“สรุปก็คือเรื่องนี้ปิดฉากลงแล้ว หากมีใครหน้าไหนกล้าไปป่าวประกาศโลกภายนอกอีกจะถูกสังหารอย่างไร้ปรานีทันที!”
ด้านในศาลาสวรรค์หลวงนั้นซิ่วกำลังพูดด้วยจิตสังหาร
ที่ตรงข้ามดี๋เชียวนั้นกลับมีท่าทางมึนงงและสับสนอย่างถึงที่สุด
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันจึงมีคำสั่งเช่นนี้ออกมาได้
การผ่าน ‘อย่าถาม’ มันคือเรื่องยิ่งใหญ่ของเผ่าอสูร ทุกคนย่อมจะได้รับรู้ถึงมัน
แต่ทำไมเรื่องราวมันถึงได้เปลี่ยนไปเมื่อเย่หยวนผ่าน?
“นายท่าน ข้าขอถามเหตุผลได้หรือไม่?”
ซิ่วตอบมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ความคิดของท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมีหรือที่คนอย่างเจ้าหรือข้าจะเข้าใจ? เรามีแต่ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น”
ดี๋เชียวรู้สึกหมดแรงและพยักหน้ารับออกมา “ขอรับ ดี๋เชียวรับทราบ!”
หลังจากดี๋เชียวจากไป ซิ่วก็ยกลูกแก้วแสงขึ้นมาถือด้วยใบหน้าท่าทางสับสน
หลังจากเขากดมือเข้าหากัน เจ้าลูกแก้วแสงนั้นมันจึงค่อยๆ จางหายผสานกลมกลืนไปกับอากาศ
ไม่นานนักเย่หยวนก็มาถึงศาลาสวรรค์หลวง
“ผู้อาวุโสท่านเรียกหาข้าหรือ?” เย่หยวนก้มหัวเคารพและถามขึ้น
ซิ่วพยักหน้า “หลายวันมานี้เจ้าเก็บตัวอยู่ตลอด เก็บเกี่ยวความรู้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ให้พูดตรงๆ การเก็บเกี่ยวครั้งนี้มัน… ไม่มาก”
เมื่อซิ่วได้ยินเช่นนั้นเขาก็แสดงท่าทีแปลกๆ ออกมา
เพราะไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หากไม่ตายใน ‘อย่าถาม’ แล้วมันย่อมได้ความรู้ใดๆ ติดตัวกลับมาบ้าง
บ้างหลังจากกลับออกมาพวกเขาก็พัฒนาความรู้ด้านโอสถของตัวเองไปอย่างก้าวกระโดดจนปกครองกลายเป็นยอดคนของเมืองไป
เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์
เหล่าผู้อาวุโสของเมืองจักรพรรดิต้นทรราชนั้นต่างเคยผ่าน ‘อย่าถาม’ กันมาทั้งสิ้นแล้ว
เพราะยังไงเสียภายใน ‘อย่าถาม’ มันก็คือสงครามความรู้ระหว่างโอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล สองยอดนักหลอมโอสถแห่งมหาพิภพถงเทียน
แต่เย่หยวนกลับบอกว่าไม่ได้อะไรมาก
เรื่องนี้มันเกินกว่าจะทน!
เย่หยวนบอกว่าไม่ได้อะไรมากมันย่อมไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเขาต่ำ แต่มันเป็นเพราะว่าความรู้ของเขานั้นสูงส่ง
ความรู้ในเต๋าที่หลงเหลือไว้ใน ‘อย่าถาม’ นั้นไม่สามารถช่วยอะไรเย่หยวนได้มากมาย
แต่ถึงยังไงเย่หยวนก็ได้ความรู้จาก ‘อย่าถาม’ มาบ้าง
เพราะยังไงเสียคนทั้งสองก็เป็นถึงยอดสูงสุดแห่งมหาพิภพถงเทียน
“ผู้อาวุโสซิ่ว อย่าใช้สายตาแบบนั้นมองข้าสิ ท่านเองก็น่าจะเข้าใจว่า ‘อย่าถาม’ มันจะไม่ส่งผลใดๆ ให้ข้ามากมาย” เย่หยวนเห็นสายตาที่ซิ่วใช้มองมาจึงพยายามอธิบายออกไป
หลังรู้จักกันมานานเย่หยวนก็พอจะเข้าใจว่าซิ่วนั้นมีความรู้ด้านโอสถมากมายแค่ไหน
แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยแสดงมันออกมาจริงๆ สักครั้ง แต่แค่ฟังจากความคิดที่เขาแสดงมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเหนือล้ำกว่าที่คนอื่นๆ จะเทียบเคียง
เย่หยวนบอกได้เลยว่าเขาคนนี้เองก็มีความรู้ความสามารถที่เหนือล้ำกว่า ‘อย่าถาม’ ไปแล้ว
ซิ่วถอนหายใจยาว “รู้ก็แค่รู้ แต่ได้ยินแบบนั้นแล้วมันก็ยังทำให้เฒ่าคนนี้อยากตบตีผู้คนเสียจริงๆ”
เย่หยวนยิ้มแห้งๆ ออกมา “ผู้อาวุโสท่านคงไม่ได้เรียกข้ามาลงโทษใช่หรือไม่?”
ซิ่วยิ้มตอบ “เจ้าผ่าน ‘อย่าถาม’ แล้ว ในวันข้างหน้าเจ้าจะสามารถเข้าศาลาสวรรค์หลวงได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้นห้า ข้าว่ามันต้องมีสิ่งที่ทำให้เจ้าสนใจได้แน่ๆ!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็เบิกตากว้างทันทีด้วยความตื่นตกใจ “ผู้อาวุโสท่านพูดจริง?”
ครึ่งปีมานี้ เย่หยวนอยู่แค่ชั้นหนึ่งถึงสาม หนังสือของทั้งสามชั้นนี้เย่หยวนได้อ่านไปจนสิ้นแล้ว
แม้ว่าซิ่วจะแอบให้เย่หยวนขึ้นไปยังชั้นสามด้วยประตูหลังก็ตาม
เพราะชั้นนั้นมันเป็นชั้นเฉพาะสำหรับผู้อาวุโสเท่านั้น
ส่วนชั้นที่สี่ ต่อให้เย่หยวนจะสนิทกับซิ่วมากแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมที่จะเปิดประตูไปยังชั้นนั้นให้
เย่หยวนไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการผ่าน ‘อย่าถาม’ มันจะทำให้เขาได้สิทธิประโยชน์เช่นนี้
เพราะขนาดซิ่วยังไม่ยอมให้เขาขึ้นไป มันย่อมหมายความว่าหนังสือความรู้ทฤษฎีในนั้นมันล้ำค่ามาก
ของเช่นนั้น คงมีแต่เจ้าวิหารหรือคนระดับนั้นเท่านั้นที่จะได้เข้าไป
แต่เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจริงๆ แล้วศาลาสวรรค์หลวงจะยังมีชั้นที่ห้าอยู่!
ตอนนี้ไม่ใช่แค่จะเข้าชั้นสี่ได้ แต่ถึงขั้นเข้าชั้นห้าที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยืน เรื่องเช่นนี้มีหรือที่เขาจะไม่ตื่นตกใจ?
ซิ่วยิ้มตอบ “ทำไมข้าจึงต้องโกหกเจ้าด้วย? ไปเถอะ!”
เย่หยวนไม่คิดจะพูดพร่ำทำเพลงและมุ่งหน้าตรงขึ้นไปยังชั้นสี่ทันที
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่หยวนที่เดินจากไป ซิ่วก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา “เด็กคนนี้มันปิดปากเงียบเรื่องอาจารย์เลย ในโลกใบนี้มันมีแต่คนอยากกราบมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นอาจารย์ แต่เขา… กลับดูไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย!”
…
“โอสถจี้เมฆศรสุริยาสวรรค์! นี่มัน… โอสถยอดหยกโมฆะของเผ่าอสูรเรอะ?”
“แล้วเทคนิคการโอสถเหล่านี้มันช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่านัก!”
“แถมศาสตร์หลอมอสูรอันนี้ยังเหนือล้ำกว่าศาสตร์ใดๆ นัก!”
