แต่จะทำอย่างไรถึงจะเข้าใกล้ท่านน้าฉือได้นะ
ต่อให้เป็นการยัดเยียดก็ต้องยัดให้เข้าถึงจะใช้การได้!
โจวเสาจิ่นนั่งเท้าคางครุ่นคิดอยู่หน้าโต๊ะวาดภาพในห้องหนังสือ
ส่งรองเท้ากับถุงเท้าไปให้?
ดูเหมือนจะไม่ได้
ข้างกายของท่านน้าฉือมีคนที่เก่งงานเย็บปักยิ่งกว่านางอย่างหนานผิงอยู่ด้วยผู้หนึ่งอยู่แล้ว ไปๆ มาๆ ของที่นางอุตส่าห์ลงแรงลงกายทำออกมาเมื่อเปรียบเทียบกับของหนานผิงแล้วอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรไปเลยก็ได้
ส่งขนมไปให้?
นางเคยลองทำแล้ว
และก็พ่ายแพ้จนราบคาบ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าท่านน้าฉือจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับพวกขนมกินเล่นสักเท่าใดนัก
ทำกับข้าว?
นางจะทำให้ทางห้องครัวต้องวุ่นวายหรือไม่…นอกจากนี้ก็ยังดูเอิกเกริกเกินไปอีกด้วย ไม่แน่ว่าอาจทำให้ท่านน้าฉือเข้าใจว่านางป่วยเป็นวิกลจริตไปเลยก็เป็นได้
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็ให้ปวดศีรษะ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
นางคิดแล้วคิดอีก ถามเฉิงเจียว่า “ถ้าเจ้าอยากทำให้คนผู้หนึ่งเกิดความรู้สึกดีๆ กับเจ้า เจ้าจะทำอย่างไรหรือ”
เฉิงเจียกล่าว “เจ้าอยากทำให้ผู้ใดชอบเจ้าหรือ นายหญิงผู้เฒ่าหรือ ข้าดูแล้วนางก็ชื่นชอบเจ้าเป็นอย่างมากอยู่แล้วนี่นา!”
“ไม่ใช่” แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นไม่อาจพูดความจริงได้ ไม่อย่างนั้นเฉิงเจียต้องถามไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นเอาไปพูดกับเจียงซื่อด้วย ถึงตอนนั้นเรื่องราวคงวุ่นวายแย่ “ช่วงนี้ข้าเพียงแต่กำลังคิดถึงเรื่องพวกนี้ ก็เลยอยากรู้ว่าเจ้าจะมีประสบการณ์ทางด้านนี้บ้างหรือไม่ก็เท่านั้น”
“อ้อ!” เฉิงเจียกล่าวอย่างพินิจพิจารณาและเอาจริงเอาจังว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า แล้วก็พี่ชายของข้า คนเหล่านี้นับรวมด้วยหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าข้าก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ออดอ้อนสักหน่อย พวกเขาก็ตามใจข้าทุกอย่างแล้ว…”
ออดอ้อนหรือ
ไม่ได้
โจวเสาจิ่นรีบปฏิเสธในทันทีทันใด
นางลองนึกภาพนั้นแล้วก็ให้รู้สึกเหมือนจะไม่สบายขึ้นมา
“นอกจากอันนี้เจ้าไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” โจวเสาจิ่นยังคงถามอีกอย่างไม่ยอมถอดใจ
“ไม่มี” เฉิงเจียรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นพิลึกคนยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง เหตุใดต้องออกโรงเองด้วยเล่า เพียงเข้ากันได้ดีกับผู้อื่นก็พอแล้ว ออกโรงทำเองเช่นนี้ ก็ออกจะเป็นการลดสถานะของตัวเองเกินไป”
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
นางเองก็ไม่ได้อยากทำเหมือนกัน!
