บทที่ 258 เปิดบริษัทสาขาใหม่ที่ตี้จิง
“ขอโทษ ขอโทษค่ะ คุณชายสวี” จูฟางจับแก้มที่บวมไว้ ยังคงบีบยิ้มพูดต่อ “คุณชายสวี ไอ้หลินอิ่งคนนั้นดิฉันรู้ฐานะมันค่ะ เป็นเพียงลูกเขยไร้น้ำยาที่เกาะเมียกินในเมืองตุงไห่คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเลย ถ้าท่านจะจัดการมัน เป็นเรื่องง่ายดายมาก”
“หลินอิ่งอยู่ที่เมืองตุงไห่ ชื่อเสียงโด่งดังเรื่องเกาะเมียกิน ไม่รู้ไปใช้วิธีอะไรถึงได้ไปรู้จักและประจบกับถังฮุย ความจริงแล้ว มันเทียบกับท่านแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้แต่เลียรองเท้าท่านยังไม่มีสิทธิ์ ก็แค่วันนี้ก่อเรื่องไม่รู้อะไรเลย มันไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย” จูฟางพูดประจบสวีชิงซงไม่หยุด
คนฐานะสูงส่งในแวดวงผู้ดีตี้จิงอย่างสวีชิงซง คุณชายหนึ่งในสี่แห่งเมืองตี้จิง ถ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ ต้องดีสำหรับเขาแน่นอน
ได้ยินคำพูดของจูฟางแล้ว สีหน้าของสวีชิงซงก็เริ่มดีขึ้นบ้าง “ที่แกพูดก็ถูก ไอ้หลินอิ่งนั่นมันไร้น้ำยา ที่แท้ยังกินข้าวอ่อน? น่าสมเพชจริงๆ”
“สวีเหอ กลับไปแล้ว ไปสืบมารู้เรื่องเกี่ยวกับหลินอิ่ง” สวีชิงซงพูดด้วยสีหน้าชั่วร้าย
เขาตัดสินใจจะจัดการหลินอิ่งคนนี้ให้ได้ ต้องจัดการให้ถึงที่สุด ระบายความแค้นในใจให้ได้ รวมทั้งภรรยาของหลินอิ่งก็ต้องจัดการด้วย แบบนี้ถึงจะระบายความแค้นในใจได้ อีกอย่างไอ้ไร้น้ำยาแบบนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองสาวงามแบบนี้
ได้ยินว่าเป็นลูกเขยไร้น้ำยา? ซวยจริงๆ ที่ถูกไอ้ไร้น้ำยาแบบนี้ทำเสียหน้า
แค่ไปประจบรู้จักถังฮุยของเขตจงเทียนคนเดียว ก็กล้ามาอวดดี ไอ้บ้านนอกเข้าเมือง รอให้มันรู้ความเก่งกาจของตระกูลสวี คงจะมาคุกเข่าขอร้องเอง
สวีชิงซงรู้สึกโกรธแค้นในใจ คิดหาวิธีจะเอาคืนหลินอิ่งอย่างเดียว
“วางใจได้ พี่ซง เดี๋ยวผมจะไปสืบเรื่องของหลินอิ่งมาให้ชัดเจนเลย” สวีเหอพูดสีหน้าจริงจัง
“แล้วก็แก หลิวเป่า” สายตาสวีชิงซงหันไปมองหลิวเป่าที่ยังคุกเข่าอยู่ แววตายิ่งชั่วร้าย รู้สึกว่าเพราะไอ้แก่หน้าโง่นี่ทำให้เขาโชคร้าย ทำให้เขาเจอกับไอ้บ้าอย่างหลิงอิ่งนั่น
“คุณชายสวี ครับผม มีอะไรจะสั่งผม พูดได้เลยครับ” หลิวเป่าประจบหน้าตายิ้มแย้ม คุกเข่าอยู่กับที่อย่างเคารพ
“ฉันขอเตือนแก ถ้าแกกล้าทำธุรกิจกับไอ้แซ่หลินนั่น ฉันเอาแกตายแน่” สวีชิงซงข่มขู่หน้าตาเลือดเย็น “แกอยู่ที่ตี้จิงมานานหลายปี น่าจะรู้ว่าใครใหญ่กว่า ไอ้แซ่หลินนั่นก็แค่รู้จักถังฮุยแค่คนเดียว ทางด้านถังฮุย ฉันจะไปหามันเอง”
“ครับ ครับ คุณชายสวี ความสามารถของท่านผมรู้ดีครับ ท่านสั่งมาแล้ว ผมไม่ไปช่วยไอ้แซ่หลินนั่นเป็นอันขาดครับ” หลิวเป่าพูดด้วยสีหน้าประจบ
สวีชิงซงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรออกสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็ระบายอารมณ์อย่างโมโห
“พวกแกไสหัวไปให้หมด”
สวีชิงซงหน้าตาอารมณ์เสีย ยกเท้าขึ้นก็ถีบไปที่หลิวเป่า จนเขากระเด็นไปไกล จากนั้นก็หันกลับมาถีบสวีเหอกับจูฟางคนละสองที จากนั้นก็รู้สึกว่าระบายอารมณ์เสร็จแล้ว จึงพาพวกบอดี้การ์ดออกจากอาคารเหยียนหวง
ในสายตาสวีชิงซง คนที่เข้ามาประจบต่ำกว่าพวกขี้ข้าอีก ก็แค่พวกกลุ่มสุนัขรับใช้เท่านั้น อยากกระทืบแบบไหนก็กระทืบ อย่างเหยียดหยามแบบไหนก็เหยียดหยาม อย่าหวังไปประจบคนใหญ่คนโตเลย
สำหรับคนพวกนั้นก็ถูกสวีชิงซงทำร้ายอย่างกระสอบทราย ก็ยิ้มอย่างประจบให้กับสวีชิงซงแล้วเดินออกจากอาคารเหยียนหวง
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็แค่หมาที่คอยประจบคนใหญ่โตเท่านั้น ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนสูงส่งมีศักดิ์ศรี เพ้อฝันว่าอะไรคือศักดิ์ศรี?
