บทที่ 139 คุณหิวไหม?
“ซือเยี่ยหาน! นายต้องได้รับกรรมตามสนอง! นายต้องได้รับกรรมตามสนอง! นายคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง! พี่สองพี่สามพี่สี่… แล้วยังมีอาหกอาแปด… ทั้งหมดตายในเงื้อมมือนาย… ฉันจะบอกคุณหญิงย่า… ฉันจะบอกผู้อาวุโสของตระกูลซือทุกคน… พวกเขาต้องไม่ปล่อยนายไปแน่… ไม่มีทางปล่อยนาย…”
ผู้ชายคนนั้นเดินไม่ไหวแล้ว ขณะที่ตะคอกอย่างบ้าคลั่งก็เลื้อยตัวพยายามจะปีนออกไปด้านนอก
ซือเยี่ยหานก็ไม่ห้าม ยังมองชายคนนั้นที่พยายามดิ้นรนเอาลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อหลีกหนีความตายอย่างนิ่งเงียบ
ผู้ชายคนนั้นปีนไปถึงหน้าประตูห้องโถงแล้ว เอื้อมมือจะเปิดประตู…
ตอนนั้นเอง เงาสีขาวที่โผล่พรวดเข้ามาดังสายฟ้า เสือที่ดุร้ายตัวหนึ่งกัดเข้าที่คอของฝ่ายชายทันที
คอของผู้ชายเอียงเหมือนว่าวที่สายป่านขาด กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายเหมือนดอกไม้บาน เต็มไปทั่วทั้งห้องรับแขก แล้วยังมีเสียงเคี้ยวกระดูกกุกกักๆ ของเสือขาวอีก…
ภาพนี้สยองขวัญเกินไป ถึงแม้จะเป็นเยี่ยหวั่นหวันที่อยู่มาสองภพแล้วก็ยังทนไม่ไหว
“อา” ที่ตรงประตูสวน ในที่สุดเยี่ยหวั่นหวันก็ทนไม่ไหวร้องออกมาด้วยความตกใจ
ในขณะเดียวกัน ประตูกระจกที่เธอซ่อนอยู่ด้านหลังอยู่ๆ ก็ถูกผลักเปิดออกด้วยความไม่ตั้งใจของเธอ
วินาทีต่อมา เธอสบตากับดวงตาคู่หนึ่งที่แทบจะทำให้เลือดในตัวคนแข็งตัวได้ รวมทั้งเห็นสภาพของห้องรับแขกที่เหมือนขุมนรกอย่างชัดเจน
สวี่อี้ที่อยู่ข้างซือเยี่ยหานเห็นเยี่ยหวั่นหวัน เขาอึ้งไป สีหน้าดูตกใจกลัว “เยี่ย…คุณหนูเยี่ย… คุณมาอยู่ที่นี่ยังไง…”
แย่แล้ว!
ทำไมอยู่ดีๆ เยี่ยหวั่นหวันถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้! เธอควรจะอยู่ที่โรงเรียนไม่ใช่หรือ?