แต่หากไม่ยอมลดสถานะตัวเองก็ไม่ได้นี่นา
ท่านน้าฉือเกือบจะเป็นคนดื้อรั้นที่ไม่ฟังผู้อื่น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเข้าออกเมืองหลวงได้ทุกเมื่อ
ซึ่งก็หมายความว่าเขาไปเจอเฉิงจิงได้ทุกเวลา
ตกเย็นยามที่นางกลับไปพักผ่อนที่เรือน ซือเซียงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ อ่างน้ำช่วยขัดเท้าให้นาง
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ถามซือเซียงว่า “เจ้าคิดว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้คนคนหนึ่งเกิดความรู้สึกดีๆ กับเจ้าได้”
ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าต้องตั้งอกตั้งใจรับใช้นางให้ดีที่สุดอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวอีกว่า “แล้วก็ต้องจงรักภักดีด้วยเจ้าค่ะ”
เอาละ!
โจวเสาจิ่นต้องยอมรับว่าตนถามผิดคนเสียแล้ว
นางจึงไปถามพี่สาว
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทำในสิ่งที่ผู้นั้นพึงพอใจก็พอ!”
“ทำในสิ่งที่ผู้นั้นพึงพอใจ!” โจวเสาจิ่นดูประหนึ่งตกอยู่ในภวังค์
โจวชูจิ่นหัวเราะและไม่สนใจนางอีก
วันต่อมาโจวเสาจิ่นไปเรือนหานปี้ซานเร็วกว่าในยามปกติไปครึ่งเค่อ หลังจากที่นางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ตรงไปที่ห้องพระในทันที แต่ไปที่เรือนหลีอินแทน
เฉิงฉือไปจิงเฉิง เรือนหลีอินจึงเหลือเพียงหนานผิงกับสาวใช้เด็กอีกไม่กี่คนเท่านั้น
ตอนที่โจวเสาจิ่นไปถึงนั้น หนานผิงกำลังพาสาวใช้เด็กอีกหลายคนช่วยกันทำเสื้อสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้เฉิงฉือกันอยู่ พอเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามาก็วางงานในมือลง ยิ้มพลางเดินออกมาต้อนรับ “คุณหนูรองมาแล้วหรือเจ้าคะ! แม้นจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่แสงแดดของพระอาทิตย์ยามต้องบนร่างกายก็อุ่นเกินไปนัก ทำให้ถูกแผดเผาได้ง่าย คุณหนูรองรีบเข้ามานั่งด้านนี้ก่อน ด้านนี้มีร่มเงาเย็นกว่าเจ้าค่ะ”
เข้าสู่เดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิแล้ว แดดที่ส่องลงมาต้องร่างกายมนุษย์จึงค่อนข้างจะร้อนแล้ว
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางนั่งลง
หนานผิงนำของว่างและน้ำชามาให้นางด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นขอบคุณอย่างเกรงใจไปหลายประโยค จากนั้นก็เริ่มคุยธุระกับหนานผิง “อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของท่านพ่อของข้า ข้าอยากจะตัดเสื้อให้ท่านพ่อสักสองสามชุด ทุกคนต่างพูดกันว่าในเรือนของท่านน้าฉือมีเจ้าที่มีฝีมือดีจนแม้แต่ช่างที่เรือนตัดเย็บของจวนยังต้องยอมลงให้ ข้าก็เลยอยากมาดูสักหน่อยว่าพอจะมีแบบชุดหรือไม่ก็วัสดุที่พิเศษสักหน่อยบ้างหรือไม่ ข้าจะได้ลองทำให้ท่านพ่อของข้าสักชุดหนึ่ง”
คนจำนวนมากต่างทราบกันดีว่าหนานผิงนั้นมีฝีมือดี ช่วงแรกๆ มีคนจำนวนมากมาขอให้นางช่วยทำสิ่งต่างๆ ให้ นางเป็นเพียงสาวใช้ผู้หนึ่ง จะขัดใจใครก็ล้วนไม่ดีทั้งนั้น ฉะนั้นจึงต้องรับปากทำให้เกือบทุกคน สุดท้ายเป็นเฉิงฉือที่ทนดูไม่ได้ แสดงความไม่ชอบใจออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน คนเหล่านั้นถึงได้ไม่กล้ามาหานางอีก
