มณฑลตุงไห่ เมืองชิงหยูน
ณ โรงแรมสากลชิงหยูน
ภายในห้องทำงานของท่านประธาน หลินอิ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงาน ในมือถือแก้วชาดำ สีหน้านิ่งเฉยราวกับน้ำ
ส่วนเจียงฉีเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกันข้าม สีหน้าท่าทีตึงเครียดไม่น้อย
หลังจากที่หลินอิ่งกลับมาที่มณฑลตุงไห่ เดินทางไปวิลล่าหิมะมังกร ผลที่ได้กลับหาคนไม่เจอ แม้แต่คู่สามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านวิลล่าเหมือนกัน
ได้ยินยามบอกว่าย้ายออกไปแล้ว
ต่อมา หลินอิ่งก็ไปที่ชุมชนสุ่ยหยวนกับชุมชนเจียงฉือ ก็ไม่มีคนอยู่เหมือนกัน
จนกระทั่งเรียกเจียงฉีมา ถึงได้รู้ว่าครอบครัวของจางฉีโม่ออกเดินทางไกล กลับไปที่บ้านที่อำเภอเจียงเยว่แล้ว
เสียงตี๊ดๆดังขึ้นมาสองครั้ง
ในตอนนี้ มือถือในกระเป๋ากางเกงของเจียงฉีดังขึ้นมา
“ประธานหลิน เสิ่นซานโทรมา……”เจียงฉีมองไปยังหลินอิ่ง พร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม
“รับสาย”
หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ ยกแก้วชาดื่มไปหนึ่งคำ
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเจียงฉีบอกว่า เสิ่นซานไปปกป้องคุ้มกันฉีโม่ที่อำเภอเจียงเยว่ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงให้เจียงฉีติดต่อไปทางฝั่งของเสิ่นซาน ถามสถานการณ์ให้แน่ชัด
“ครับ”
พอได้รับอนุญาตจากหลินอิ่ง เจียงฉีจึงโล่งใจลง ลุกขึ้นยืน หันหลังไปรับสาย
ผ่านไปหนึ่งนาที
โทรศัพท์เสร็จ เจียงฉีก็หันตัวมาอย่างแรง สีหน้าเคร่งเครียดสุดๆ
“ประธานหลิน คุณนายหลิน เธอ……”
เจียงฉีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างหมดความมั่นใจ
“เป็นอะไร?”หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พอเขาเห็นท่าทางแบบนี้ของเจียงฉี ก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
เจียงฉีเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ก่อนจะพูดขึ้น”ประธานหลิน เมื่อตะกี้เสิ่นซานโทรมาบอกว่า คุณนายหลินหายตัวไปที่อำเภอเจียงเยว่……ดูเหมือนว่าจะถูกคนลักพาตัวไปครับ”
“ว่าไงนะ?”หลินอิ่งกวาดสายตามองอย่างเย็นชา ไฟโกรธสุมอยู่ในใจ
“ขอโทษครับ ผมจัดการไม่รอบคอบเอง”เจียงฉีก้มหน้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองหลินอิ่ง สีหน้ารู้สึกผิดมากๆ
ในเวลานี้ สายตาของหลินอิ่งแทบจะสามารถฆ่าคนได้เลย
เจียงฉีไม่กล้าสบตาเลยแม้แต่น้อย
แถม เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เจียงฉีเผชิญหน้ากับหลินอิ่ง ในใจก็รู้สึกละอายอยู่ไม่น้อย
ประธานหลินผลักดันเขามาถึงขั้นนี้ เป็นเจ้าพ่อใหญ่ที่มีอิทธิพลมากๆของวงการธุรกิจในมณฑลตุงไห่
แต่กลับดูแลความปลอดภัยของคุณนายหลินในมณฑลตุงไห่ไม่ได้เลย……เรื่องนี้ มันช่างน่าขายหน้าจริงๆ
หลินอิ่งสีหน้านิ่งขรึม วางแก้วชาลง สายตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นนิ่งลึก
ฉีโม่ถูกคนจับตัวไปที่อำเภอเจียงเยว่?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สถานที่เล็กๆแบบอำเภอเจียงเยว่ เสิ่นซานผู้นำอันดับหนึ่งของมณฑลตุงไห่อุตส่าห์พาเธอไปส่งด้วยตัวเองแล้วแท้ๆ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้?
ใครกันที่มีความกล้าขนาดนี้ในอำเภอเจียงเยว่?
