โม่โยวเองก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าลู่จิ้นยวนจะเก่งแบบนี้
สุดท้าย กลุ่มของพวกเธอก็ได้รับชัยชนะ หลังรับรางวัลทั้งสามก็พากันกลับโรงแรม
พอเดินเข้าห้องมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายจากเพื่อนสนิทที่ชื่อเย่ซือเยวี่ย เธอรับสายโดยไม่ได้คิดอะไร ทันใดนั้นก็มีดังขึ้นมาตามสาย
“โม่โยว เธออยู่ไหน?”
“ซือเยวี่ย มีอะไรเหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ว่าเห็นโม่เทียนหวี๋โทรฯมาถามถึงเธอกลับฉันน่ะ”
เทียนหวี๋?
โม่โยวนิ่งไปเล็กน้อย เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย ก่อนเดินทางไปต่างประเทศเทียนหวี๋เคยบอกเธอไว้แล้วว่าเขาจะรีบกลับมา ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะมั้ง
เสียงในสายดังออกมาไม่เบานัก ทำให้สองพ่อลูกที่อยู่ข้างๆได้ยินไปด้วย
ลู่จิ้นยวนช้อนตามองเธอด้วยแววตาอันตราย หญิงสาวที่โทรฯมามีความสัมพันธ์กับโม่โยวยังไง เขาย่อมสืบมาแล้ว
ไม่คิดว่าคนแซ่โม่จะติดต่อเธอผ่านผู้หญิงคนนั้นได้ คิดไม่ถึงจริงๆ
หลังจากวางสาย โม่โยวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้เธอรีบหันไปทางลู่จิ้นยวน ในใจเกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะอึ้งไป ตามมาด้วยความรู้สึกโมโหขึ้นในใจ
ถึงจะมีลูกแล้ว แต่ตอนนี้เธอกับลู่จิ้นยวนก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เธอจะมากังวลทำไมกัน
คิดได้แบบนี้ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา : “ท่านประธานลู่ ดูท่าแล้วพรุ่งนี้ฉันคงต้องบินกลับก่อน ถ้าคุณยังทำธุระไม่เสร็จ ฉันจะของบินกลับก่อนเลยนะคะ”
เขากลับยิ้มและพูดขึ้น: “ไม่เป็นไร กลับพร้อมกันพรุ่งนี้เลย”
เห็นเขาไม่ได้ปฏิเสธ เธอก็รู้สึกโล่งใจ
ลู่อันหรานกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา กำลังสนุกอยู่เลยต้องมาเปลี่ยนแผนเพราะคนที่ชื่อโม่เทียนหวี๋ คนอะไรช่างน่ารังเกลียดจริง
โม่โยวเปิดรายชื่อในโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะพูดกับตัวเองด้วยความสงสัย: “เขาโทรฯหาฉันได้นี่นา ทำไมถึงหาฉันไม่เจอล่ะ…….”
ดวงตาของลู่จิ้นยวนฉายแววสว่างวาบขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดขัดขึ้น: “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้เราก็กลับกันแล้วด้วย มีอะไรกลับไปแล้วค่อยไปคุยกันแล้วกัน คุยทางโทรศัพท์อาจไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่”
ถ้าเธอโทรฯตอนนี้ก็จะถูกจับไต๋ได้ทันทีซิ เดี๋ยวเขาต้องหาจังหวะยกเลิกบล็อกเบอร์ของไอ้คนแซ่โม่อะไรนั้นก่อนละ
วันถัดมา ทั้งสามก็นั่งเครื่องบินกลับประเทศพร้อมกัน
โม่โยวติดต่อไปหาโม่เทียนหวี๋ ทั้งสองนัดเวลาเจอกันเรียบร้อย
หลังจากโม่เทียนกลับมาถึงบ้าน แม่ของเขาก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ฟ้องเขาเรื่องต่างๆนาๆ ไม่ว่าเขาจะปลอบยังไงก็ไม่ยอมหยุด
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรแม่เขาก็ยังยืนกรานต้องการให้เขาเลิกกับโม่โยวให้ได้ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนัก
สุดท้าย แม่ของเขาก็ด่าเขาชุดใหญ่ และยังข่มขู่เขาว่าถ้าไม่เลิกก็ไม่ต้องมาเป็นแม่ลูกกันอีก พูดถึงขนาดตัดขาดความเป็นแม่ลูกกันเลย
โม่เทียนหวี๋เองก็ไม่ยอมให้เรื่องเป็นแบบนั้นแน่นอน ซึ่งเขาเองก็รู้สึกปวดหัวกับเรื่องนี้ไม่น้อย
เขาคิดว่าจะปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อต่อไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเขาเองก็กลับประเทศมาแล้ว ทางที่ดีน่าจะต้องรีบพาโม่โยวไปจดทะเบียนสมรสให้เรียบร้อย และเพื่อไม่ทำให้แม่โกรธมากไปกว่านี้ เขากะจะแค่พาเธอไปจดทะเบียนสมรสแต่จะไม่จัดงานแต่ง
ถึงตอนนั้นค่อยหาทางอธิบายโม่โยวนิดหน่อย หรืออาจจะพูดปลอบเธอไปก่อนว่างานแต่งค่อยจัดทีหลัง ที่เหลือค่อยว่ากัน