เป็นไปได้ว่าโจวเสาจิ่นอาจไม่รู้เรื่องนี้กระมัง
ขณะที่หนานผิงครุ่นคิด ก็ยิ้มพลางเดินไปหยิบชุดที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ๆ มาสองสามชุด
เพียงแค่มองโจวเสาจิ่นก็รู้แล้วว่าหนานผิงเป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่ง เพราะตรงแขนเสื้อและช่วงไหล่นั้นตัดเย็บได้ประณีตยิ่งนัก ตัวนางเองก็เป็นเพราะมีครั้งหนึ่งที่ได้เข้าวังแล้วบังเอิญได้ยินมาถึงได้ทำเป็น
เห็นได้ชัดว่าท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์นี้ต่างก็มีผู้มีพรสวรรค์ซ่อนเร้นอยู่ตลอด ไม่จำเป็นว่าชีวิตขององค์ฮ่องเต้จะมีความสุขเทียบเท่ากับชีวิตของครอบครัวชั้นสูงเสมอไป
นางนึกถึงรูปร่างของบิดา แล้วจึงเลือกชุดที่แขนเสื้อกว้างลำตัวแคบมาตัวหนึ่ง และอีกตัวเป็นชุดแบบไร้ปกคอเสื้อ ทั้งหมดล้วนเป็นแบบที่พิถีพิถันแต่ก็แฝงไว้ด้วยความมีชีวิตชีวาอยู่หลายส่วน
หนานผิงกล่าวชมนางยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวช่างตาแหลมยิ่งนัก นี่เป็นแบบที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากที่เมืองหังโจวในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ในเมืองจินหลิงของพวกเรานี้ยังไม่เคยมีผู้ใดเคยสวมใส่มาก่อนเลยกระมัง”
เจ้าแทบจะไม่ได้ย่างเท้าออกไปข้างนอกเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าในเมืองจินหลิงแห่งนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดสวมใส่มาก่อน
โจวเสาจิ่นอยากจะถามออกไปสักประโยคยิ่งนัก แต่ยามอยู่ต่อหน้าหนานผิงนางไม่อาจทำตัวสบายๆ เหมือนยามอยู่ต่อหน้าจี๋อิ๋งเช่นนั้นได้ จึงยิ้มๆ แล้วถามนางว่าที่นี่มีวัสดุผ้าที่เหมาะกับชุดสองแบบนี้หรือไม่
หนานผิงจึงพานางไปที่ห้องข้างที่อยู่ข้างๆ
ภายในลิ้นชักอัดแน่นไปด้วยผ้าจนเต็ม
“พวกนี้ล้วนเป็นผ้าที่ออกมาใหม่ในปีนี้ของซงเจียง หูโจวและหังโจว ส่วนพวกนี้เป็นของทางด้านก่วงตงและชิงไหว…” หนานผิงกล่าวแนะนำให้นาง จากนั้นก็หยิบผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มของซงเจียงออกมามัดหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่าผ้าไหมมัดนี้เหมาะกับนำไปตัดชุดแขนกว้างที่ท่านถูกใจก่อนหน้าตัวนั้นยิ่งนัก ชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงตัวนั้นเมื่อสวมใส่ลงบนร่างกายแล้วทำให้ท่วงท่าดูมีสง่าราศี ใช้ผ้าประเภทนี้จึงเหมาะสมที่สุด ผ้าไหมซงเจียงสีขาวพระจันทร์นั้นมีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ แต่หากเป็นผ้าไหมที่ย้อมเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว ยามมองจากที่ไกลๆ จะเหมือนกับชุดนักพรตเต้าเผา แต่พอมองใกล้ๆ กลับเป็นชุดจื๋อตัว ทำให้ควรค่าแก่การมองยิ่งนัก”
พอได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองคุ้นเคย แววตาของหนานผิงจึงแจ่มใสแวววาวขึ้นหลายส่วน