เว้นแต่ว่า จะเพ่งเล็งมาที่ตัวเอง
หลินอิ่งครุ่นคิดอย่างช่วยไม่ได้ ใครกันที่จับจ้องฉีโม่อยู่
สำนักยุทธ์เชียน ตระกูลหลินแห่งลังยา? หรือว่า……
สถานการณ์ที่อันตรายที่สุด ก็กลัวว่าจะมีใครคอยแอบจับตาดูสอดแนมตระกูลเหวินกับท่านมังกรดำของตัวเองจากในที่มืดอยู่……
ถ้าเป็นแบบนั้น ก็เกรงว่าเรื่องจะเกินความสามารถของตัวเองแล้ว
“สถานการณ์โดยละเอียดเป็นยังไง? คนที่เสิ่นซานส่งไปปกป้องคุ้มกันฉีโม่ล่ะ?”หลินอิ่งพูดถามเจียงฉีด้วยสีหน้าจริงจัง
เจียงฉีตอบกลับมาอย่างจริงจัง”ประธานหลิน ผมฟังจากที่เสิ่นซานรายงานมา บอกว่าเขาส่งหลิวจุนไป แล้วก็คนอีกหลายคันรถแอบติดตามปกป้องคุ้มกันคุณนายหลินตลอดเวลา แต่ว่า เมื่อวานตอนบ่าย จู่ๆทุกคนก็ขาดการติดต่อไป”
“เรื่องเกิดขึ้นที่ประตูทางเข้าชุมชนของบ้านป้าของคุณนายหลินครับ ไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ พวกหลิวจุนกลุ่มนั้น ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว ยังอยู่ที่ฉุกเฉิน”
“เสิ่นซานบอกว่า สถานการณ์ในตอนนี้น่าสังเวชใจมาก หลิวจุนถูกอัดจนไปชนเข้ากับกำแพง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนที่ลงมือเลยแม้แต่น้อย คนที่ลงมือ มีภูมิหลังที่ใหญ่มาก”
พอรายงานจบ เจียงฉีก็ยืนอยู่ข้างๆด้วยความกระวนกระวายอยู่ไม่สุข
หลินอิ่งนิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ ในตาแฝงไปด้วยความอาฆาต
พอได้ฟังเจียงฉีรายงานมาแบบนี้จนจบ เขาก็พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆแล้ว
ฝีมือของหลิวจุน ในโลกธรรมก็ถือว่าเก่งกาจโหดเหี้ยมมากๆแล้ว
ถูกคนอัดจนกระเด็นในทีเดียวแบบนี้ นั่นก็อธิบายแล้วว่า เป็นคนของแวดวงลึกลับมาลงมือแน่ๆ
“ให้เสิ่นซานรออยู่ที่อำเภอเจียงเยว่ ฉันจะมุ่งตรงไปที่อำเภอเจียงเยว่เดี๋ยวนี้แหละ”หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม
พูดจบ หลินอิ่งก็ลุกขึ้นยืนทันที เดินออกจากห้องทำงานของประธาน
เจียงฉีก็รีบตามไปทันที โทรศัพท์ออกไปเตรียมกำลังคนกับรถ
ข่าวที่ฉีโม่ถูกคนจับตัวไป มันทำให้หลินอิ่งนั่งไม่ติดแล้ว เก็บกดไฟโกรธภายในใจเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ตี๊ดๆ
ในเวลานี้เอง มือถือของหลินอิ่งดังขึ้นมา
เขาหยุดฝีเท้าลง สายตาสั่นเล็กน้อย หันไปมอง เบอร์โทรศัพท์ที่แสดงเป็นจางซิ่วเฟิงโทรมา
หลินอิ่งมีมือถือสองเครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นแบบใส่รหัส อีกเครื่องไม่ค่อยได้ใช้บ่อยๆ มือถือที่ดังขึ้นมาเครื่องนี้ ปกติแล้วจะไม่ได้พกติดตัว กลับเมืองตุงไห่มาครั้งนี้ถึงได้พกกลับมาด้วย
“ฮาโหล หลินอิ่งเหรอ? ฉัน ฉันคือจางซิ่วเฟิงนะ นาย นายได้ยินฉันไหม?”มีเสียงผู้ชายที่ระแวดระวังดังขึ้นมาในสาย
ตอนนี้ เผชิญหน้ากับหลินอิ่ง ท่าทีของจางซิ่วเฟิงก็ไม่มั่นใจ ถึงขนาดที่ในใจรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
“เรื่องอะไร?”
