เฉินเสียนไม่คิดว่าเย่เหลียงจะยอมตอบรับเงื่อนไขของเธอ แม้แต่เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
ทว่าในเวลานี้ เงินสองแสนตำลึงและเสบียงอาหารหนึ่งแสนต้านกำลังอยู่ระหว่างทางลำเลียงมายังต้าฉู่ ในเมื่อได้มาแล้ว เฉินเสียนจึงจัดสรรเสบียงและเงินทองไปยังโครงการต่างๆ โดยไม่ปล่อยไปให้เปล่าประโยชน์ อาศัยช่วงเวลาก่อนที่สายฝนยามคิมหันตฤดูจะเริ่มโปรยปราย รีบบูรณะซ่อมแซมพื้นที่ระบายน้ำและโครงการทดน้ำอย่างทันท่วงที
ฝ่ายโยธาธิการยังเหลือเงินอีกจำนวนหนึ่งไว้สำหรับซ่อมแซมกำแพงเมืองหลวง
ตั้งแต่จบสงคราม ศาลาบนกำแพงเมืองก็มีรอยแตกร้าวและยังไม่มีเวลามาซ่อมบำรุง ถึงอย่างไรศาลาแห่งนั้นก็เป็นแนวหน้า เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการปกป้องดินแดนต้าฉู่ เมื่อใดที่มีเงินเหลือย่อมต้องรีบมาซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายหกกำลังเสด็จมายังเมืองหลวง ทั้งยังเป็นการเกี่ยวดองระหว่างสองอาณาจักร ทั้งในวังและนอกวังจึงต้องเตรียมพร้อมอย่างสมพระเกียรติ
ประชาชนต่างพูดถึงเรื่องการเกี่ยวดองอย่างคึกคักตื่นเต้น ทุกคนต่างพูดติดตลกว่าเมื่อองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงอภิเษกเข้ามาอยู่ที่ต้าฉู่ จักรพรรดินีจะแต่งเขาไปอยู่ในวังหลังแบบเดียวกับการรับสนมเข้าวัง
กรมพิธีการจัดสรรเงินบางส่วนไว้เพื่อจัดงานมงคลถวายองค์จักรพรรดินีและองค์ชายหก ซึ่งเดิมทีเฮ่อโยวจะต้องเป็นคนจัดการทั้งหมด แต่เฮ่อโยวไม่อยากเป็นคนเตรียมการเรื่องนี้ จึงมอบหมายให้ขุนนางฝ่ายพิธีการที่อยู่ในการปกครองของตนเป็นคนจัดการ สั่งพวกเขาว่าหากมีอะไรไม่ต้องมารายงานเขา แต่ให้ไปทูลฝ่าบาทได้เลย
ขุนนางฝ่ายพิธีการทั้งสองรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเหมือนมันฝรั่งร้อนๆ ในมือที่จัดการยาก แต่พวกเขาต้องกอบกำเอาไว้อย่างระมัดระวังและทำสิ่งต่างๆ ออกมาให้สมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ขุนนางทั้งสองจึงรวบรวมเรื่องที่ยังตัดสินใจไม่ได้เอาไว้ จากนั้นจึงไปเข้าเฝ้าเฉินเสียนเพื่อขอความเห็นจากเธออย่างระมัดระวัง
สิ่งที่จะถามก็อย่างเช่น หลังจากองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงอภิเษกเข้ามาแล้ว จะให้เขาอยู่ที่ตำหนักไหนในวังหลัง พวกเขาจะได้ไปจัดการเตรียมความพร้อม หรือไม่ก็เรื่องที่ว่าจะจัดนางกำนัลระดับไหนเพื่อประทานให้องค์ชายหก ทั้งยังมีเรื่องงานเลี้ยงยามค่ำคืนในพระราชวังอีก
เฉินเสียนไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทนนัก เพียงแค่ได้ยินหัวข้อแรกเธอก็เงยหน้าขึ้นจากเอกสารราชการ มองขุนนางทั้งสองด้วยสายตาที่เย็นชาและขัดขึ้นว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่ามอบหมายให้กรมพิธีการจัดการหรอกหรือ มาถามข้าซะทุกเรื่องเช่นนี้ ให้ข้าทำเองเลยดีไหม”
ขุนนางทั้งสองรีบค้อมศีรษะลง
เฉินเสียนถอนสายตากลับมาและถามว่า “เฮ่อโยวอยู่ไหน”
“ทราบมาว่า… ใต้เท้าเฮ่อป่วย จึงมอบหมายให้พวกกระหม่อมมาดูแลพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาช่างป่วยได้ทุกเวลาเสียจริง ในเมื่องานนี้มอบหมายให้พวกท่าน พวกท่านก็หาทางจัดการเสียสิ” ขณะที่ขุนนางทั้งสองกำลังจะกลับออกไป เฉินเสียนก็กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “ว่ากันว่าตำหนักที่พระสนมฉีเคยประทับมีผีสิงมิใช่รึ มอบตำหนักนั้นให้องค์ชายหกก็แล้วกัน”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอภิเษกทางการเมืองในครั้งนี้มากนัก ขุนนางทุกคนในราชสำนักต่างทราบเรื่องนี้และรู้สึกอับจนหนทาง ไม่รู้ว่าจะรับมือต่อท่าทีที่เฉยเมยและเฉื่อยชาของเฉินเสียนอย่างไรดี