อีกฝั่งหนึ่ง หลินอิ่งกับจางฉีโม่ออกจากอาคารเหยียนหวงแล้ว ฮาเดสก็ขับรถไปตามทางอันเจริญของเมืองนี้ เตรียมกลับเข้าโรงแรมจงเทียน
“หลินอิ่ง วันนี้สวีชิงซงคนนั้นดูเหมือนไม่ธรรมดา ขนาดประธานสมาคมเครื่องประดับอย่างหลิวเป่ายังกลัวเขาขนาดนี้ ยังทำร้ายเขาถึงขนาดนั้น จะมีปัญหาอะไรไหม?” ที่นั่งหลังคนขับ จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
พูดตามตรง เธอเพิ่งจะเคยเจอคนอย่างสวีชิงซง ไม่พอใจก็ตบหน้าคน อะไรนิดก็ให้คนอื่นคุกเข่า ทำเหมือนตัวเองฮ่องเต้สมัยโบราณ
แต่ว่า เคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลสวีแห่งตี้จิง เป็นตระกูลมหาเศรษฐีระดับต้นของประเทศหลุง ด้วยฐานะของสวีชิงซงแล้ว เมื่อเทียบกับฮ่องเต้สมัยโบราณแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก
หลินอิ่งครั้งนี้ ทำให้สวีชิงซงเสียหน้าขนาดนี้ ไม่รู้จะเกิดอะไรตามมาทีหลัง
“ไม่เป็นไร ฉีโม่ เรื่องของผมคุณไม่ต้องห่วง ก็แค่ตัวตลกที่หลงตัวเองเท่านั้น”
หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น “ว่าแต่คุณเถอะฉีโม่ งานเครื่องประดับตี้จิงครั้งนี้คงไม่ได้อะไรเลย หนทางทางนี้ถูกสวีชิงซงปิดตายหมดแล้ว ส่วนหลิวเป่าคนนี้ก็พึ่งอะไรไม่ได้เลย”
ตอนแรกหลินอิ่งคิดว่า ถ้าหลิวเป่าคนนี้พอพึ่งได้ ก็จะช่วยเขาสักหน่อย แต่หลิวเป่ากลับคุกเข่าไม่ยอมลุก พูดก็ไม่ฟัง คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ยอมเป็นสุนัขเสียขาสวีชิงซง ก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาเจรจาเรื่องธุรกิจเขา
“ไม่ได้อะไร ก็ไม่เป็นไร ถือว่ามาเที่ยวตี้จิงละกัน” จางฉีโม่พูดเสียงเรียบ
หลินอิ่งยิ้ม พูดว่า “คุณมีโอกาสมาตี้จิงทั้งที จะให้คุณไม่ได้อะไรกลับเลยได้ยังไง ตอนออกมา ผมก็คิดแผนการไว้แล้ว”
“ออ? แผนอะไรคะ?” จางฉีโม่พูดอย่างสนใจ ถามด้วยความสงสัย
หลินอิ่งตอบจริงจัง “ผมตัดสินใจแล้ว ติดต่อทางเพื่อนผม จัดเตรียมแหล่งธุรกิจเครื่องประดับ เปิดบริษัทสาขาย่อยที่ตี้จิง ใช้ชื่อว่าบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ คุณว่ายังไง?”
“นี่คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? ที่ตี้จิง? ธุรกิจเครื่องประดับที่ตี้จิงไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้น? อีกอย่างต้นทุนก็สูง และเส้นทางการตลาดอะไรหลายอย่างก็ต้องใช้เวลา” จางฉีโม่พูดอย่างสงสัย รู้สึกว่าเธอเองเป็นคนไม่มีพื้นฐานอะไรเลย จะเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิง มันช่างยากเหลือเกิน
“คุณวางใจได้ ทุกอย่างนี้ผมจะจัดการเอง ขอแค่คุณบอกผมว่า คุณต้องการหรือไม่?” หลินอิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม