บนถนนเส้นใหญ่ ตอนนี้เย่หยวนกำลังค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ
บนถนนเส้นนี้มีนักยุทธที่ทั้งมาคนเดียวและมาเป็นกลุ่มอยู่หลากหลาย
คลื่นพลังของคนเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอเลย พวกเขาแท้จริงแล้วเป็นถึงราชันพระเจ้ากันทั้งสิ้น!
เย่หยวนรู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้มาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของนิกายเงาจันทร์ เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เย่หยวนได้รู้จากทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของสีกงซิ่วว่าในหมู่นิกายระดับเทพถ่องแท้ทั้งหลาย ตอนนี้มีเพียงนิกายเงาจันทร์เท่านั้นที่กำลังเปิดรับศิษย์อยู่
และตอนนี้มันก็ยังเหลือเวลาอีกประมาณสองร้อยปีกว่าจะถึงงานชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่ครั้งหน้า
เย่หยวนต้องใช้เวลาสองร้อยปีนี้ในการบรรลุสู่อาณาจักรนภาสวรรค์ให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด
เพราะคนที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมการต่อสู้แห่งกอไผ่นั้นจำเป็นต้องมีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์ขึ้นไป
และเย่หยวนนั้นก็ยังห่างไกลจากอาณาจักรนภาสวรรค์ไปมากทีเดียว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เย่หยวนเอาแต่เก็บตัวเฝ้าศึกษาวิชาโอสถของเผ่าอสูรจนไม่ได้มีเวลาไปฝึกฝนวิชาฝีมือด้านอื่นๆ เลย
ช่วงสองร้อยกว่าปีที่เหลือนี้เย่หยวนจะต้องทำการบ่มเพาะด้วยทุกอย่างที่มีและรีบบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ให้ได้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นี่ น้องชาย เจ้ามาจากนิกายใดกัน? ดูท่าจะเป็นหน้าใหม่สินะ!”
บางทีชายร่างกำยำคนนี้อาจจะเบื่อเลยเดินเข้ามาชวนเย่หยวนคุย
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้ามาจากนิกายระดับราชันพระเจ้าน้อยๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีชื่อเสียงมากมายหรอก”
ชายร่างกำลังยิ้มตอบ “แบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าเจ้าถึงได้อ่อนแอปานนี้ ด้วยพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้มันคงยากที่จะผ่านการสอบเข้านิกายเงาจันทร์ไปได้!”
เย่หยวนยิ้มออกมาในใจ ดูท่าแล้วชายคนนี้คงเป็นคนนิสัยตรงๆ
เย่หยวนมองออกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ตรงถึงขั้นว่ามีอะไรคิดอยู่ในหัวก็ไม่กลัวที่จะต้องพูดออกมาตรงนั้น โดยไม่คิดจะไตร่ตรองมันผ่านสมองเลย
เย่หยวนยิ้มรับ “ข้าแค่มาลอง เพราะยังไงเสียในนิกายเก่าของข้าก็ไม่มีอะไรที่ข้าจะสามารถเรียนรู้ได้อีกแล้ว”
ชายร่างกำยำบอก “ก็นั่นสินะ สำหรับเจ้าที่อยู่ในนิกายเล็กๆ แบบนั้นแต่สามารถบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว แต่ว่าอัจฉริยะที่จะเข้านิกายเงาจันทร์ได้นั้นมันมีจำนวนแค่หนึ่งในล้าน หากเจ้าอยากผ่านการสอบเข้านี้ไปเจ้าคงต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีทีเดียว”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “อืม หากมันไม่ผ่านข้าก็คงต้องทำในทั่วๆ ไปในนิกายเงาจันทร์แทนล่ะ เมื่อพลังฝีมือของข้าพัฒนาถึงระดับเมื่อใดข้าค่อยกลับไปทำการสอบเข้าเป็นศิษย์อีกครั้ง”
