เพื่อใช้สถานที่ในการจัดงานบรรยายครั้งใหญ่ ลานประลองเลือดถึงขั้นประกาศหยุดพักชั่วคราวเป็นเวลาครึ่งเดือน
แม้การหยุดแบบนี้จะก่อเกิดความสูญเสียจำนวนมาก แต่อินทรีโลหิตก็หาได้สนใจไม่เลย!
ภายในลานประลองเลือดสามารถรองรับผู้คนได้จำนวนกว่าหลายสิบหมื่น
ณ ปัจจุบัน บนลานประลองหลักมีเพียงเย่หยวนยืนตระหง่านอยู่แค่คนเดียว
แต่ร่างนี้กลับทรงอิทธิพลและทรงพลังอย่างยิ่งภายในสายตาของกลุ่มนักปรุงโอสถปีศาจ
นั้นคือการดำรงอยู่ที่พวกเขาเลื่อมใสและสรรเสริญ!
เหล่านักสู้ต่างเคารพในความแข็งแกร่ง
เหล่านักปรุงโอสถปีศาจล้วนเคารพต่ออำนาจ!
พวกเขาล้วนเคารพนับถือเย่หยวนจากก้นบึ้งของหัวใจ!
ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้อง เย่หยวนค่อยๆเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“เต๋าแห่งโอสถเป็นสิ่งที่ซับซ้อนไร้ซึ่งระเบียบ ดูราวกับเป็นสรรพสิ่งอย่างสับสนไปหมด แต่ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถแยกปลายเส้นด้ายด้านหนึ่งได้ เจ้าย่อมสามารถสาวไปถึงรังอีกฝั่งได้เช่นกัน”
“ศาสตร์แห่งโอสถหาใช่แค่การหลอมกลั่นโอสถเฉยๆและตายตัว หากเข้าใจว่ามันเป็นเพียงศาสตร์หนึ่งที่น่าเบื่อหน่าย เจ้าก็จะกลายเป็นนักหลอมโอสถธรรมดาทั่วไป”
“ศาสตร์แห่งโอสถคือยอดเต๋า! แกนแท้ของโอสถมิได้อยู่ที่ตัวโอสถ”
“….”
สุ่มเสียงเย่หยวนดังกึกก้องทั่วทั้งลานประลองเลือด
นักปรุงโอสถุปีศาจทั้งหมดต่างนิ่งเงียบรับฟังเย่หยวนราวกะบถูกมนต์สะกด
หลังจากที่เย่หยวนเลื่อนระดับชั้นขึ้นเป็นจอมเทพโอสถ ความเข้าใจของเย่หยวนต่อเต๋าโอสถก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
การบรรยายชนิดที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยในเวลานี้ เสมือนกับการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยภายในบ้าน
แต่นักปรุงโอสถปีศาจแต่ละคนต่างหูพึง วาจาสอนแต่ละคำของเย่หยวนล้วนเป็นดั่งอัญมณีล้ำค่าแห่งยอดเต๋า
การบรรยายครั้งนี้ของเย่หยวนดำเนินต่อเนื่องถึงสิบห้าวันโดยไม่มีหยุดพักใดๆ
สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้า การมิได้นอนพักสิบห้าวันกลับไม่นับเป็นอันใด แต่การบรรยายถึงศาสตร์แห่งเต๋าเช่นนี้จำต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก สำหรับคนธรรมดาทั่วไป สามารถยืนพูดได้ห้าวันติดก็นับว่าเก่งมากแล้ว
เย่หยวนที่ยืนบรรยายเป็นเวลาสิบห้าวันรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้ แทบไม่มีใครเคยเห็นบนผืนพิภพมาก่อน
เพื่อประโยชน์ต่อการบรรยายครั้งนี้ เย่หยวนได้จัดเตรียมเนื้อหาคำสอนต่างๆที่เขาเรียนรู้มาตั้งแต่ขึ้นกลายจอมเทพโอสถ
ในเวลานี้เอง เขายังคงบรรยายต่อไปอย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่นยิ่ง ปราศจากอาการเอื่อยเฉื่อยแม้แต่น้อย
เย่หยวนเริ่มต้นบรรยายตั้งแต่เนื้อหาที่ตื้นเขินไปยังลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ในวันแรกที่ทุกคนเริ่มฟังเสมือนกับเป็นการปูพื้นแห่งปัญญา ยังมีหลายจุดนักที่พวกเขายังไม่เคยทำความรู้จักและเข้าใจ ยามนี้เมื่อได้ฟังราวกับรู้แจ้งในคราเดียว
วันที่สองเย่หยวนเริ่มเจาะละเอียดเนื้อหาที่ลึกซึ้งมากขึ้น มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้สึกดั่งว่ามีไอหมอกอยู่ในก้อนเมฆ
วันที่สาม..วันที่สี่..วันที่ห้า…
เนื้อหาที่เย่หยวนกล่าวถึงยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่นักปรุงโอสถระดับสามเองก็ยังรู้สึกว่า ตนเริ่มที่จะไม่เข้าใจแล้ว
จนท้ายที่สุด ก็ไม่เหลือใครเข้าใจแม้แต่คนเดียว
พวกเขาตระหนักได้ว่า สิ่งที่เย่หยวนกำลังกล่าวถึงนั้นยากมาก แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์หายากที่จะมีโอกาสได้ฟัง
เย่หยวนหยิบใช้วิธีที่ง่ายที่สุดในการอธิบายและแสดงให้เห็นภาพแกนแท้ของศาสตร์แห่งโอสถ
แม้พวกเขาจะดูไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่นี่ก็เป็นประสบการณ์ชนิดหนึ่งที่ชั่วชีวิตนี้พวกเขาอาจหาไม่ได้อีกแล้ว
ในอดีตที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือเมฆหมอกหนาทึบ และไม่สามารถมองเห็นปลายทางที่ชัดเจนได้เลย
แต่ตอนนี้เปรียบเสมือนว่า เย่หยวนช่วยผลักดันเมฆหมอกที่หนาทึบเหล่านี้ออกไป เพื่อให้พวกเขามองเห็นโดยรอบชัดแจ้งยิ่งขึ้น
ซึ่งโอกาสเช่นนี้หาใช่ว่าทุกคนจะได้รับกัน!
