บทที่ 469 พี่คิดจะทำลายชื่อเสียงผมหรือไง?
เยี่ยไป๋ไอ้หมอนี่คงจะเป็นสุนัขจนตรอกแล้วสินะ?
แต่ไม่น่าแปลก ลั่วเฉินไม่ได้บทนี้ไปก็เท่ากับไร้ประโยชน์
เขาพูดไว้แต่แรกแล้ว ขอแค่เขายังอยู่ที่กวงเย่าอีกหนึ่งวัน ไม่ช้าก็เร็วลั่วเฉินจะคลานกลับมาหาเขาเอง!
คิดถึงเรื่องนี้ โจวเหวินปินยิ่งมีความสุข ค่อยๆ เดินเยื้องย่างเข้าไป “เยี่ยไป๋ นายมาทำอะไรที่นี่ ทีมผู้กำกับกำหนดบทหลินลั่วเฉินให้กงซวี่ของเราแล้ว นายวิ่งมาโวยวายที่นี่ จะเสียมารยาทมากเกินไปหน่อยมั้ง!”
ได้ยินโจวเหวินปินพูดจาไร้มารยาททันทีที่มาถึง ใบหน้ากงซวี่ที่อยู่ด้านข้างเย็นเยียบขึ้นมาทันที
เยี่ยหวันหวั่นกลับพาดขา ใช้มือหนึ่งเท้าศีรษะ มองโจวเหวินปินเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “อ้าวเหรอ? กงซวี่ได้บทหลินลั่วเฉินไปงั้นเหรอ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
เวลานี้โจวเหวินปินที่กำลังได้ใจไม่ทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติของกงซวี่ เห็นท่าทางไม่ยอมรับความเป็นจริงของเยี่ยไป๋แบบนี้ ก็แสยะยิ้ม “กงซวี่ของพวกเรากำลังยุ่งกับการเตรียมตัวเล่น ‘มังกรผงาด 2’ ไม่มีเวลามารับมือการโวยวายไร้สาระของนายหรอก!”
ลั่วเฉินจบเห่แล้ว เยี่ยไป๋ก็ไม่มีทางเป็นปฏิปักษ์กับเขาได้อีก และยิ่งไร้ประโยชน์สำหรับฉู่หงกวง ส่วนเขากลับมีกงซวี่เทวดาหน้าโง่ที่มีเงินคอยคุ้มครอง เวลานี้ไม่ต้องคอยคิดถึงไอ้หนุ่มไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนี่แล้ว
โจวเหวินปินพูดจบก็หันไปบอกกับรปภ.ที่คอยอยู่ตรงประตู “ยามล่ะ ยังไม่รีบไล่คนคนนี้ออกไปอีก บริษัทจ้างมาอยู่เฉยๆ เหรอไง? เสียเวลากงซวี่ของเราท่องบท พวกแกไสหัวไปพร้อมกับเขาเลย!”
เวลานี้เอง บรรดารปภ.ไม่ทันจะเคลื่อนไหว กงซวี่ที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นตบโต๊ะแต่งหน้าเสียงดัง ‘ปัง’ ตวาดออกมาอย่างทนไม่ไหว “โจวเหวินปิน หุบปากเดี๋ยวนี้! ใครบอกว่าผมจะเล่นมังกรผงาด 2 ใครบอกว่าผมจะรับบทหลินลั่วเฉิน?”