…
เย่หยวนนั้นเดินดูตามชั้นสี่ ดูทฤษฎีหนังสือพื้นฐานพร้อมด้วยท่าทางตื่นเต้นชื่นชมอย่างไม่หยุดปาก
แม้ว่าหนังสือชั้นสี่นี้มันจะน้อยกว่าของในชั้นล่างไปมาก แต่คุณภาพของทฤษฎีแต่ละเรื่องนั้นมันเหนือล้ำกว่าจนเทียบไม่ได้
ด้วยสายตาของเย่หยวน เขาย่อมเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือยอดทฤษฎีของเผ่าอสูรแล้ว
แม้ว่ามันจะเป็นของที่ใช้โดยระดับสี่หรือห้า แต่มันก็ยังเป็นยอดสมบัติล้ำค่าหาใดมาเปรียบ
หากของพวกนี้มันไปอยู่ในฝั่งมนุษย์ มันคงเป็นความลับที่ไม่เอามาเปิดให้ผู้คนได้อ่านดูแน่ๆ
การที่เย่หยวนพัฒนาตัวเองมาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะสมบัติสืบทอดจากจอมเทพนิรันดร์
แม้ว่าเย่หยวนจะก้าวข้ามตัวของเขาไปได้แล้ว แต่สูตรโอสถที่จอมเทพนิรันดร์ทิ้งไว้ให้นั้น รวมไปถึงทักษะการโอสถต่างๆ นาๆ มันก็ยังเป็นประโยชน์แก่เย่หยวนมาจนถึงทุกวันนี้
และในเผ่าอสูร ของพวกนี้มันก็เทียบได้กับสมบัติที่เย่หยวนได้รับสือทอดมาเลย
เมื่อเปิดดูทฤษฎีบนชั้นสี่จนสิ้น เย่หยวนก็เดินเข้าไปยังชั้นห้าต่อทันที
เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่ามันจะมีอะไรที่เหนือล้ำค่ามากกว่าทฤษฎีเหล่านี้ไปได้อีก!
ชั้นห้านั้นว่างเปล่าโดยมีแต่ลูกแก้วแสงลูกหนึ่งตั้งวางอยู่กลางอากาศ
เย่หยวนรู้สึกสงสัยมากจนอดไม่ได้ที่ต้องเอามือไปกดดู
ฟุบ!
ในวินาทีนั้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลก็ไหลเข้ามาในสมองของเย่หยวน
“นี่มัน… มรดกสืบทอดจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล?”
จิตของเย่หยวนนั้นสั่นคลอน เขากลับมาตั้งสติและรับรู้ได้ทันทีว่าข้อมูลเหล่านี้มันมหาศาลเพียงใด
“แต่ว่า… มรดกนี้เหมือนจะไม่มีเรื่องที่เขาเรียนรู้ยอดเต๋าเลย มันกลับอัดแน่นไปด้วยความรู้เรื่องพื้นฐานของเผ่าอสูรแทน หรือว่า…”
ในมรดกพวกนี้มันมีอธิบายคุณประโยชน์ของสมุนไพรนาๆ ชนิด รายละเอียดจองการหลอมโอสถ รวมไปถึงยอดศาสตร์หลอมอสูรที่เหนือล้ำ
ทุกสิ่งอย่างที่มีในชั้นล่าง แก้วแสงนี้มีมันไว้อย่างอัดแน่น แต่มันกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นี่คือสิ่งที่นักหลอมโอสถใช้เวลาทั้งชีวิตทำความเข้าใจศาสตร์แห่งโอสถ!
สำหรับนักหลอมโอสถที่คิดจะเข้าใกล้ยอดเต๋า พวกเขาย่อมต้องเดินไปตามทางของตัวเองเท่านั้น
เหมือนเย่หยวน ที่แม้จะได้นับมรดกสืบทอดมาจากจอมเทพนิรันดร์ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเดินทางของตัวเอง
และมีมรดกสืบทอดของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนี้มันเหนือล้ำกว่ามรดกสืบทอดที่จอมเทพนิรันดร์ทิ้งไว้อย่างมากมาย
ทั้งสองอย่างนี้มันอยู่กันคนละระดับ
ในวินาทีนั้น เย่หยวนก็ได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่หยวน “มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นช่างกล้า! เขาต้องการให้ข้าเติบโตขึ้นและไปเป็นคู่แข่งของเขา แล้วใช้การต่อสู้นั้นเพื่อบรรลุเพิ่มระดับตนเอง! ดูท่า ‘อย่าถาม’ นี้มันคงไม่ได้เป็นอย่างที่โลกหล้าคิดแน่! สิ่งที่เขาต้องการหานั้นคือผู้ที่ทำลายจิตของเขาลงได้ หาใช่ตัวหมากในมือ! หึ ดูท่าโอสถบรรพกาลเองก็คงไม่คิดว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะกล้ามากถึงขนาดนี้ใช่ไหม? บางทีวันข้างหน้าอาจจะได้มีโอสถบรรพกาลคนที่สองเกิดขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้!”
…………………………