รอให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ค่อยเตะผู้หญิงคนนั้นทิ้งไปก็ยังทัน
พอเขาวางแผนเสร็จ ก็โทรฯหาโม่โยว แต่กลับติดต่อเธอไม่ได้เลย เขาจึงต้องติดต่อไปทางเย่ซือเยวี่ย
ภายในร้านกาแฟ
โม่โยวเดินเข้าไปปุ๊บก็เห็นโม่เทียนหวี๋ที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างทันที เธอจึงรีบเดินเข้าไปหา
“เทียนหวี๋ ขอโทษทีนะ รถมันติดน่ะ”
โม่เทียนหวี๋ย่อมไม่โทษเธออยู่แล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลายิ้มให้เล็กน้อย : “ไม่เป็นไร ฉันเองก็เพิ่งมาถึงไม่นาน”
เขาลุกขึ้นขนาดที่กำลังพูด และเดินไปดึงเก้าอี้ออกให้เธอนั่ง ด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ ทำให้โม่โยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะห้าปีที่อยู่ด้วยกันมา เขาอาจจะดูอ่อนโยนกับเธอ แต่ก็ไม่เคยจะดูแลเธอแบบนี้ จะไม่เธอรู้สึกแปลกใจได้ยังไง
พอนั่งลง เขาก็ยื่นเมนูมาให้เธอ: “ฉันสั่งกาแฟและของหวานให้เธอแล้ว เธอดูอีกทีว่าอยากได้อะไรเพิ่มอีกมั้ย”
โม่โยวรู้สึกอึดอัดกับการการะทำของเขา ก่อนจะยิ้มเจื่อนขึ้น: “ไม่แล้วค่ะ แค่นี้ก็กินไม่หมดแล้ว”
เขาก็ไม่ได้ขัดอะไร ก่อนจะเก็บเมนูแล้วเอามือประสานกันนั่งจ้องมองมาที่เธอ: “โม่โยว ไม่เจอกันนาน ฉันคิดถึงเธอมาก”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้นนั้น ทำให้โม่โยวทำอะไรไม่ถูก เธอนึกไปถึงสิ่งที่ลู่จิ้นยวนเพิ่งพูดกับเธอตอนที่เล่นเกมส์ด้วยกันในประเทศฝรั่งเศส
พอตั้งสติได้ เธอก็ตกใจกับตัวเอง นี่เธอกำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่ รู้สึกรับตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ อยากตบหัวตัวเองสักทีให้หายฟุ้งซ่านจริงๆ
“โม่โยว เธอเป็นอะไร?”
โม่เทียนหวี๋จ้องมองเธอแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าโม่โยวดูเปลี่ยนไปไม่ค่อยเหมือนเดิม
“เปล่า ไม่มีอะไร ” เธอทำเป็นยกกาแฟขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อน
ด้านนอกของร้านกาแฟ
มีรถหรูสีดำค่อยๆเคลื่อนตัวมาจอดหน้าร้าน ก่อนประตูรถจะเปิดออกตามมาด้วยเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อและกางเกงยีนตั้งตัว สวมหมวกและแว่น ดูดีและเท่ห์มาก
ใช่แล้ว เด็กหนุ่มที่ว่าก็คือลู่อันหรานนั้นเอง
เมื่อวานหลังจากได้ยินโม่โยวพูดถึงโม่เทียนหวี๋แล้ว ในใจก็เริ่มเกิดความระแวงขึ้นมา บวกกับพ่อได้กำชับไว้ด้วย ทำให้งานนี้เขาตัดสินใจออกโรงเอง
พ่อบอกแล้ว ต้องไม่ยอมให้บุพเพไร้สาระอะไรมาพลาดแม่ไปได้เด็ดขาด เขามาวันนี้ก็เพื่อจะกำจัดบุพเพฯอะไรที่ว่านี่แหละ
“คนอยู่ในนั้นแน่ใช่มั้ย?”
ชายสองสามคนที่แต่งตัวชุดไปรเวทยืนพยักหน้าตอบอยู่ด้านหลัง: “ใช่ครับ คุณชายน้อย”
“งั้น เข้าไปกัน”
เขาพูดเสร็จ ก็ยื่นมือขึ้น ชายที่สวมใส่ชุดไปรเวทคนหนึ่งก็อุ้มหนุ่มน้อยขึ้นและเดินไปยันร้านกาแฟทันที
หนุ่มน้อยกลัวแม่เห็น รีบดึกหมวกลงต่ำ
ภายในร้านกาแฟตกแต่งได้สวยงามและหรูหรามาก ทุกโต๊ะจะมีฉากกั้นอย่างสวยงาม ดูแล้วเหมือนห้องส่วนตัวที่เปิดโล่งด้านบน
กลุ่มชายที่สวมใส่ชุดไปรเวทมีเป้าหมายที่ชัดเจน พวกเขาเดินมุ่งตรงเข้าไปนั่งยันโต๊ะที่ติดกับโม่โยวที่สุด ลู่อันหรานเองก็กระโดดลงทันที
พนักงานเดินมาให้บริการด้วยสีหน้าแปลกใจ ปกติแล้วคนที่มาดื่มกาแฟส่วนใหญ่จะเป็นคู่รักหรือไม่ก็กลุ่มเพื่อน เพิ่งเคยเห็นชายฉกรรจ์มากันเป็นกลุ่มแบบนี้
“ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ?”
ชายคนหนึ่งมองไปที่ลู่อันหราน เด็กหนุ่มโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ พวกเขาจึงสั่งกาแฟกันคนละแก้ว
เด็กหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มกาแฟอะไรทั้งนั้น ตากลมเล็กเอาแต่จ้องมองฉากกั้น กะจะมองให้ทะลุเป็นรูไปเลย
เด็กหนุ่มเอาหูแนบไปกับฉากกั้น ถึงตาจะมองไม่เห็น แต่ยังพอได้ยินว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน