บทที่ 217 ติวเลข
เยี่ยหวันหวั่นลูบต้าไป๋เล่นไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น ถึงต้าไป๋จะไม่สนใจเธอ เธอก็จะพูดคนเดียวพึมพำได้ครึ่งวัน เล่านิทานให้มันฟังบ้าง ไม่ก็ร้อยพวงมาลัยให้มัน ในสวนจะมีเสียงคำรามอย่างรำคาญของต้าไป๋และเสียงบ่นจู้จี้ของเยี่ยหวันหวั่นดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว
กระทั่งเยี่ยหวันหวั่นมารู้ตัวอีกทีก็มืดแล้ว ถึงได้ยอมออกจากสวนที่มีต้าไป๋และผักกาดไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เดินหน้าเศร้าเข้าห้องที่มีวิชาเลขและซือเยี่ยหาน
หลังจากโบกมืออำลาต้าไป๋แล้ว เยี่ยหวันหวั่นกอดกระเป๋าแล้วเดินขึ้นตึกไปด้วยความหนักใจ
เห็นสวี่อี้เดินออกมาจากห้องหนังสือ เยี่ยหวันหวั่นก็รีบเข้าไปเอ่ยถาม “ตอนนี้ซือเยี่ยหานยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ?”
พอเห็นเยี่ยหวันหวั่น สวี่อี้พลันอยากจะร้องไห้ คุณหนูท่านนี้เล่นพอสักที
ยุ่งเหรอ จะยุ่งอะไรได้ นายท่านด้านในมัวแต่ยุ่งกับการหึงหวง ยุ่งจนมืดฟ้ามัวดินแล้วน่ะสิ!
อยากจะใช้ต้าไป๋มาเรียกความสนใจจากหญิงงามแท้ๆ ใครจะรู้ว่าสาวงามจะโดนดึงความสนใจไปแล้วไปลับเลย นับว่าเขาเข้าใจแล้วว่าเลี้ยงลูกเสือเลี้ยงลูกจระเข้คืออะไร
“นายท่านไม่มีธุระอะไรครับ! หากคุณจะไปหาเขา ก็รีบไปตอนนี้เลยเถอะครับ!” สวี่อี้รีบตอบ
“งั้นตอนนี้เขาอารมณ์ไหน?” เยี่ยหวันหวั่นถามด้วยความไม่มั่นใจ หากว่ากำลังอารมณ์ดี เธอจะไปขอให้ช่วยติวเลขให้ก็คงตอบตกลงโดยง่าย
“อารมณ์ดีมากเลยครับ!” สวี่อี้หลอกขายเยี่ยหวันหวั่นอย่างไม่ลังเล
“อ้อ งั้นก็ดี…” เยี่ยหวันหวั่นถอนใจโล่งอก แล้วเดินเข้าห้องหนังสือไปอย่างไม่คิดอะไร
หลังจากเข้าไปแล้ว ก็เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายที่ระเบียง ในมือถือตำราภาษาต่างประเทศเล่มหนึ่ง ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน
“มีอะไร?” เห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาเย็นกระจ่างดั่งดวงจันทร์มองไปที่เธอ
เยี่ยหวันหวั่นไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาของตัวเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าสวี่อี้กำลังหลอกเธออยู่
ตอนนี้ซือเยี่ยหานอารมณ์ดีจริงเหรอ?
เธอคิดอยู่นาน ก็หาเหตุผลที่ซือเยี่ยหานจะอารมณ์ไม่ดีไม่เจอ จึงไม่ได้คิดมากอะไรอีก
“เรื่องนั้น คือว่าแบบนี้…เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะสอบเข้ามหาลัยแล้ว แต่ว่าวิชาเลขของฉันแย่มากเลย อยากติวสักหน่อย! ช่วงนี้คุณยุ่งไหมคะ? ช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม? ทุกคืนขอให้ฉันสองชั่วโมง ไม่สิ หนึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว!”
เยี่ยหวันหวั่นไม่กล้าขอมากเกินไป เพราะเขาเป็นคนที่งานยุ่งมาก
เพียงแต่คำสุภาษิตกล่าวได้ดี ฟังบัณฑิตอธิบายมีประโยชน์กว่าอ่านหนังสือเป็นสิบปี สำหรับเธอแล้วได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย
นอกจากเพราะวิธีการอธิบายของซือเยี่ยหานง่ายมากทำให้เธอเข้าใจได้แล้ว ยังมีเหตุผลทางสรีรวิทยาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ต่อหน้าซือเยี่ยหานเธอไม่กล้าใจลอยเด็ดขาด รวบรวมสติได้ดีมาก ประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ
เยี่ยหวันหวั่นพูดจบก็รอคำตอบของชายหนุ่มด้วยความตื่นเต้น
ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็วางหนังสือในมือลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างไปจากปกติ “ฉันให้เธอได้สองชั่วโมง”
“สองชั่วโมง!” เยี่ยหวันหวั่นได้ยิน ดวงตาทอแสงเปล่งประกาย “จริงเหรอ?”