ชายชุดดำที่อยู่อีกฝั่งของซือเยี่ยหาน มองดูใบหน้าตกใจขาวซีดของเยี่ยหวั่นหวันอย่างเหยียดหยาม ขมวดคิ้ว สายตาเห็นได้ชัดว่ารังเกียจและดูถูก
ในท้องเยี่ยหวั่นหวันปั่นป่วนเหมือนท้องทะเล ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของเธอและซือเยี่ยหานสนิทกันมากขึ้น ทำเธอเข้าใจผิดคิดว่าปีศาจตั้งแต่หัวจรดเท้าตนนี้เป็นมนุษย์
หึ ซือเยี่ยหาน… เขาจะเป็นมนุษย์ปกติได้ยังไง…
ถ้าเขาเป็น ชาติที่แล้วไม่ว่าจะยังไงเธอก็คงไม่บ้าคลั่งอยากจะหนีไปให้พ้นจากเขา
กู้เยว่เจ๋อบอกว่าซือเยี่ยหานโหดร้ายทารุณ กระหายเลือดฆ่าคนจนเป็นนิสัย คำพูดแบบนี้ยังถือว่าเขาอ่อนโยนเกินไปด้วยซ้ำ
เธอยังจำได้ถึงครั้งแรกที่ตัวเองเห็นภาพเขาฆ่าคนในชาติที่แล้ว ยังไม่นองเลือดเท่าครั้งนี้เลย
ตอนนั้นเธอตกใจเหมือนคนบ้าด่าเขาว่า “ปีศาจ” ร้องไห้ตะโกนให้เขาปล่อยตัวเธอไป สรรหาคำหยาบคายมาสาปแช่งเขา ทะเลาะมาครึ่งเดือนเต็ม ก็ป่วยหนัก จากนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วยังถูกบังคับให้เห็นฉากนองเลือดอีกครั้ง จนกระทั่งเธอหมดลมหายใจใกล้จะตายแล้ว เขาถึงค่อยปล่อยเธอไป…
ความทรงจำมากมายพรั่งพรูเข้ามา หน้าผากเยี่ยหวั่นหวันเจ็บเป็นระลอก จากนั้น ภาพความทรงจำทั้งหมดก็แวบผ่านไปในเวลาไม่ถึงสองวินาที
เยี่ยหวั่นหวันสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ปัดฝุ่นบนตัวแล้วลุกขึ้นมา สะพายกระเป๋าหนังสือ หยิบถุงในมือ เดินเข้าไปทีละก้าว มองตรงไปทางซือเยี่ยหานโดยไม่ละสายตา…
สวี่อี้ที่เผชิญหน้ากับความตื่นตระหนก สีหน้าที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม กลิ่นคาวเลือดที่กระจายอยู่ใต้เท้า เสียงกุกกักๆ ของเสือขาวที่กัดกินกระดูกคน…
ในที่สุด เธอเดินมาถึงหน้าซือเยี่ยหาน
หญิงสาวยื่นถุงพลาสติกที่ใส่ซาลาเปาในมือมาตรงหน้าเขา “คือว่า คุณหิวไหม? ระหว่างทางที่ฉันกลับมาแวะซื้อซาลาเปาอร่อยมากพวกนี้มาให้ค่ะ”
…………………………………..
บทที่ 140 กลัวไหม?
บนโซฟา นัยน์ตาของชายหนุ่มยิ่งมืดมน ปากรูปกระจับบนใบหน้านิ่งเหมือนน้ำแข็งหมื่นปีก็ไม่ละลาย โดยเฉพาะกลางดึกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ยิ่งราวกับอสูรที่เดินออกมาจากขุมนรก
ในห้องมีเสียงคำรามเบาๆ ของเสือขาวดังขึ้นมา บวกกับมีซือเยี่ยหานอยู่ด้วย บรรยากาศจึงหนาวเหน็บไม่หลงเหลือความอบอุ่นอยู่เลย
วินาทีนี้ สวี่อี้เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวแล้ว เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเยี่ยหวั่นหวันจะกลับมาเวลานี้ ที่แย่ที่สุดคือบังเอิญมาเจอภาพแบบนี้
เขาทำผิดพลาดร้ายแรงมาก ไม่รู้ถึงการปรากฏตัวของเยี่ยหวั่นหวัน ปล่อยให้เธอเข้ามาแบบนี้
ตายแน่แล้ว…
ร่างสวี่อี้สั่นเทา ในใจป่นปี้เป็นเถ้าถ่าน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เขาจ้องมองดูเยี่ยหวั่นหวันเดินตรงไปด้านหน้าเจ้านาย ได้ยินเยี่ยหวั่นหวันพูดกับเจ้านายว่า “คุณหิวไหมคะ?”
รูม่านตาสวี่อี้ขยายใหญ่จ้องไปทางเยี่ยหวั่นหวัน คิดว่าตัวเองได้ยินเสียงหลอน
เขา…เมื่อกี้เขาได้ยินอะไร?
เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เยี่ยหวั่นหวันกลับตอบสนองด้วยการถามเจ้านายว่าหิวไหม อยากกินซาลาเปาไหม?