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่ากลิ่นอายลึกลับที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้นั้นมันคืออะไร
แต่กลิ่นอายลึกลับเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้พัฒนาขึ้นจากความอ่อนแอไปสู่ความแข็งแกร่ง
ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ค้นพบว่า เสียงของเย่หยวนในยามนี้แม้นอยู่ใกล้แต่กลับรู้สึกห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ
เย่หยวนยังคงยืนบรรยายเสียงดังฟังชัดอยู่กลางลานประลองดังเดิม แต่สุ่มเสียงของเขาเสมือนกับว่าดังขึ้นจากสุดขอบฟ้าไกล
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“รัศมีแห่งเต๋า! นั้นคือรัศมีแห่งยอดเต๋า!”
“ทำนองแห่งยอดเต๋า! นี่ต้องเป็นทำนองแห่งยอดเต๋าแน่นอน! คำบรรยายของท่านปรมาจารย์ก่อให้เห็นเสียงสะท้อนจากยอดเต๋าได้! ทุกคำกล่าวของเขาในตอนนี้ล้วนกอปรด้วยเต๋า!”
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ข้าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้จริงๆ! ทำนองแห่งยอดเต๋า กล่าวกันว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวบนมหาพิภพ ยามที่ท่านบรรพชนโอสถกล่าวบรรยายในตอนนั้น!”
“สวรรค์! หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะมีท่านบรรพชนโอสถถือกำเนิดขึ้นเป็นคนที่สองบนมหาพิภพ!? ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีสำเร็จถึงระดับใดแล้วกันแน่?”
“หยุดพล่ามกันเสียที! จงมุ่งความสนใจกับการบรรยาย! โอกาสเช่นนี้อาจมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต! หากเขาสามารถเข้าใจได้แม้จะเพียงเศษเสี้ยว แต่นั่นก็มากเกินพอที่จะเป็นประโยชน์ต่อเราชั่วชีวิต!”
…
ในปัจจุบัน เย่หยวนจมลงสู่ก้นบึ้งแห่งมหาสมุทรเต๋าแล้ว ยามนี้ราวกับอยู่ในสภาพสูญกาศตัดสภาวะไร้ห้วงเวลาใดๆมาเกี่ยวข้อง
คำสั่งสอนแห่งเต๋ากำลังทำให้คนอื่นก้าวหน้าไปอีกขั้น หรือหาใช่การย่ำความรู้เพื่อพัฒนาสำหรับตนเองไปในตัว?
ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ เย่หยวนเอ่ยบรรยายเกี่ยวกับความเข้าใจของตนเองออกมาให้เป็นรูปธรรมที่สุดเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการทบทวนและสรุปความเข้าใจตนเองและกลั่นกรองจนตกผลึก
ดังนั้นเขาจึงรู้แจ้งเห็นสรรพสิ่งชัดเจนขึ้น!
ข้อสงสัยและปริศนาที่ยังไม่เคยถูกไข ณ ช่วงเวลานี้ได้ถูกนำมารวมกันและชี้แจ้งให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หวู่เฉินเฝ้ามองภาพฉากนี้ด้วยความตกใจ พลางเอ่ยพึมพำอย่างไม่น่าเชื่อขึ้นว่า
“นั้นเป็นทำนองแห่งยอดเต๋าจริงๆ! ตำน่านเคยกล่าวไว้ว่า ในสมัยนั้นที่ท่านบรรพชนโอสถสั่งสอนกลุ่มจอมเทพโอสถระดับแปดอยู่นั้น ทันใดนั้นพลันเกิดปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้ได้ดึงดูดเต๋าต่างๆมากมาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงได้ชื่อว่า บรรพชนโอสถ! หรือเป็นไปได้ไหมว่า ระดับความเข้าใจของเย่หยวนจะอยู่ในระดับชั้นเดียวกับเขาแล้ว? แต่…ตอนนี้เย่หยวนเป็นแค่จอมเทพโอสถระดับสองเท่านั้น!”