“แต่ว่า ฉันมีเงื่อนไข” แววตาของซือเยี่ยหานหม่นลงเล็กน้อย
เส้นประสาทของเยี่ยหวันหวั่นตึงเครียด “งะ…เงื่อนไข…เงื่อนไขอะไร?”
ซือเยี่ยหาน “สอดคล้องกัน เธอก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง”
เยี่ยหวันหวั่น “ค่าตอบแทนนี้หมายถึง?”
ซือเยี่ยหาน “ให้ฉันแปดชั่วโมง”
เยี่ยหวันหวั่นชะงัก “หา…?”
ให้เขาแปดชั่วโมงไปทำอะไร?
วินาทีถัดมา หัวสมองของเธอพลันนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ในหอพักครั้งก่อน เหมือนจะเจอสถานการณ์ที่คล้ายๆ กัน ตอนนั้นเงื่อนไขที่ซือเยี่ยหานเสนอคือหกชั่วโมง ถูกต้อง ความหมายก็คือนอนเป็นเพื่อนเขาหกชั่วโมง…
ดังนั้น ความหมายแปดชั่วโมงที่ซือเยี่ยหานพูดถึงตอนนี้ คงจะเท่ากับ–
“ความหมายของคุณคือให้ฉันนอนเป็นเพื่อนคุณหนึ่งคืน!?”
ด้วยความตกใจ เยี่ยหวันหวั่นถลึงตาโตหลุดปากพูดออกมา
ได้ยินคำพูดของเยี่ยหวันหวั่น ซือเยี่ยหานปรายตามองเธอครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยทันที “เธอต้องการให้ฉันติวให้คืนเดียวเหรอ?”
เยี่ยหวันหวั่นส่ายศีรษะตอบสนองกับเงื่อนไข “คืนเดียวไม่พอแน่นอน อย่างน้อยต้องต่อเนื่องจนการสอบเสร็จสิ้น ก่อนการสอบจะยุติ คาดว่าคงต้องติวทุกคืน หากว่าคุณมีเวลาล่ะก็…”
ซือเยี่ยหานยกถ้วยน้ำชาข้างมือขึ้นมาจิบ “อืม งั้นก็นอนเป็นเพื่อนฉันทุกคืน”
เยี่ยหวันหวั่น “…”
…………………………………
บทที่ 218 ค่าเรียนนี้ไม่เสียเปรียบ
สมองของเยี่ยหวันหวั่นแฮงค์ไปชั่วขณะ
ทำไมเขาถึงสามารถพูดคำพูดประเภทนี้ออกมาด้วยใบหน้าภูเขาน้ำแข็งที่เยือกเย็นราวกับเป็นอมตะแบบนั้นได้ “นอนเป็นเพื่อนฉันทุกคืน”
ดีไม่ดีมีคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องจะคิดว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันที่นี่น่ะสิ ทั้งที่ความจริงพวกเขาแค่ติวเลขด้วยความบริสุทธิ์ใจกันเท่านั้น
หลังจากเยี่ยหวันหวั่นตั้งสติจากความตกใจได้แล้ว ก็รีบกางนิ้วออกมานับ เธอได้รับสองชั่วโมงแต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนแปดชั่วโมง ค่าเรียนนี้เสียเปรียบเกินไปหรือเปล่า?
นี่มันพ่อค้าหน้าเลือดชัดๆ!
วิชาคำนวณของเธอแย่มาก แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นนี้สักหน่อยไหมล่ะ?
เยี่ยหวันหวั่นที่รู้สึกโดนดูถูกสติปัญญาพลันเอ่ยขึ้นอย่างโมโห “มันมีตรงไหนผิดไปหรือเปล่า? ทำไมคุณให้ฉันสองชั่วโมง แต่ฉันต้องให้คุณแปดชั่วโมง?”
ซือเยี่ยหานแสดงสีหน้าการเจรจาจะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เป็นไร “เธอปฏิเสธได้”
“ฉัน…” เยี่ยหวันหวั่นไม่มีคำจะพูด
ช่วงนี้ในสายตาของเธอ ซือเยี่ยหานก็คือเทพการสอนเปล่งปลั่งสีทององค์หนึ่ง จะสอบเข้าคณะนิเทศศาตร์ของเมืองหลวงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ไหนเลยที่เธอจะยอมปล่อยผ่าน!