แล้วยังใช้น้ำเสียงประมาณว่าวันนี้อากาศดีจัง…
ปฏิกิริยาของเยี่ยหวั่นหวันควรจะเป็นกรีดร้องอย่างเสียสติโวยวายวิ่งหนีไปไม่ใช่หรือ?
กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงผสมกับกลิ่นหอมของซาลาเปา ทำให้ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้เข้าไปใหญ่ สวี่อี้มองเยี่ยหวั่นหวัน แล้วมองไปยังเจ้านายบนโซฟา สีหน้าเหมือนกำลังเคลิ้มฝันอยู่
ใบหน้าเยือกเย็นของชายหนุ่มอีกฝั่งของซือเยี่ยหานดวงหน้าสองข้างเขาหรี่ลงเล็กน้อย สายตาที่มองไปทางเยี่ยหวั่นหวันนั้นมีความระมัดระวังและหยั่งเชิงอยู่
เยี่ยหวั่นหวันไม่มีใจจะไปสนใจปฏิกิริยาของคนอื่น ทั้งร่างกายและจิตใจเธอต่างจมไปอยู่ที่ตัวซือเยี่ยหานทั้งหมด
เห็นแค่สายตาที่จ้องมองตัวเองมาอย่างลึกซึ้ง สายตาที่มองดูอย่างพินิจนั้นราวกับสามารถเจาะทะลุไปถึงจิตวิญญาณ ทำให้รู้สึกสันหลังเย็นวาบ
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ภายใต้ความเงียบงันที่แทบจะทำให้คนหายใจไม่ออกนั้น ซือเยี่ยหานแวบมองซาลาเปาใบเดียวในมือเธอ ในที่สุดก็ถามขึ้นมา “กลัวไหม?”
สีหน้าเยี่ยหวั่นหวันตกใจเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่มีความลังเลเลยทันที “ไม่กลัวค่ะ”
ถึงแม้เยี่ยหวั่นหวันจะพูดแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วในใจแทบสลาย
เธอไม่รู้จริงๆ ว่าซือเยี่ยหานเอาความกล้ามาจากไหนที่ถามเธอคำถามนี้
กลัวหรือไม่?
นี่ถ้าไม่กลัว เธอยังจะใช่คนปกติอยู่ไหม?
แต่ว่า ชาติที่แล้วเพราะว่าเธอกลัว เลยทำให้เจอผลที่เลวร้ายแบบนั้น ชาตินี้ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวสุดขีด ก็จะไม่มีทางแสดงออกต่อหน้าซือเยี่ยหานแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าฉากแบบนี้มาอีก เธอไม่มั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถสงบสติอารมณ์ต่อไปได้
อารมณ์ของซือเยี่ยหานนั้นคาดเดาไม่ได้เลย ชาติที่แล้วเธอไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด บังเอิญพูดประโยคไหนไปถึงทำให้เขาโกรธ
ชาตินี้ เธอยังคงไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้ แต่เธอสามารถใช้ประสบการณ์จากชาติที่แล้วมาหลบเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้เขาโกรธได้
ระหว่างที่เยี่ยหวั่นหวันรอคอยด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาดำขลับของซือเยี่ยหานมองดูเธออยู่หลายวินาที และไม่รู้ว่าเขาเชื่อคำพูดเธอหรือเปล่า
หลายวินาทีผ่านไป ชายหนุ่มเหยียดนิ้วมือที่เย็นเฉียบไปถึงกระดูก บีบคางเธอ กระซิบเสียงแหบแห้งและทุ้มต่ำ “เด็กดี”
ดูท่า…เขาจะพอใจกับคำตอบและการแสดงออกของเธอมาก
ถึงแม้เขาอาจไม่เชื่อ แต่เขาไม่สนใจ
เธอเดิมพันถูกแล้ว!
เส้นประสาทที่แข็งเกร็งของเยี่ยหวั่นหวันผ่อนคลายลงทันที ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นราวกับผ่านสมรภูมิความตายมาได้