บทที่ 343 ผู้เชี่ยวชาญท่านไหน?
ฟังคำพูดของโอวหยางอวี้จบ เหลียงซือหานกับฟางซิ่วหมิ่นแม่ลูก แทบจะตกใจจนกรามค้าง
ตอนแรกหลงคิดว่าของที่เยี่ยหวันหวั่นมอบให้เป็นอัปมงคลอย่างมาก ไม่เคยคิดเลยว่า โอวหยางอวี้กลับพูดว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง…
เหลียงเจียหาวเห็นว่าเหลียงซือหานกับฟางซิ่วหมิ่นยังคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรอีก พลันถลึงตามองอย่างเกรี้ยวกราด ยังขายหน้าคนในคืนนี้ไม่พออีกอย่างนั้นหรือ?!
“กลับ!”
เหลียงเจียหาวถลึงตามองฟางซิ่วหมิ่นอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อเห็นเหลียงเจียหาวที่ไม่เคยโมโห บันดาลโทสะรุนแรงขนาดนี้เป็นครั้งแรก สองแม่ลูกพลันละอายใจ ไม่พูดสิ่งใด ทำได้เพียงเดินตามหลังเหลียงเจียหาวออกไป
…
ณ ที่นั่งประธาน โอวหยางอวี้ดูท่าจะยังไม่ยอมตัดใจ เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ตาเฒ่าเยี่ย แลกกันไหม พูดอะไรบ้างสิ!”
เยี่ยหงเหวยนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่ของขวัญวันเกิดฉันสักหน่อย”
เมื่อครู่นี้เยี่ยหวันหวั่นพูดแล้วว่า งานศิลปะชิ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอนำมามอบให้
เยี่ยหวันหวั่นได้ยินดังนั้น นัยน์ตาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขยับเข้าใกล้เยี่ยหงเหวย เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “คุณปู่คะ งานศิลปะชิ้นนี้ แม้ว่าหนูจะไม่ใช่คนให้ แต่เป็นคุณพ่อให้คุณปู่ค่ะ”
“หืม?”
เยี่ยหงเหวยมองไปทางเยี่ยเส่าถิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เวลานี้ เยี่ยเส่าถิงตกใจ เขาไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่…
“พ่อคะ…”
เยี่ยหวันหวั่นเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว คล้องแขนเยี่ยเส่าถิง พาเยี่ยเส่าถิงไปยังด้านหน้าเยี่ยหงเหวย
“คุณปู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อใช้เวลาเกือบครึ่งปี ขอมาจากผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งค่ะ” เยี่ยหวันหวั่นพูดโกหก
“ผู้เชี่ยวชาญท่านไหน?” เยี่ยหงเหวยเอ่ยถาม
“คุณปู่ ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นละทางโลกไปนานแล้ว ก็เลยไม่ยอมบอกชื่อ…” เยี่ยหวันหวั่นกลัวว่าบิดาจะตอบไม่ถูก จึงทำได้เพียงโกหกต่อไป
สำหรับคำโกหกนี้ เยี่ยหงเหวยกลับไม่ได้คิดมาก ในเมื่อของเป็นของจริง ข้อนี้ โอวหยางอวี้ได้พิสูจน์แล้ว
“เส่าถิง แกเป็นคนเตรียมของขวัญชิ้นนี้ให้ฉันจริงเหรอ?” คืนนี้ เยี่ยหงเหวยได้มองลูกชายคนโตที่ทำให้เขาผิดหวังอย่างยับเยินเต็มๆ ตาเป็นครั้งแรก
“คือว่า…” เยี่ยเส่าถิงเหลือบมองเยี่ยหวันหวั่นข้างกาย เดิมทีไม่อยากจะยอมรับ ทว่าลูกสาวใช้สายตาเร่งเร้าเขาอยู่ตลอด สุดท้ายถึงได้พยักหน้ารับ “ใช่ครับคุณพ่อ…หวังว่าคุณพ่อจะชอบ”
สีหน้าของเยี่ยหงเหวยอ่อนโยนลงหลายส่วนอย่างยากที่จะเห็นสักที “นานๆ ทีแกจะมีน้ำใจแบบนี้”
เยี่ยหงเหวยพูดจบ ปรายตามองโอวหยางอวี้แล้วลุกขึ้น นำสิ่งของที่ทำจากกระดูกกลับมาจากมือของโอวหยางอวี้
ในเมื่อเป็นของที่ให้เขา เขาย่อมมีสิทธิตัดสินใจจะทิ้งหรือเก็บไว้แล้ว
“ขี้งกขนาดนี้เชียว ดูสักหน่อยก็ไม่ได้?” โอวหยางอวี้ไม่พอใจ
เยี่ยหงเหวยไม่ได้สนใจ นำสิ่งที่ทำจากกระดูกวางไว้ข้างกาย แล้วเอ่ยถามว่า “เส่าถิง ของชิ้นนี้ มีชื่อเรียกว่าอะไร?”