เยี่ยหวันหวั่นครุ่นคิดอยู่นาน ก็ฝืนถามคำถามที่เหมือนว่าเธอจะเคยถามไปแล้วครั้งก่อน “งั้น…งั้นก็แค่นอนเฉยๆ ใช่ไหม? เป็นการนอนตามความหมายของตัวอักษร?”
จำได้ว่าครั้งก่อนที่โรงเรียน แล้วก็อีกครั้งหนึ่งที่บ้านใหญ่ ล้วนแต่ห่มผ้านอนหลับไปเฉยๆ เท่านั้น หากว่าเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่เสียเปรียบ อย่างไรเสียเธอก็ต้องนอนเหมือนกัน ต่างกันเพียงว่ามีคนมานอนข้างๆ เท่านั้น
เยี่ยหวันหวั่นคิดแบบนี้ เดิมคิดจะถอนใจโล่งอก ก็เหลือบเห็นซือเยี่ยหานวางถ้วยชาในมือ นัยน์ตาอาบไปด้วยสีแห่งราตรีค่อยๆ มองมาที่เธอ เอ่ยพูดช้าๆ “เรื่องนี้ฉันไม่รับประกัน เพราะฉันก็เป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง”
วินาทีที่คำพูดของซือเยี่ยหานจบลง เยี่ยหวันหวั่นก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น…
อย่าถ่อมตัวขนาดนี้เลย ในใจของฉันคุณก็ไม่ใช่คนอยู่แล้วไหมล่ะ!
“เธอลองตัดสินใจดู” ซือเยี่ยหานพูดจบก็ลุกขึ้น
เยี่ยหวันหวั่นที่กำลังยืนอึ้งอยู่นั้น วินาทีที่ซือเยี่ยหานลุกขึ้น ก็รีบพุ่งตัวเป็นจรวดไปอยู่ตรงหน้าของเขา เงยหน้าจ้องเขาด้วยดวงตาเปล่งประกาย พูดจาเด็ดขาด “ตกลง!”
ซือเยี่ยหานมีสีหน้าเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง “แน่ใจ?”
เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า “แน่ใจสิ ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกันสักหน่อย!”
ซือเยี่ยหาน “…”
“เร็วๆๆๆ เริ่มวันนี้เลย!” เยี่ยหวันหวั่นรีบเร่งรัด
อย่างไรเธอกับซือเยี่ยหานก็นอนด้วยกันมาแต่แรก อายุจิตใจของเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่เด็กสาวรุ่นสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว และก็ไม่ได้มีความคิดจะรักษาตัวดั่งหยกเก็บไว้ให้กู้เยว่เจ๋อเหมือนชาติก่อนอีกแล้ว ก็แค่นอนเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่ครั้งแล้วจะอย่างไร
ตอนนี้สำหรับเธอแล้วอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการสอบเข้านิเทศศาตร์ของเมืองหลวงอีกแล้ว
หากว่าเธอมัวยึดติดกับเรื่องพวกนี้ จะต่างอะไรกับชาติก่อนเล่า เธอจะเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว
ดังนั้น เยี่ยหวันหวั่นจึงช่วยซือเยี่ยหานจัดแจงเก็บโต๊ะอย่างแข็งขัน จัดวางหนังสือและอุปกรณ์เครื่องเขียน แล้วยังชงชาให้ซือเยี่ยหานแก้วหนึ่ง
ซือเยี่ยหานที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาลุ่มลึกแฝงไปด้วยแววตาสำรวจที่อาจสังเกตเห็นได้ง่าย มองผู้หญิงที่กำลังสาละวนอยู่ในห้อง
หลังจากจัดการเรียบร้อย เยี่ยหวันหวั่นก็นั่งเรียบร้อยเหมือนเด็กนักเรียน “อาจารย์คะ เริ่มสอนได้เลยค่ะ!”
ซือเยี่ยหานนั่งลงตำแหน่งข้างกายหญิงสาว แต่ก็ไม่ได้เปิดหนังสือ มือข้างหนึ่งประคองหน้าผากเบาๆ ในแนวทแยงมุม เอ่ยออกมาโดยตรง “ฉันจะอธิบายประเด็นความรู้ที่ครั้งก่อนยังพูดไม่จบให้เธอฟังก่อน”
เยี่ยหวันหวั่นกะพริบตาอย่างประหลาดใจ ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว เขายังจำเรื่องที่ครั้งก่อนยังอธิบายไม่จบได้อีกเหรอ?
สุดยอดไปเลย…
ดังนั้น ค่าเรียนที่ต้องจ่ายนี้…ก็ไม่นับว่าเสียเปรียบแล้วล่ะมั้ง?
…………………………………