หลินอิ่งรับโทรศัพท์ พูดถามขึ้นอย่างจริงจัง
“หลินอิ่ง พวก พวกเราอยากจะขอนายช่วยสักเรื่อง……”ในสาย จางซิ่วเฟิงพูดคลุมเครือไม่ชัดเจน
หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”ว่ามา”
“คือแบบนี้ หลินอิ่ง ความรู้สึกที่นายมีต่อฉีโม่ของพวกเรา พวกเรานั้นรู้ดี เลยอยากที่จะเชิญนายกลับมาที่เมืองตุงไห่ กินข้าวด้วยกันกับคนในครอบครัวสักมื้อ พูดคุยในสิ่งที่เข้าใจผิดก่อนหน้านี้กันให้ชัดเจน”จางซิ่วเฟิงพูดขึ้น”นอกจากนี้ ฉีโม่ปล่อยวางปมที่อยู่ในใจไม่ได้มาโดยตลอด ช่วงนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำงานเลย”
“เห้อ คุณนี่พูดเป็นไหมเนี่ย มา ให้ฉันพูดเอง”
ในเวลานี้เอง ในสายมีเสียงของลู่หย่าฮุ่ยดังขึ้นมา ตัดบทพูดของจางซิ่วเฟิง
“ฮาโหล หลินอิ่ง คือแบบนี้ พวกเรารู้หมดแล้ว เจียงฉีกับเสิ่นซานแห่งเมืองชิงหยูนต่างก็เป็นลูกน้องของนายสินะ? ถ้าอย่างนั้นนายช่วยบอกพวกเขาหน่อยว่าให้เจียงฉีช่วยทำธุระให้กับพวกเราหน่อย แค่เรื่องเล็กๆเรื่องเดียวเท่านั้น”ลู่หย่าฮุ่ยค่อยๆพูด”ช่วงนี้ฉีโม่กลับบ้านมาถูกคนดูถูกดูแคลน ขนาดเอานายมาก็ยังขายหน้าเลย วันนี้ฉันเห็นฉีโม่โกรธแทบทนไม่ไหว ออกจากบ้านไป ติดต่อก็ไม่ได้ ดังนั้น จะขอให้นายช่วยสักหน่อย ถ้าว่างก็กลับมามณฑลตุงไหบ่อยๆนะ ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน”
หลินอิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ พูดขึ้น”ฉีโม่ออกไป? คุณไม่รู้เหรอว่าฉีโม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจเรื่องยิบย่อยเล็กๆน้อยๆของทางตระกูลของลู่หย่าฮุ่ยแล้ว
แล้วก็ไม่รู้ว่า ลู่หย่าฮุ่ยคิดยังไง ถึงตอนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าฉีโม่ถูกลักพาตัวไป แถมยังนึกว่าหนีออกจากบ้านไปเพราะว่าโกรธอีก?
เป็นพ่อแม่แท้ๆ แต่ไม่เข้าใจนิสัยของฉีโม่เลยสักนิด ยังจะห่วงหน้าตาของบ้านเกิดอีก ไม่รู้จริงๆว่ากำลังทำอะไรอยู่
“หา? เกิดอะไรขึ้น? วันนี้กินข้าวที่บ้านเกิด ฉีโม่ถูกยั่วยุจนโมโห หนีออกไปแล้วนะ ยังจะเกิดเรื่องอะไรได้อีก?”ลู่หย่าฮุ่ยถามขึ้นด้วยความมึนงง
“หลินอิ่ง เมื่อก่อนล้วนแต่เป็นพวกเราที่ไม่ดีเอง นายกลับมาเมืองตุงไห่ พวกเราสองสามีภรรยาจะยกเหล้าขอโทษนายทันทีเลย นายก็อย่าถือสาคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราเลยนะ”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง พูดอย่างหน้าด้านๆ ท่าทีดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก
“ครั้งนี้ ก็ขอให้นายช่วยสักเรื่อง แค่ไปบอกลูกน้องของนายก็พอแล้ว ไม่ลำบากอะไรหรอก ถึงยังไงก็คนครอบครัวเดียวกัน นายคงจะทนดูฉีโม่ถูกกลั่นแกล้งรังแก ถูกคนที่บ้านดูถูกดูแคลนไม่ได้หรอกใช่ไหม?”