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าว่าสาเหตุที่แม่นางหนานผิงมีฝีมือดีขนาดนี้ นอกจากพรสวรรค์แล้ว ยังเป็นเพราะใช้เวลาอยู่กับการทำสิ่งนี้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
ความรู้สึกของนางที่กล่าวออกมาทำให้หนานผิงรู้สึกยินดียิ่งนัก รวมถึงในยามปกติไม่มีใครให้นางพอจะพูดคุยเรื่องเหล่านี้ด้วยได้ ทำให้วันนี้นางพูดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับในยามปกติ
โจวเสาจิ่นส่งสียงตอบรับ “อือ” และ “อา” ร่วมบทสนทนาด้วยไม่ขาด ทำให้บทสนทนาของหนานผิงไม่ตกอยู่ในความเงียบ กระทั่งตอนที่หนานผิงหยิบแบบลายดอกที่ตัวเองสะสมออกมาให้โจวเสาจิ่นดู โจวเสาจิ่นจึงถามนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าเข้าจวนมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ นี่ต้องใช้เวลามากเท่าไรถึงจะมีฝีมือขนาดนี้ได้ ตอนที่เจ้าเพิ่งเข้าจวนมานั้นรับใช้อยู่ที่ใดหรือ”
หนานผิงเป็นทาสรับใช้ สิ่งที่โจวเสาจิ่นถามมานี้เพียงไปสืบสักหน่อยก็สืบได้แล้ว หนานผิงจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กล่าวขึ้นว่า “ข้าเข้าจวนมาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ตอนที่เข้าจวนมาใหม่ๆ เป็นบ่าวรับใช้อยู่ในห้องน้ำชาของเรือนหานปี้ซาน ต่อมาเมื่อนายท่านสี่กลับมาที่จินหลิง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่านายท่านสี่ไม่มีคนคอยดูแลอยู่ข้างกายสักคน ในเวลานั้นก็ถือเป็นความโชคดีโดยบังเอิญของข้า ที่ได้พักอยู่ห้องเดียวกับจิ่นเฉิงผู้ที่เดิมทีเป็นสาวใช้ใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่า นางรับผิดชอบดูแลเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ฮูหยินผู้เฒ่า ฝีมือเย็บปักของนางโดดเด่นยิ่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยกข้าให้นายท่านสี่ นับตั้งแต่นั้นมาข้าก็อยู่กับนายท่านสี่มาโดยตลอด”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หนานผิงก็ไม่ได้รับใช้มาตั้งแต่เด็ก
แต่นอกจากจี๋อิ๋งที่พอจะใกล้ชิดกับเฉิงฉือมากกว่าใครแล้วก็เป็นหนานผิงนี่แหละ
โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่นางก็ยังไม่ถอดใจที่จะชวนหนานผิงคุยต่อ “คิดไม่ถึงว่ายังมีคนที่เก่งกว่าแม่นางหนานผิงอยู่อีก! แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด ไปพบนางได้หรือไม่”
หนานผิงยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “นางเสียชีวิตไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะถึงคราวให้ข้าได้ไปรับใช้นายท่านสี่ เวลานายท่านสี่เลือกคนไม่ได้เลือกจากหน้าตา ดูเพียงว่าเจ้าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น”
ทั้งสองคนคุยกันไป ไม่นานหัวข้อสนทนาก็วนไปถึงเรื่องขนมของโจวเสาจิ่นเมื่อไม่กี่วันก่อน
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างอดสูว่า “เดิมทีคิดว่าจะเอาใจสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าท่านน้าฉือไม่เพียงไม่ชอบรับประทานปลาเท่านั้น ยังไม่ชอบรับประทานขนมด้วย ทำให้ข้ารู้สึกอดสูยิ่งนัก!”
หนานผิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านอย่าได้รู้สึกอดสูเลยเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามารับใช้นายท่านสี่ใหม่ๆ นั้นก็ทำเรื่องน่าอับอายไว้มาก ยกตัวอย่างเช่นนายท่านสี่มักจะสวมใส่ชุดนักพรตเต้าเผา ตอนแรกข้าเข้าใจว่าเป็นเพราะเขาชอบสวมใส่ ดังนั้นจึงตั้งใจทำให้เขาเสียมากมายหลายชุด ปรากฏเขาถามข้าว่าเหตุใดชุดนักพรตเต้าเผาแต่ละชุดถึงไม่เหมือนกันเลย ที่เขาชอบใส่ชุดนักพรตเต้าเผาเป็นเพราะเห็นว่าพวกมันสวมใส่ง่ายและสะดวกดี เนื่องจากเหมือนๆ กันทั้งหมด…สรุปว่าความอุตสาหะของข้าล้วนสูญเปล่าทั้งหมด ข้าต้องทำชุดเต้าเผาที่เหมือนๆ กันให้เขาใหม่ ยังมีชุดฤดูใบไม้ร่วงแบบที่ท่านเลือกมาสองชุดนั้น หากข้าทำออกมาจริงๆ ถึงแม้นายท่านสี่จะไม่ว่าอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีวันที่เขาจะสวมใส่พวกมันเป็นแน่” พอกล่าวถึงประโยคสุดท้าย นางถอนหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียดายที่ตนไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือหรือเป็นเพราะรู้สึกว่าเฉิงฉือเป็นคนแปลกกันแน่
แต่โจวเสาจิ่นคิดว่าแบบแรกน่าจะมีความเป็นไปได้ที่มากกว่าแบบหลังอยู่เล็กน้อย
หัวข้อสนทนาจากเรื่องเสื้อผ้าและอาหารก็ค่อยๆ ขยายออกไปเรื่อยๆ ตอนที่นางออกมาจากเรือนหลีอินนั้นก็ใกล้จะเข้ายามโหย่วสือ[1]แล้ว แต่นางรู้สึกว่ายิ่งเกิดความสับสนหนักกว่าเดิม
ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าท่านน้าฉือไม่กินปลา แต่เขาจะกินเฉพาะปลาที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำหนาวจัดเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเขาไม่กินของหวาน เพียงแต่ว่าจะไม่ชอบกินน้ำตาลทราย ชอบกินแต่น้ำตาลกรวดเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบกินของที่นุ่มหรือเหนียว เพียงแต่จะชอบกินพวกที่ห่อด้านบนด้วยชั้นบางๆ เท่านั้น…สรุปแล้วก็คือ การใช้ชีวิตของเขาหากจะบอกว่าเรียบง่ายก็ยังมีสิ่งของหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่ แต่หากจะบอกว่าหรูหราฟุ่มเฟือยก็มีเรื่องจำนวนมากที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง…
นางรู้สึกว่าของที่เขาชอบนั้น ต่อให้นางเป็นคนมาสองชาติภพ แต่มีบางอย่างที่นางได้แต่เคยได้ยินมาก่อนเท่านั้น…ดูแล้วนางไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าเขาเลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นนางจะไปประจบประแจงเขาได้อย่างไร
เฉิงฉือที่อยู่ไกลถึงเมืองจิงเฉิงนั้นกลับไม่ได้เข้าไปพักอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน แต่พักอยู่ในบ้านของเฉิงเซ่าที่ตั้งอยู่ที่ซอยซวงอวี๋แทน
เนื่องจากผู้อาวุโสยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีไว้ทุกข์สามสิบห้าวันของเฉิงเฝินแล้ว ผ้าขาวที่แขวนอยู่ในบ้านต่างก็ถูกจัดเก็บออกไปจนหมด