มิติอนัตตาก่อไผ่นั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ นิกายค่ายสำนักต่างๆ ตั้งกันกระจัดกระจาย และเหล่านิกายระดับเทพถ่องแท้นั้นก็คือผู้ปกครองที่แท้จริง
แต่นิกายระดับนภาสวรรค์และระดับราชันพระเจ้านั้นก็ยังมีอยู่มากมาย หลังจากศิษย์ในนิกายเหล่านั้นประสบความสำเร็จ พวกเขาทั้งหลายก็จะพยายามหาทางเข้าสู่นิกายระดับสูงขึ้น
อย่างแรกเลยก็เพราะว่านิกายเก่านั้นมันไม่มีอะไรที่จะสามารถสั่งสอนให้พวกเขาพัฒนาตัวไปได้อีกแล้ว อยู่ไปก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ
อย่างที่สองคือหลังจากศิษย์เหล่านั้นเข้านิกายระดับเทพถ่องแท้ได้ พวกเขาก็จะสามารถช่วยกลับมาดูแลนิกายเดิมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้
เพราะฉะนั้นเหล่าคนที่มาเข้าร่วมการสอบของนิกายเงาจันทร์นี้ล้วนเป็นยอดศิษย์ที่เทียบได้กับศิษย์ของนิกายระดับเทพถ่องแท้แล้ว
แน่นอนว่าเหล่าศิษย์จากนิกายเล็กๆ เองก็คิดจะมาเข้าร่วมไม่น้อย แต่ส่วนมากก็ไม่มีทางที่จะผ่านการสอบครั้งนี้ไปได้
คำพูดของชายร่างกำยำคนนี้ไม่ได้ผิดเลย
เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้รู้เลยว่าเย่หยวนนั้นมีพลังการต่อสู้ที่เหนือล้ำกว่าใครๆ ในระดับเดียวกันไปมาก
ชายร่างกำยำบอก “ฮ่าๆ ข้าเองมาจากนิกายเมฆาสายฟ้านามว่าฮันยอง ในวันหน้าหากมีใครกล้ามารังแกเจ้า เจ้าจดชื่อพวกมันมาบอกข้าได้เลย”
เย่หยวนยิ้มรับ “ขอบพระคุณพี่ฮัน ข้านามเย่หยวน”
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีน้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากด้านข้าง
“ฮ่าๆๆ ฮันยอง เจ้าไม่ลองชะโงกหน้าลงน้ำส่องดูตัวเองบ้างเล่า แค่คนอย่างเจ้านี่หรือจะไปเป็นผู้ปกป้องใครได้? ข้าจะรังแกมันเดี๋ยวนี้ล่ะ เจ้ามีปัญญาปกป้องมันหรือไม่?”
เย่หยวนมองดูที่ด้านข้างและพบว่ามีชายหนุ่มสามคนในชุดสีจัดกำลังมองดูฮันยองด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมความดูถูก
คนทั้งสามนี้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก แค่มองปราดเดียวก็พอรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้อง
เมื่อฮันยองเห็นพวกเขาทั้งสามสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ “เจ่าซี เจ้าจะมาวางท่าอวดเก่งเพื่อ? หากเจ้ามีปัญญาก็มาด้วยตัวเองสิ ข้ารับรองให้เลยว่าข้าไม่เอาถึงตายหรอก!”
ฮันยองหันหน้ากลับไปกระซิบบอกเย่หยวน “นี่คือสามพี่น้องเจ่า เจ่าเจา เจ่าชู เจ่าซี มันเป็นคนจากนิกายคชสารมารศัตรูคู่แค้นของนิกายเมฆาสายฟ้าข้า”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็เข้าใจเรื่องราวในทันที
เจ่าซีตอบกลับมาด้วยท่าทางแสนดูถูก “เจ้าแกร่งกว่าข้าแค่เส้นผม แถมยังเทียบเคียงกับพี่รองข้าไม่ได้ด้วยซ้ำยังจะมากล้าปากดีต่อหน้าพวกเราสามพี่น้องอีกหรือ? นิกายเมฆาสายฟ้าเจ้าเองก็เป็นได้แค่ขยะที่ส่งคนไร้ความสามารถเช่นเจ้ามา อย่างเจ้ามันไปอวดอ้างตัวได้แค่ต่อหน้านิกายเล็กๆ เท่านั้นแหละ”
คำพูดนี้มันทำให้ฮันยองโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
สามพี่น้องเจ่านั้นเป็นผู้มีความสามารถ พวกเขาทั้งสามนั้นมักจะพัฒนาตัวเองได้ในระดับที่เท่าเทียมกันเสมอๆ
แม้เจ่าซีจะอ่อนแอที่สุดในกลุ่มแต่เขาก็เป็นถึงราชันพระเจ้าเจ็ดดาว
ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นถึงราชันพระเจ้าแปดดาว!