มีเพียงเฮ่อโยวและฉินหรูเหลียงเท่านั้นที่รู้ว่าซูเจ๋อต้องใช้ความหนักแน่นแค่ไหนจึงเกลี้ยกล่อมให้เฉินเสียนยอมรับองค์ชายหกผู้นั้นได้ และในที่สุดเฉินเสียนก็เต็มใจยอมรับความทุกข์ทรมานที่น้อยคนนักจะเข้าใจ
หลังจากนั้นราชสำนักยังคงดำเนินไปเช่นเดิม เฉินเสียนยังคงได้รับหนังสือฟ้องร้องซูเจ๋อวันละสี่ห้าเล่มทุกวัน หลังจากสะสมมาได้จำนวนหนึ่ง เธอจึงใช้หนังสือเหล่านั้นมาทำฟืนจุดไฟ
สถานการณ์ของต้าฉู่จึงเริ่มดีขึ้นเพราะเงินและเสบียงอาหารที่เย่เหลียงส่งมาให้ เมื่อถึงช่วงการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลจากวสันตฤดูไปสู่คิมหันตฤดู เป็นอย่างที่คิดว่าปริมาณน้ำฝนในปีนี้มีมากกว่าปีที่แล้วมา ทำให้ต้องคอยซ่อมแซมโครงการชลประทานในที่ต่างๆ อยู่หลายครั้งพอให้ต้านทานไปได้
พื้นที่เพาะปลูกผืนใหญ่มีระบบการทดน้ำมาใช้ ทำให้พืชผลทางการเกษตรเจริญเติบโตได้ดี
ภายในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความคึกคักรื่นเริงเมื่อถึงช่วงคิมหันตฤดู เวลานี้ไม่มีการจัดเก็บภาษีสูงๆ อีกแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนค่อยๆ ดีขึ้นและพวกเขาก็เริ่มตั้งตารอคอยการมาถึงขององค์ชายหก
ได้ยินมาว่าองค์ชายหกกำลังจะมาถึงเมืองหลวงในไม่ช้า
กรมพิธีการจัดเตรียมทหารกองเกียรติยศมารอต้อนรับที่ประตูเมืองแล้ว ทว่ามีข่าวคราวมาจากทางด้านองค์ชายหก ว่าพระองค์ต้องการให้องค์จักรพรรดินีมาต้อนรับพระองค์ด้วยพระองค์เอง องค์ชายหกจึงจะยอมก้าวเข้าไปในเขตเมืองหลวง ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นด้วยว่าต้าฉู่ให้ความสำคัญกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้ นับแต่นี้ต่อไปต้าฉู่และเย่เหลียงจะมีไมตรีที่ดีต่อกันไปอีกยืนยาว
เฉินเสียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึมต่อหน้าเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร “ไมตรีที่ยืนยาวกับผีนะสิ จะมาหรือไม่มีก็เรื่องของพระองค์”
ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งก้าวออกมาและกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท ตามขนบข้อบังคับของราชสำนัก ทั้งสองฝ่ายควรไปต้อนรับกันที่ประตูเมืองเมื่อมีการเกี่ยวดอง”
เฉินเสียนหลุบตาต่ำมองขุนนางผู้นั้น เอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ออกไปต้อนรับในนามของข้า”
เมื่อองค์ชายหกมาถึงเมืองหลวงในตอนเที่ยงและไม่เห็นเฉินเสียนที่หน้าประตูเมือง พระองค์ก็ไม่เสด็จเข้าเมืองอย่างที่ตรัสไว้จริงๆ จากนั้นจึงพาทหารกองเกียรติยศของเย่เหลียงไปค้างคืนที่ทุ่งกว้างในชานเมืองซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายลี้
พระองค์แค่อยากจะทำให้ทุกคนเห็นว่าเฉินเสียนทำเกินไป
ตอนนี้ผู้คนมารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว แน่นอนว่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนักไม่อาจเฝ้ามองพวกเขานอนกลางดินกินกลางทรายเช่นนั้นได้ จึงรีบไปตระเตรียมทุกอย่างให้ พร้อมกันนั้นก็คิดหาวิธีทำเพื่อเฉินเสียน
องค์ชายหกมีหลักที่ตนเองยึดถือ แม้ว่าพระองค์จะมาต้าฉู่ด้วยความยินยอมพร้อมใจ แต่ก็พระองค์ก็ไม่อาจทนเข้าไปในเมืองอย่างกล้ำกลืนได้ หากต้องมีใครสักคนกล้ำกลืนก็ควรเป็นเฉินเสียน ส่วนพระองค์จะเป็นฝ่ายที่เข้าไปอย่างสง่างามและมีเกียรติ