เดิมทีเฉิงเซ่าก็เป็นคนที่ค่อนข้างเงียบขรึมผู้หนึ่งอยู่แล้ว ในเวลานี้จึงยิ่งเงียบขรึมมากขึ้นไปอีก อีกทั้งภรรยาก็เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน เขาจึงอาศัยอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
เฉิงฉือก็ไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการเขา ยังคงทำเหมือนปกติยามที่เข้าเมืองหลวงอย่างที่ผ่านๆ มา หลังจากที่ตอนเช้าพบบรรดาผู้จัดการของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่กลุ่มหนึ่งแล้ว ช่วงบ่ายก็พบหลี่ซานเจียง ผู้จัดการใหญ่ของร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่า
หลี่ซานเจียงอายุประมาณสี่สิบปี เป็นคนที่ไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นบริวารของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลหลี่ที่เซ่อเซี่ยน ด้วยอายุของเขาแล้ว การเป็นได้ถึงตำแหน่งนี้ สำหรับแวดวงของการค้าแล้วก็ถือว่าเก่งกาจมากทีเดียว
แต่ยามอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือเขากลับนั่งลงมาเพียงครึ่งเก้าอี้เท่านั้น
นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเฉิงฉือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่รวมถึงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นลำดับที่สี่ของร้านตั๋วแลกเงินเว่ยจื้อเฮ่าเท่านั้น แต่เป็นเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เฉิงฉือไม่เคยทำอะไรผิดพลาดมาก่อน จึงเพียงพอให้เขาแสดงความเคารพนบนอบต่อเขามากเช่นนี้
เฉิงฉือคร้านจะสนใจพิธีรีตองที่ไม่สลักสำคัญพวกนี้แล้ว กล่าวขึ้นอย่างตรงประเด็นว่า “ท่านผู้นำตระกูลจวนรองของพวกข้าอยากจะร่วมมือกับตระกูลหลัวที่เซ่อเซี่ยน เป็นการก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินสักแห่งเช่นกันกระมัง”
“ใช่แล้วขอรับ!” เนื่องจากเรื่องนี้อาจกระทบถึงความขัดแย้งภายในของซอยจิ่วหรูได้ หลี่ซานเจียงจึงกล่าวด้วยความระมัดระวังอยู่หลายส่วน “ตอนแรกตระกูลหลัวยังเข้าใจว่าเป็นความคิดของท่าน ต่อมาถึงทราบว่าเป็นความคิดของท่านผู้นำตระกูลของพวกท่าน ตระกูลหลัวไม่อาจขอเข้าพบท่านได้ ก็เลยส่งคนไปเยี่ยมนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้าเป็นการเฉพาะ หมายจะฝากข้อความไปให้ท่านผ่านนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้า บอกว่าในเมื่อตระกูลหลัวตอบรับการถอนตัวจากธุรกิจร้านตั๋วแลกเงินของท่านแล้ว จึงไปทำสัญญากับผู้อื่นได้ ขอให้ท่านอย่าได้เข้าใจผิด!”
เฉิงฉือยิ้มเย็น “เป็นขุนนางนานเกินไปแล้ว!”
หลี่ซานเจียงไม่ได้กล่าวสิ่งใด
คนที่รับราชการมักจะคิดว่าคนทำการค้านั้นเห็นแก่ผลประโยชน์ ขอเพียงมีผลประโยชน์ ก็พร้อมที่จะหักหลังได้ทุกเมื่อ แต่ความจริงแล้วคนทำการค้ากลับเป็นพวกที่ซื่อสัตย์ที่สุด เนื่องจากเดิมทีสถานะของพวกเขาก็ต่ำอยู่แล้ว หากไม่ซื่อสัตย์อีก จะมีที่ให้พวกเขายืนได้อย่างไร
………………………………………………………………………
[1] ยามโหย่วสือ คือเวลาประมาณ 17 นาฬิกา