โจวเหวินปินที่กำลังอวดศักดาอย่างได้ใจ ได้ยินคำนี้เข้าก็พลันนิ่งอึ้ง เหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของกงซวี่ “เอ๊ะ…กงซวี่ นายพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? ไม่ใช่ว่านายให้ฉัน…”
กงซวี่ขมวดคิ้ว ความโอหังเฉพาะตัวของเขาเผยออกมาจากหว่างคิ้ว เสริมให้ใบหน้าที่สว่างไสวอยู่แล้วยิ่งเด่นสะดุดตา “ผมให้พี่ทำอะไร ใครให้พี่ไปรับบทหลินลั่วเฉินโดยพลการ? ลั่วเฉินเป็นคนเล่นบทหลินลั่วเฉินมาตั้งแต่แรก ฝีมือการแสดงก็ดีขนาดนี้ ใครๆ ก็รอการกลับมาของเขา พี่กลับสอดมือเข้ายุ่ง ไปแย่งบทของนักแสดงในบริษัทเดียวกันมา พี่เป็นคนแบบไหนกันแน่ มีความปรองดองอยู่ในใจสักนิดบ้างไหม? ตอนนี้พี่ยังคิดจะเอาน้ำสกปรกมาสาดผมอีก พี่คิดจะทำลายชื่อเสียงผมหรือไง?”
โจวเหวินปินยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย ถูกคำพูดของกงซวี่ด่าจนเบลอ ต้องตั้งสติอยู่นาน
ผู้ช่วยทั้งสองด้านข้างจ้องมองท่าทางยึดถือคุณธรรมของกงซวี่ด้วยอาการตาโตอ้าปากค้าง
วันนี้กงซวี่…ผีเข้าหรือเปล่า?
แล้วก็ ทำลายชื่อเสียงของเขากับผีน่ะสิ
คุณชายคนนี้แค่ทำลายชื่อเสียงตัวเองก็มากพอแล้ว ยังจะมีใครทำลายชื่อเสียงเขาได้อีก?
อย่าพูดถึงคนอื่นเลย แม้แต่เยี่ยหวันหวั่นที่อยู่ด้านข้าง มุมปากยังกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ใครบอกว่าฝีมือการแสดงของกงซวี่ห่วยแตก?
ฝีมือการแสดงของหมอนี่…ดีมากเลยชัดๆ…
ถ้าหากไม่รู้อะไร คงจะเชื่อว่าเขาเป็นหนุ่มรักความยุติธรรมเข้าจริงๆ!
เนิ่นนานกว่าโจวเหวินปินจะตั้งสติได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเปลี่ยนสีหน้ามองไปที่กงซวี่ “กงซวี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ นายบอกว่าจะรับบทหลินลั่วเฉินให้ได้ ฉันถึงได้…”
………………………………………………….
บทที่ 470 เปลี่ยนคนมาทำ
โจวเหวินปินยังไม่ทันพูดจบก็ถูกกงซวี่ตวาดใส่หน้า “สารเลว! ใครไปตกลงอะไรกับพี่? พี่หมายความว่ายังไง พี่กำลังบอกว่าผมเป็นพวกชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่น ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นพวกหน้าไม่อายที่แย่งบทของนำแสดงร่วมบริษัทงั้นเหรอ?”
กงซวี่ตั้งท่าว่าใครกล้าทำลายชื่อเสียงเขาต่อหน้าพี่เขยในอนาคต เขาจะกัดคนคนนั้นให้ตาย!
เห็นกงซวี่พูดโกหกตาใสอยู่ตรงนั้น สีหน้าของโจวเหวินปินดำคล้ำราวกับก้นหม้อ ทว่าปากกลับฝืนพูดต่อว่า “จะเป็น…เป็นไปได้ยังไง…ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว…”
กงซวี่ถึงได้พึงพอใจ แค่นเสียงหัวเราะ “ถ้างั้น พี่ไม่ได้ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ทำอะไรพลการลับหลังผมหรอกเหรอ! เรื่องที่พี่ก่อขึ้นก็จัดการแก้ไขเองแล้วกัน! ตอนนี้พี่รีบโทรหาทีมผู้กำกับ พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน บทนี้ผมรับไม่ได้!”
บทที่ตกมาถึงมือแล้วจะปฏิเสธได้ยังไง แล้วยังจะส่งให้ลั่วเฉินกับมืออีก?