ระดับความล้ำค่าของของที่ทำจากกระดูก เหนือกว่า ‘มังกรทะยาน’ ของโอวหยางอวี้ เยี่ยหงเหวยย่อมอยากรู้ชื่อเป็นธรรมดา
เยี่ยเส่าถิงไม่อาจตอบได้อยู่แล้ว เยี่ยหวันหวั่นจึงรีบตอบ “คุณปู่คะ เพื่อนของคุณพ่อท่านนั้นบอกว่า ของชิ้นนี้ไม่มีชื่อ รอผู้มีวาสนามาตั้งให้ ไม่อย่างนั้นคุณปู่ช่วยตั้งให้หน่อยสิคะ!”
“อย่างนั้นเหรอ?” เยี่ยหงเหวยลองไตร่ตรองอย่างละเอียด นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้น…เรียกว่าปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเป็นอย่างไร…”
เยี่ยหงเหวยพึงพอใจในของที่ทำจากกระดูกชิ้นนี้มาก จึงตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง
โอวหยางอวี้ที่อยู่ด้านข้างลูกหนวด ส่งเสียงเฮอะอย่างไม่พอใจพูดว่า “ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย…ก็เหมาะกับของชิ้นนี้อยู่…”
ได้ยินดังนั้น ผู้คนพากันส่งเสียงสนับสนุนชมเชยขึ้น
หวงหมิงคุนเห็นว่าไม่เพียงทำให้เยี่ยหวันหวั่นเสียหน้าไม่ได้กลับยังทำให้เธอมีหน้ามีตาอีก ใบหน้าดำคล้ำ ตอนแรกยังคิดจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่เมื่อเห็นสัญญาณจากสายตาของเยี่ยอีอีที่ส่งผ่านผู้คนมาให้ ถึงได้ถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ
…………………………………..
ตอนที่ 344 การรวมตัวกันของครอบครัว
หลังจากนั้น เยี่ยหวันหวั่นและคุณพ่อเยี่ยเส่าถิงก็กลับไปที่นั่ง
โต๊ะพวกเขาอยู่มุมด้านในสุด นอกจากครอบครัวพวกเขาแล้วไม่มีคนอื่น
หลังจากที่ต่างคนต่างนั่งที่ของตัวเองแล้ว ทั้งครอบครัวก็เงียบงัน
เยี่ยหวันหวั่นนั่งตรงที่นั่งว่างข้างเยี่ยมู่ฝาน เผชิญหน้ากับพ่อแม่ เมื่อกี้ตอนที่เยี่ยหวันหวั่นแสดงความเกลียดและกำเริบเสิบสานใส่ครอบครัวน้าชาย รวมถึงการทำตามใจตัวเองต่อหน้าคุณปู่และทุกคนในงาน ทำได้อย่างลื่นไหล เวลานี้กลายเป็นความสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไร
เยี่ยมู่ฝานเอาแต่ก้มหน้าดื่มเหล้า เยี่ยเส่าถิงนิ่งเงียบมีสีหน้าสับสน สายตาเหลียงหวั่นจวินเอาแต่จ้องมองไปที่ลูกสาว ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรหรือสื่อสารยังไงกับลูกสาว
บรรยากาศแลดูต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
เยี่ยหวันหวั่นจิกนิ้วมือที่วางไว้ข้างลำตัว คิดอยากจะเอ่ยปากมาก แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากก็กลับกลืนลงไปอีก
ก่อนหน้าที่จะมาคิดไม่รู้กี่รอบว่าเจอพวกเขาแล้วควรจะพูดอะไร ทำอะไรดี แต่ตอนนี้ในสมองกลับสับสนไปหมด
เธอควรจะพูดอะไร?
