฉินหรูเหลียงพูดกับเฉินเสียนก่อน “ฝ่าบาทได้โปรดขอให้หม่อมฉันได้พูดความจริง”
เฉินเสียนกล่าว “เจ้าบอกพวกเขาแทนข้า”
และจังหวะนั้นบรรดาเหล่าขุนนางต่างก็จับจ้องไปที่ฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าและฝ่าบาท ถึงแม้จะเคยเป็นสามีภรรยากันในตอนแรก แต่ก็ไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลย งานอภิเษกที่จัดขึ้นในตอนนั้น เพียงเพราะเป็นแผนการและเพื่อความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิเท่านั้น เพราะฉะนั้นองค์ชายใหญ่จึงไม่ใช่ลูกของข้า”
บรรดาเหล่าขุนนางต่างอ้าปากค้าง
ไม่ใช่ฉินหรูเหลียง แล้วจะเป็นใครกัน?
คำพูดของฉินหรูเหลียงชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับเฉินเสียนเท่านั้น แต่สำหรับใครคือบิดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่นั้น เขาไม่ได้กล่าว
เรื่องนี้ ควรจะเป็นเฉินเสียนพูดออกมาด้วยตัวเองน่าจะเหมาะสมที่สุด
ด้วยวิธีนี้ ฉินหรูเหลียงเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ มีตำแหน่งระดับสูง และไม่เคยมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับองค์จักรพรรดิมาก่อน ดังนั้นชื่อของเขาจึงถูกตัดออกจากตัวเลือกผู้ที่จะแต่งตั้งเข้ามาในวังหลังโดยธรรมชาติ
เฉินเสียนก็ไม่ปล่อยให้เรื่องขององค์ชายใหญ่เป็นที่สงสัยอีกต่อไป แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเหล่าขุนนางต่างกำลังสงสัยว่าใครคือบิดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่กันแน่
เฉินเสียนกล่าวอย่างเฉยเมย “บรรดาอ้ายชิงทั้งหลายยังมีผู้ที่เหมาะสมอีกไหม?”
ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้เลยเถิดไปกว่านี้ได้อีก ดังนั้นขุนนางอีกคนหนึ่งก็ยืนขึ้นอย่างเหน็ดเหนื่อยและกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว “กราบบังคมทูลฝ่าบาท ใต้เท้าเฮ่ออาลักษณ์ฝ่ายพิธีการ ได้ขออภิเษกกับฝ่าบาทเมื่อครั้งฝ่าบาทตกอยู่ในความทุกข์ยากตอนเป็นองค์หญิง หม่อมฉันคิดว่าใตเท้าเฮ่อเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ…”
ก่อนที่จะรอให้เฉินเสียนได้เอ่ยคำใด ๆ เฮ่อโยวก็เริ่มพูดว่า “ใต้เท้ามู่อย่าจับคู่มั่วอย่างนี้สิ ท่านก็บอกแล้วว่าตอนนั้นฝ่าบาทตกอยู่ในความทุกข์ยาก ที่ข้าริเริ่มขออภิเษกก็เพียงเพื่อช่วยฝ่าบาทให้รอดพ้นจากการถูกจองจำเป็นหนทางสุดท้าย นอกจากนี้ ฝ่าบาทกับข้าก็ยังไม่ทันได้กราบไหว้เทวดาฟ้าดิน และยังไม่สาบานต่อหน้าฟ้าดินด้วยกันเลย หากจะต้องเข้าในอยู่วังหลังท่านก็ไปสิ ข้าไม่ไป”
บรรดาเหล่าขุนนาง “…”
ทั้งสองคนต่างก็นับว่าเป็นคนรักเก่าขององค์จักรพรรดินี แต่กลับพูดตัดความสัมพันธ์สะอาดสะอ้าน
เฉินเสียนกล่าว “อ้ายชิงทั้งหลายยังมีผู้ที่เหมาะสมอีกไหม?”
บรรดาขึนนางต่างนิ่งเงียบ
“แต่ข้ามี” เฉินเสียนกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำทุกคำพูด “ข้าโปรดที่จะแต่งตั้งให้ซูเจ๋อเข้ามาที่วังหลัง เป็นอย่างไร?”