โจวเหวินปินได้ยินดังนั้น ใบหน้ายิ่งบูดบึ้ง ฝืนอดกลั้นความไม่พอใจในใจ โน้มเข้าหากงซวี่แล้วพูดเอาอกเอาใจว่า “กงซวี่ ตอนนี้ทีมผู้กำกับเลือกคนไว้หมดแล้ว กำลังจะประกาศเดี๋ยวนี้แล้ว นายจะบอกว่าไม่เล่นกะทันหัน ทางฉันจะอธิบายกับทีมผู้กำกับยังไง! เรื่องนี้…ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
โจวเหวินปินย่อมไม่ปล่อยบทนี้ให้หลุดจากมือไปง่ายๆ
เยี่ยหวันหวั่นจะไม่รู้ความคิดของโจวเหวินปินได้ยังไง เธอหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “หัวหน้าโจวถ่อมตัวจังเลย ผมเพิ่งจะคุยเรื่องการทำงานด้วยกันกับทีมผู้กำกับเสร็จ พอกลับถึงบริษัทก็ได้รับข่าวว่าบทพระรองถูกเปลี่ยนตัว ประสิทธิภาพการทำงานของหัวหน้าโจวเป็นที่รู้กันทั่วเลยนะ”
โจวเหวินปินกำลังหงุดหงิด จึงตวาดเยี่ยไป๋ “ฉันกำลังคุยกับกงซวี่ มีที่ให้นายเข้ามายุ่งที่ไหน นายเป็นใคร!”
โจวเหวินปินเพิ่งพูดจบ กงซวี่ก็ตบโต๊ะตวาดเสียงดังทันควัน “โจวเหวินปิน พี่พูดกับพี่เยี่ยแบบนี้ได้ยังไง!”
พี่เยี่ย…?
โจวเหวินปินได้ยินคำเรียกขานที่กงซวี่เรียกเยี่ยไป๋ ดวงตาพลันเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
กงซวี่เรียกเจ้าเยี่ยไป๋ว่า ‘พี่เยี่ย’ อย่างนั้นเหรอ?
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน?
กงซวี่ลูบๆ หน้าม้าที่แตกแถวบนหน้าผาก กลิ่นอายสูงส่งโอหังรอบตัวแผ่กดดันออกมา “อ้อเหรอ เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม ดี! ถ้าพี่ทำไม่ได้ งั้นก็เปลี่ยนคนมาทำแล้วกัน”
โจวเหวินปินได้ยินคำนี้ เหมือนถูกจี้จุดตายทันใด ใบหน้าซีดเผือดไปหมด
กงซวี่คุณชายไร้สมองคนนี้ เวลาอารมณ์ดีก็ว่าง่าย แต่ถ้ามีอารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้จริงๆ หากยั่วโมโหเสียจนจะเปลี่ยนผู้จัดการ ถ้างั้นก็จบสิ้นกันพอดี…
โจวเหวินปินไม่มีเวลาไปสนใจเยี่ยไป๋แล้ว รีบเอ่ยทันทีว่า “กงซวี่ ครั้งนี้ฉันคิดไม่รอบคอบเอง เป็นความผิดฉันเอง ฉันไม่น่าตัดสินใจอะไรเองโดยไม่ปรึกษานายก่อน ฉันจะไปอธิบายกับทีมผู้กำกับเดี๋ยวนี้ จะต้องแก้ไขเรื่องนี้ได้แน่นอน!”
โจวเหวินปินพูดจบก็เดินหลบฉากไปด้านข้าง โทรหาทีมผู้กำกับอย่างร้อนใจเพื่อเก็บกวาดเรื่องวุ่นวาย…
เรื่องในห้องแต่งหน้าโหวกเหวกเกินไป ตอนนี้ด้านนอกมีนักแสดงและพนักงานในบริษัทมุงดูอยู่จำนวนไม่น้อย เห็นโจวเหวินปินถูงกงซวี่ต่อว่าไม่มีชิ้นดีก็พากันซุบซิบนินทา
เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จ โจวเหวินปินเช็ดเหงื่อ เดินไปหากงซวี่ด้วยความกังวล “กงซวี่ ฉันทำตามที่นายต้องการแล้ว อธิบายกับทีมผู้กำกับแล้ว…”
…………………………………………………………………