ไม่รู้เลยว่าวันเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเพียงใด ทุกคนพลันได้สติตื่นขึ้นมา
เมื่อพวกเขากวาดสายตาจับจ้องไปบนลานประลองอีกครั้ง เย่หยวนกลับหายไปเสียแล้ว
“ท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีออกไปแล้ว!”
“หื้ม? ไฉนข้ารู้สึกว่า…ข้ากำลังจะเลื่อนระดับชั้น!”
“ข้าเองก็ด้วย! การบรรยายของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรีทำให้ข้ารู้แจ้งอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับเต๋าสั่งสมอยู่ในที่แห่งนี้ ในที่สุดระดับชั้นที่ข้าเคยติดก็เริ่มคลายออก!”
“ท่านบรรพกาลราตรีเปรียบเสมือนเทพเซียนโดยแท้! บางทีเขาอาจกลายมาเป็นท่านบรรพชนโอสถคนที่สองก็เป็นได้!”
…
เมื่อพวกเขาติดอยู่ในอาณาจักรพลังนานแรมปีและมิได้พัฒนาไปต่อ ตราบใดที่พรสวรรค์ของเขามิได้แย่เกิน การบรรยายครั้งนี้นับว่าช่วยเหลือพวกเขาได้ไม่มากก็น้อย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ แต่อย่างน้อยความแกร่งกล้าของคนเหล่านี้ก็พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก
คล้อยหลังที่พวกเขาเดินทางออกไปจากลานประลองเลือด ด้วยความเร่งรีบของทุกคน แต่ละคนเร่งควานหาสถานที่พักพึงทันทีเพื่อปลีกวิเวกเก็บตัว
ภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เบื้องหน้าหุบเขาถงเทียนจำลองปรากฏเป็นร่างของเย่หยวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งยอดเต๋าอันไร้ขอบเขต
เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้นก่อนเผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนก้าวขอบเขตเดิมของเขาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้วโดยไม่รู้ตัว และบรรลุถึงระดับสองขั้นสุด!
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า การปลูกต้นหลิวโดยมิได้ตั้งใจ กลับกลายมาเป็นร่มเงาได้ในภายหลัง การบรรยายครั้งนี้ทำให้ข้าสามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ ไม่เพียงแค่สร้างโอสถตราสวรรค์บำรุงฤทัยเท่านั้น แต่ยังเปิดประตูแห่งบัญญัติเทพแห่งถงเทียนสู่ระดับสามได้อีกด้วย!”
หวูเฉินเอ่ยถามขึ้นเจือน้ำเสียงประหลาดใจว่า
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับชั้นใดแล้ว?”
ศาสตร์แห่งโอสถเปรียบดั่งนามอธรรมไม่จีรัง ต่อให้นำเขาเปรียบเทียบกับจอมเทพโอสถระดับสองคนอื่นๆ แต่ในด้านความแกร่งกล้ากลับแตกต่างกันเสมือนฟ้ากับเหว
ดังนั้นแล้วเพียงระดับชั้นกลับไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
บางทีจอมเทพโอสถระดับสองอาจสามารถหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ได้มากกว่าจอมเทพโอสถระดับสองคนอื่นๆ
แต่ปัจจุบัน เย่หยวนเหนือกว่าระดับชั้นนั้นอย่างชัดเจน แค่หลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองกลับกลายเป็นเรื่องง่ายดายแล้ว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่หวู่เฉินเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“อืม…ข้าก็ไม่สามารถกล่าวได้เช่นกัน แต่ตอนนี้ข้าคิดว่า โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองหาใช่หรือสร้างความลำบากใดให้ข้าอีกแล้ว?”
ม่านตาดำของหวู้เฉินหดแคบในทันใด เขาค่อนข้างแปลกใจยิ่งต่อคำกล่าวของเย่หยวน
เขารู้ว่าเย่หยวนหาใช่คนที่จะกล่าวอวดอ้างไปเรื่องโดยไม่มีมูลเหตุ
สำหรับเย่หยวนที่กล้ากล่าวออกมาขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องมีความมั่นใจในระดับนึง
การหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองหาใช่ปัญหา? คำกล่าวแบบนี้คงมีแต่ท่านบรรพชนโอสถเท่านั้นกระมังที่กล้ากล่าวแบบนี้?
“เมื่อนานมาแล้ว ท่านบรรพชนโอสถเคยก็เคยเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้เช่นกันในขณะที่บรรยาย หรือเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะอยู่ในระดับชั้นเดียวกับเขาแล้ว?”
หวูเฉินเอ่ยขึ้นในทันที
…………………………………