ฮันยองเองแท้จริงแล้วก็มีพรสวรรค์ไม่น้อย ตอนนี้เขาเพิ่งจะขึ้นมาเป็นราชันพระเจ้าแปดดาวได้ เพียงแค่ว่าเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าสามพี่น้องนี้มันยังเทียบกันไม่ได้
“เจ่าซี เจ้ากล้าว่านิกายเมฆาสายฟ้าของข้า? หากเจ้ามีปัญญาก็มาสู้ตัวต่อตัวกับข้าสิ!” ฮันยองไม่ได้กล้าถึงขั้นท้าพวกเขาทั้งสามรพร้อมๆ กันจึงพูดท้าเจ่าซีแค่คนเดียวออกมา
แต่เจ่าซียยิ้มตอบ “หลังจากเข้านิกายเงาจันทร์ไปแล้วเรายังมีเวลาให้สู้กันอีกมาก ตอนนี้… หึๆ เจ้าบอกว่าจะปกป้องเจ้าเด็กคนนี้ใช่ไหม? ตอนนี้ข้าจะรังแกมันแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะปกป้องมันได้ยังไง ข้าจะให้ทุกผู้คนได้รู้ถึงความขยะของนิกายเมฆาสายฟ้าของเจ้า เจ้ามีพลังแค่ไหนเจ้ายังไม่รู้ตัวเอง ยังไม่ทันได้เข้านิกายก็กลับมาคิดปกป้องผู้คนเสียแล้ว!”
ฮันยองเปลี่ยนสีหน้าหันกลับมาบอกเย่หยวน “เย่หยวนเรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง เจ้ารีบไป! ข้าจะปิดทางมันไว้!”
แต่เจ่าชูกลับหัวเราะขึ้น “สายไปแล้วมั้ง? ศัตรูของเจ้าคือข้า!”
เจ่าชูขยับร่างออกมาปิดทมางฮันยองไว้
ฮันยองนั้นมีพลังฝีมือที่ต่ำกว่าเจ่าชูไปขั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับศัตรูคนนี้ไว้
หากเขาอยากหนี เขาย่อมหนีได้ แต่เย่หยวนนั้นจะต้องปะทะกับสามพี่น้องเจ่าด้วยตัวเอง ผลที่ตามมามันมากเกินกว่าที่เขาจะคาดเดาได้
เจ่าซีค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและบอกด้วยท่าทางเย้ยหยัน “เด็กน้อยเจ้ากลับไม่คิดจะหนี คงกลัวจนขาสั่นแล้วล่ะสิ? หึๆ อย่าหาว่าข้ารังแกผู้คนเลย หากอยากโทษใครก็ไปโทษฮันยองเถอะ ใครใช้ให้มันผู้นั้นอวดอ้างตัวตนกัน?”
เย่หยวนเองก็มึนงงอย่างมาก เดินถนนมาดีๆ ก็เจอเรื่องเดินเข้ามาหาเสียอย่างนั้น
แต่ว่าด้วยพลังฝีมือของเจ่าซีนั้นเย่หยวนไม่คิดจะคิดถึงมันให้เสียเวลา
หากพวกเขาเหล่านี้แค่มาถากถางฮันยองและไม่ได้ทำอะไรเขา เย่หยวนก็ย่อมไม่คิดจะเอาตัวไปยุ่งเกี่ยวด้วย ทั้งๆ อย่างนั้นคนเหล่านี้มันกลับเดินเข้ามาหาเรื่องเขาเสียอย่างนั้น
เย่หยวนได้แต่ถอนหายใจยาวในใจ ไม่รนหาที่ก็คงไม่ตาย
“ทุกคนจะเข้าร่วมการสอบของนิกายเงาจันทร์ด้วยกันแท้ๆ อีกไม่นานคงได้เป็นศิษย์ร่วมนิกายกัน มีประโยชน์อันใดต้องมาแตกแยกเสียแต่ตรงนี้ด้วย?” เย่หยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางเหนื่อยๆ
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เย่หยวนนั้นไม่สนใจคิดที่จะเข้าร่วมอย่างมาก
ตราบเท่าที่เจ่าซีถอย เขาก็ไม่คิดจะห้ามอีกฝ่าย
เจ่าซีหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “ศิษย์ร่วมนิกาย? ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กคนนี้เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว! แค่พลังฝีมือระดับเจ้านี้หรือจะผ่านการสอบของนิกายเงาจันทร์ได้? ข้าและเจ้าไม่เคยอยู่ในระดับเดียวกัน! เพราะฉะนั้นเราย่อมไม่มีทางไปเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันได้!”
เย่หยวนได้แต่ยักไหล่ “แล้ว?”
เจ่าซีบอก “เด็กน้อย ข้าล่ะนับถือความกล้าของเจ้าจริงๆ ตอนนี้ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง หนึ่งคือก้มลงกราบและตะโกนว่า ‘นิกายเมฆาสายฟ้ามันช่างสวะเสียจริง’ สามครา หรือสองข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเจ้าและหักขาทั้งสองของเจ้าทิ้งเสีย ให้เจ้าได้คลานไปยังการสอบของนิกายเงาจันทร์”
…………………………