ขอโทษเหรอ?
ก่อนหน้านี้เธอทำเรื่องเลวทรามพวกนั้น ถึงแม้จะพูดขอโทษเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็ไม่มีประโยชน์
เธอออกแรงพยายามทำเรื่องมากมายขนาดนี้ เธอตั้งใจเรียนอย่างสุดกำลัง จนมาถึงตอนนี้ กลับพบว่าไม่มีประโยชน์ ใช้อะไรไม่ได้เลย หลังได้เห็นใบหน้าที่แก่ชราและซีดเซียวของพ่อแม่ เห็นพ่อแม่โดนครอบครัวน้าชายน้าสะใภ้ดูถูกต่อหน้าทุกคน ความรู้สึกละอายในใจและโทษตัวเองค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหายนะ ยิ่งไม่มีทางเผชิญหน้าพวกเขาเข้าไปใหญ่…
“หนู…” เยี่ยหวันหวั่นอ้าปาก เสียงแหบแห้งผิดปกติ
จนสุดท้าย เหลียงหวั่นจวินเห็นลูกสาวท่าทางแบบนี้ ทนไม่ไหว และไม่สนว่าลูกสาวอาจจะขับไล่และรังเกียจตัวเองอีก เธอยังคงอาศัยสัญชาตญาณความเป็นแม่ยื่นมือไปลูบผมลูกสาวเบาๆ แววตาเต็มไปด้วยความรัก “หวั่นหวันผอมไปแล้ว… อยู่ข้างนอกคงลำบากมากสินะ…”
ได้ยินประโยคนี้ เยี่ยหวันหวั่นอึ้งไปก่อน จากนั้นน้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาทันที หยดติ๋งตกลงไปบนโต๊ะด้านหน้า
ส่วนน้ำตาหยดนี้ของเยี่ยหวันหวั่นเหมือนดั่งสวิตช์เปิดปิด ทำลายความเงียบงันในเวลานี้
เหลียงหวั่นจวินก็ไม่สนใจคนอื่นแล้ว รีบเดินผ่านสามีและลูกชายมายังด้านหน้าลูกสาว “หวั่นหวัน เป็นอะไรไป? ทำไมร้องไห้ล่ะ? อยู่ข้างนอกลำบากใช่ไหม หรือว่าโดนแกล้งมา?”
ไม่เพียงแต่เหลียงหวั่นจวิน แม้แต่เยี่ยเส่าถิงที่ไม่ค่อยแสดงออกเงียบมาตลอดก็ร้อนรนไปด้วย สีหน้าเผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนก “ลูกรักเป็นอะไรไป? รีบบอกพ่อมา! มีใครแกล้งลูก?”
น้ำตาเยี่ยหวันหวั่นยิ่งไหลลงมาหนักกว่าเดิม…
ก่อนหน้านี้เธอทำแบบนั้นกับพวกเขา ทำเรื่องแย่ต่างๆ นานา เธอเอาแต่กังวลว่าพวกเขาจะไม่มีวันให้อภัยเธอตลอดไป ถ้าพวกเขาไม่ให้อภัยตัวเองอีกแล้วเธอควรจะทำยังไง…
แต่ว่า…
เปล่าเลย… เรื่องที่เธอกังวลนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเลย
แต่เพราะน้ำตาเธอหยดเดียว พวกเขาไม่เพียงไม่แสดงความไม่พอใจ ยังคงเป็นห่วงเธอ รักเธอ เหมือนที่ผ่านมา…
“แม่…” เยี่ยหวันหวั่นโผเข้าไปในอ้อมกอดของเหลียงหวั่นจวิน “ขอโทษค่ะ…ขอโทษ…หนูไม่ควรทำแบบนั้นกับแม่และพ่อเลย…ไม่ควรพูดจาทำร้ายจิตใจพ่อแม่…หนูสำนึกผิดแล้ว…พ่อแม่อย่าโกรธหนูเลยนะคะ…อย่าไม่ต้องการหนูได้ไหม…”
จู่ๆ โดนลูกสาวเป็นฝ่ายเข้ามากอดก่อน ได้ยินคำพูดพวกนี้ของลูกสาว สีหน้าเหลียงหวั่นจวินเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ น้ำตาก็ไหลลงมาเช่นกัน “เด็กโง่… พ่อแม่จะโกรธลูกได้ยังไง…”
…………………………………………………