นอกจากนี้องค์ชายหกยังส่งคนไปบอกอีกว่า หากเฉินเสียนไม่มารับเขาด้วยตัวเอง เย่เหลียงจะขอสินสอดสำหรับการอภิเษกกลับคืนจากต้าฉู่
ทว่าต้าฉู่ใช้เงินทองและเสบียงอาหารไปในยามฉุกเฉินแล้วและเหลืออีกไม่มาก จะให้หามาคืนตอนนี้ได้อย่างไร
แสงอาทิตย์ส่องรัศมีขึ้นจากขอบฟ้า ทอแสงทาบทับไปทั่วทั้งพระราชวังและส่องกระทบลงมาบนดอกถูหมีสีขาวที่บานสะพรั่ง
เฉินเสียนคลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินเสียงของซูเจ๋อ เป็นเสียงที่ดังขึ้นมาราวกับอยู่ในความฝัน “ฝ่าบาทตื่นบรรทมหรือยัง”
อวี้เยี่ยนตอบว่า “ยังเจ้าค่ะ ใต้เท้าซูโปรดรอสักครู่ บ่าวจะเข้าไปปรนนิบัติฝ่าบาทก่อนเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ที่แท้ก็ไม่ใช่ความฝัน
หลังจากนั้นไม่นานอวี้เยี่ยนก็พานางกำนัลสองคนเดินเข้ามาในห้องบรรทมอย่างเป็นระเบียบ ในมือถือถาดเครื่องใช้สำหรับล้างหน้าล้างตามาด้วย
อวี้เยี่ยนช่วยเฉินเสียนม้วนผมและจัดเครื่องทรงกษัตริย์ให้เรียบร้อย นางตรวจดูอย่างรอบคอบก่อนจะกล่าวว่า “ใต้เท้าซูมาเพคะฝ่าบาท”
“เชิญเขาเข้ามา”
เฉินเสียนกำลังหันหน้าเข้าหากระจกทรงสูงในขณะที่ซูเจ๋อเดินเข้ามา เธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและค่อยๆ กลัดกระดุมที่ปกคอเสื้อ
เธอมองซูเจ๋อด้วยสายตาที่ลึกซึ้งผ่านเงาในกระจก วันนี้เขาแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยังคงเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์และสง่างามดั่งเช่นวันวาน
ซูเจ๋อเองก็กำลังมองเธอเช่นกัน สายตาของทั้งคู่ประสานกันในเงาอันเลือนรางบนกระจก
เฉินเสียนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มและกล่าวว่า “ใต้เท้าซูมาเพื่อติดตามข้าไปที่ราชสำนักงั้นหรือ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “กระหม่อมมาที่นี่เพื่อร่วมติดตามฝ่าบาทไปที่ประตูเมืองเพื่อต้อนรับองค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนหลุบตาลง เปิดกล่องเครื่องประทินโฉมอย่างเฉยเมย หยิบสีผึ้งทาปากสีแดงออกมา ใช้ปลายนิ้วแตะ จากนั้นจึงส่องกระจกและค่อยๆ ทาลงบนริมฝีปาก
เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านยังอยากทำหน้าที่เป็นผู้เกลี้ยกล่อมอยู่อีกหรือ”
“ฝ่าบาทเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมให้เย่เหลียง ซึ่งเย่เหลียงก็ตอบตกลงแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทเองก็ควรรักษาสัญญา หากเป็นผู้ทำลายสัญญาเสียเอง ต่อไปฝ่าบาทจะเสียความน่าเชื่อถือ”
คราวนี้แม้แต่น้ำเสียงที่อ่อนละมุนนั้นก็ไม่อาจทำให้เฉินเสียนสงบลงได้
ตลับสีผึ้งทาปากในมือหล่นลงบนพื้น เฉินเสียนหมุนตัวและเดินไปหาซูเจ๋อ เพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านที่ข่มเอาไว้ เธอใช้มือข้างหนึ่งคว้าปกคอเสื้อขุนนางของเขาไว้แน่น จากนั้นจึงดึงเขาให้ก้มลงมา ใกล้ชิดจนสัมผัสถึงลมหายใจ
เธอสบตากับซูเจ๋อและเอ่ยอย่างสะกดกั้นความรู้สึกว่า “ข้าไม่ได้แทนตัวเองเป็นจักรพรรดิต่อหน้าท่าน แต่ท่านกลับเรียกแทนตัวเองว่ากระหม่อมต่อหน้าข้า”
ซูเจ๋อหลุบตาลงและเฝ้ามองใบหน้าของเธออย่างลึกซึ้ง เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “แต่ท่านก็เรียกข้าว่าใต้เท้าซูเหมือนกัน”
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกถึงความฝาดเฝื่อนในลำคอ ขอบตาของเธอแดงก่ำ เอ่ยอย่างกำปั้นทุบดินว่า “ท่านนั่นแหละบังคับให้ข้าต้องสมรสทางการเมือง ตอนนี้ยังจะให้ข้าไปรับตัวคู่หมายอีก!”