ทันทีที่เสียงนั้นหายไป ขุนนางทุกคนก็คุกเข่าลงที่ท้องพระโรงพร้อมถือชุดเครื่องแบบขุนนาง
“ฝ่าบาท ไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ! ซูเจ๋อเป็นราชครู ฝ่าบาทจะฝ่าฝืนต่อเรื่องศีลธรรมจริยธรรมและมรรคห้าของมนุษย์ไม่ได้ และฝ่าบาทจะมีความคิดเช่นนั้นต่อเขาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนขมวดคิ้วและพูดอีกครั้งหนึ่ง “แต่ข้ารักเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น”
บรรดาขุนนางต่างก้มหน้าลงกับพื้นและพูดอย่างเฉียบขาดว่า “นี่เป็นการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง! ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณา!”
เป็นเวลานานแล้วที่เฉินเสียนได้กักขังตัวเอง แต่วันนี้เธอรู้สึกว่าเธอได้ปลดปล่อยตัวเองลงจากบ่วงที่คอยรัดตัวเธอ และสามารถทำให้ธอสูดหายใจลึก ๆ ได้อีกครั้ง
เฉินเสียนกล่าวอย่างไม่สนใจ “พวกท่านบอกว่านี่คือการฝ่าฝืนกฎอย่างร้ายแรง งั้นก็ปล่อยให้เป็นการฝ่าฝืนเถอะ เป็นองค์จักรพรรดิ ไม่ว่าเรื่องร้ายหรือดี ก็ไม่สามารถสรุปได้เพียงแค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียว”
ภายในพระตำหนักฉีเล่อ องค์ชายหกใช้ชีวิตกินอยู่อย่างสุขสบาย มีคนดูแลรับใช้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องภายในราชสำนัก แต่ตอนนี้เรื่องนี้ทำให้ถูกเป็นที่พูดถึงไปทั่ว และปกปิดเขาไม่ได้
เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้เบาะนุ่มแล้วคายเปลือกองุ่นออกมาด้วยความเอร็ดอร่อย “เรื่องในราชสำนักของต้าฉู่ ต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะสงบลงได้”
เขาเงยศีรษะขึ้นอย่างเกียจคร้าน มุมเสื้อคลุมอันหรูหราของเขาตกลงมาจากขอบเก้าอี้ และกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่คิดว่าพระองค์จะกล้าพอและกล้าพูดคำที่น่าตกใจเช่นนี้ ซูเจ๋อ เจ้ามันสมควรแล้ว”
มีเรื่องความสัมพันธ์ของเฉินเสียนและซูเจ๋อที่ดูคลุมเครือและซับซ้อนมาโดยตลอด โดยเริ่มจากบรรดาเหล่าขุนนางในราชสำนักต่างพากันพูดจาเกลี้ยกล่อมให้เฉินเสียนทรงโปรดแต่งตั้งให้มีการเลือกคนเข้าไปยังวังหลัง หลังจากนั้นก็มีสารพัดข่าวลือต่าง ๆ ก็แพร่กระจายไปทั่ว
ในที่สุดก็เป็นองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงที่ก้าวออกมาเพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา
ภายในช่วงเวลานี้สั้น ๆ เรื่องราวความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองในอดีต ถูกพูดถึงอย่างทั่วสะพัด
เหล่าทหารและขุนนางทั้งหลายเพิ่งจะตระหนักดีว่าความจริงจังของเรื่องนี้เกินความคาดหมายมาก
แท้ที่จริงแล้ว องค์จักรพรรดินีและราชครูมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแน่นแฟ้นต่อกันมานานแล้ว และก่อนที่ทั้งสองจะไปออกศึกที่เย่เหลียงเสียอีก ทั้งสองผ่านความเป็นความตายมาด้วย จึงไม่สามารถแยกออกจากกันได้ นี่คือเรื่องที่คนที่ราชนิเวศน์เย่เหลียงต่างก็รู้กันดี
ตอนนั้นซูเจ๋อบาดเจ็บสาหัส เฉินเสียนเฝ้าคอยดูแลอย่างไม่ห่าง ก็เหมือนกับครั้งนี้ที่ซูเจ๋อบาดเจ็บ พวกเราสองคนรักกัน และไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บไว้เป็นความลับต่อเย่เหลียง
และบิดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่คือใครกัน? ตอนนี้หากนำใบหน้ารูปลักษณ์ขององค์ชายใหญ่มาเปรียบเทียบแล้วละก็ ผลลัพธ์ก็ชัดเจน
บรรดาขุนนางต่างเหมือนกับถูกราดศีรษะด้วยน้ำเย็น ไม่เพียงแค่ไม่สามารถเย็นลงได้เท่านั้น แต่กลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าถูกเผา
เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกยอมรับจากคนภายนอก
ตอนนี้นับประสาอะไรกับที่เฉินเสียนจะโปรดให้ซูเจ๋อเข้ามาอยู่วังหลัง เพียงแค่นำชื่อของทั้งสองคนมารวมเข้าด้วยกันก็นับว่าเป็นความผิดมหันต์แล้ว
ครั้งนี้ภายในราชสำนัก คงจะไม่สงบสุขเหมือนเดิมได้อีกต่อไป เหล่าขุนนางมีทัศนคติที่มั่นคงและคำพูดที่ดุดัน พวกเขาไม่มีข้อแม้ใด ๆ ให้เฉินเสียนเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังอยากจะด่าเธอให้ตื่นจากเรื่องนี้
เธอสัมผัสได้ว่าบรรดาขุนนางเหล่านี้ หรือจะบอกว่าเธอสัมผัสถึงความมีเมตตากรุณาและศีลธรรมขีดสุดที่กำหนดโดยขุนนางเหล่านี้
เมื่อก่อนพวกเขาคิดแต่เพียงว่าการใกล้ชิดกันที่มากเกินไประหว่างองค์จักรพรรดินีและราชครูขัดกับธรรมเนียมและจารีตขององค์จักรพรรดิ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่การใกล้ชิดมากเกินไปเท่านั้น พวกเขายังมีความสัมพันธ์ลับต่อกัน และยังมีลูกนอกรีตที่คนภายนอกไม่อาจรับได้อีก
น่าเสียดายที่เหล่าขุนนางไม่อาจทำให้เธอตื่นจากเรื่องนี้ได้ เพราะเธอรู้ตัวดี ว่าตัวเธอเองกำลังทำอะไร
วันนี้จะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว เธอรู้ดี
คำพูดที่ทนฟังไม่ได้ของเหล่าขุนนาง เฉินเสียนก็รับฟังทั้งหมดแล้ว เธอไม่ได้มีปากเสียงกับพวกเขา และไม่ได้โต้เถียงใด ๆ แต่กล่าวเพียง “ข้ามีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่อยากทำตามความประสงค์ของข้า เรื่องอื่นไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าสามารถรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะของพวกท่านได้”
“ไม่ได้อย่างเด็ดขาด! หม่อมฉันจะไม่ยอมรับโดดเด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตามพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา บรรดาขุนนางทุกคนก็ตอบรับ
“ตั้งแต่สมัยโบราณ อาจารย์เป็นผู้อาวุโสสูงสุด ไม่ต่างจากบิดาและพี่น้อง แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิกำลังจะเสี่ยงต่อความไม่พอใจของประชาชนราษฎร โดยไม่สนใจหลักการจารีตประเพณีและจริยธรรม เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวเอง! การกระทำที่เสื่อมทรามเช่นนี้ ประชาชนภายนอกจะคิดอย่างไร!”
“และซูเจ๋อรู้ทั้งรู้ว่าอาจารย์และลูกศิษย์จะต้องไม่ละเมิดศีลธรรม กษัตริย์และขุนนางจะต้องไม่ล่วงเกิน คนหน้าซื่อใจคดเช่นนี้ ไร้ประโยชน์และไม่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชน!”
เฉินเสียนกล่าว “พวกท่านด่าข้าพอหรือยัง ข้าต้องการแต่งตั้งเขาเข้ามาอยู่ในวังหลัง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา”
“ความเป็นศิษย์และอาจารย์นั้นสำคัญและยิ่งใหญ่ หากเพียงแค่องค์จักรพรรดิมีใจรักเขาข้างเดียว เขาก็คงไม่ก้าวล่วงเข้ามามีความสัมพันธ์เกินเลยนี้ได้ ! แต่เขากลับละเมิดและทำผิด อย่างนี้ยังจะเหมาะสมที่จะเป็นราชครูอีกหรือ?!”