บทที่ 226 แม้แต่ตัวเองแซ่อะไรก็ลืม
“ไม่ใช่ ทุกท่านในที่นี้ ลิขสิทธิ์เครื่องประดับจางซื่ออยู่ในบริษัทตลอด พวกคุณจะเอาพินัยกรรมของคุณปู่มาอ้าง อย่างนี้จะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” จางฉีโม่พูดด้วยความโมโหเล็กน้อย
“นั่นสิ อย่างนี้ไม่เท่ากับให้คนนอกหัวเราะเยาะเหรอ? มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันดีๆ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดสมทบขึ้น
“หึ พวกเราไม่สนระบบบริษัทอะไรนั่นหรอก เครื่องประดับจางซื่อแบรนด์นี้เป็นของเก่าแก่ตระกูลจาง!” ชายชราผู้หนึ่งพูดขึ้นมาอย่างชอบธรรม “ครอบครัวเธอเป็นตัวแทนตระกูลจางไม่ได้ ฉะนั้น ก็ไม่สามารถใช้เครื่องประดับจางซื่อคำนี้ได้”
พอหยุดสักพัก เขาก็พูดต่อว่า “ถ้าพวกคุณจะปรึกษาก็ได้ ออกเงินสิ ให้ราคาที่คนตระกูลจางพอใจกันหมด ทุกคนถึงจะยอม ไม่อย่างนั้น คนด่านตระกูลจางนี้เธอก็ผ่านไม่ได้ ถ้าพวกเธอยังจะหน้าด้านใช้แบรนด์นี้ พวกเราก็ไม่ตกลงเด็ดขาด!”
“ถูกต้อง พวกเราเห็นด้วยกับวิธีของอาเจ็ด ควรจะทำอย่างนี้”
“ครอบครัวพวกเธอไม่แสดงให้เห็น พวกเราก็จะก่อกวนเอาแบรนด์นี้ทุบทิ้งอย่างไม่เสียดาย!”
คนในตระกูลจางที่อยู่ในงานยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เกรงใจ ยิ่งโอหัง
สีหน้าของจางฉีโม่ก็ค่อยๆ ดูไม่ได้ รู้สึกว่าคุยเหตุผลกับคนพวกนี้ก็คุยไม่รู้เรื่อง พวกเขาไร้เหตุผล
ว่าตามหลักการ ถ้าต้องขึ้นศาลว่าความกัน ตามระเบียบขั้นตอนเธอไม่กลัวเท่าไหร่
แต่ปัญหาก็คือ จะเสียหายกับชื่อเสียงบริษัทอย่างมาก ท่าทางของคนตระกูลจาง เห็นได้ชัดคือ สู้ไม่ได้ก็จะอาเจียนรดใส่
อย่างไรเสียแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อก็ไม่ได้อยู่ในมือพวกเขา พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไร ยอมทุบทิ้งก็ไม่เป็นไร
“รีบหาคำอธิบายมาเถอะ ครอบครัวพวกเธอทำงานไม่เป็น อย่างนั้นก็ให้พี่ใหญ่พี่สามมาควบคุมสถานการณ์” อาเจ็ดตระกูลจางพูดต่อ ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง วางท่าสูงส่ง
อาเจ็ดเป็นผู้มีความอาวุโสสูงในตระกูลจาง เป็นน้องชายคนที่เจ็ดของคุณท่าน พูดไปแล้วก็ไม่เห็นจางฉีโม่หลานสาวคนนี้ในสายตาเลย อาศัยที่ตัวเองอายุมากทำตัวเป็นผู้อาวุโส
คนในตระกูลจางอื่นๆ ต่างก็พากันสมทบ ตำหนิครอบครัวจางฉีโม่
“ฉีโม่ ตั้งแต่ครอบครัวพวกเธอควบคุมบริษัท พวกเราคนตระกูลจางรุ่นอาวุโสไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่นิดเดียว เห็นบริษัทยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่โต แต่ส่วนแบ่งพวกเราน้อยจนน่าสงสาร” ชายคนหนึ่งที่ได้มรดกเป็นหุ้นส่วนจางซื่อกรุ๊ปพูดขึ้นมา “ความต้องการของพวกเราก็ง่ายมาก ก็คือว่าตามพินัยกรรมตอนนั้นของคุณท่าน ปันผลหุ้นให้พวกเราเท่ากันทุกคน
“ถูกต้อง ทำอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง พวกเธอถึงจะเป็นที่ยอมรับในการบริหารเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป”
จางฉีโม่คิ้วขมวดเล็กน้อย คนตระกูลจางพวกนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเกินไป
ตาร้อนที่ตอนนี้เค้กของบริษัทก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ และบอกตามตรง คนพวกนี้หลังจากนายท่านแบ่งหุ้นส่วนให้แล้ว ก็ไม่ได้ทำงานช่วยเหลือบริษัทแต่อย่างใด สนใจแต่นั่งเก็บเงินอย่างเดียว
พวกเขางานอะไรก็ไม่ทำ รู้สึกว่าตอนนี้บริษัทใหญ่โตแล้ว ก็ต้องได้ปันผลมากขึ้น
“ทุกท่าน เมื่อก่อนฉันเคยเพิ่มเงินปันผลให้ทุกคน โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ได้เงินปันผลบริษัทตามปกติ หรือว่านี่ยังไม่พอ?” จางฉีโม่ถามด้วยความสงสัย
“แค่นี้พอที่ไหน? ฉีโม่ เงินปันผลที่เธอเพิ่มให้พวกเรา เทียบกับขนาดโครงสร้างของบริษัทตอนนี้ได้อย่างไร?”
“นั่นสิ เมื่อก่อนเราจะจัดหาคนเข้ามาบริษัทก็ยังสะดวก ปรากฏพอเธอมาควบคุมบริษัท การตั้งค่าการ์ดทุกชนิด พวกเราคนตระกูลจางอยากจัดคนเข้ามาทำงานในบริษัทก็ไม่ได้ กลับกันกลับให้คนนอกเข้ามาหาเงินในบริษัท นี่ทำอะไรของเธอกัน? นี่ยังเป็นบริษัทของตระกูลจางอยู่ไหม?”
จางฉีโม่ถอนใจ เจ็บแปลบขึ้นมาในใจ ปนความโมโห ผู้อาวุโสตระกูลจางไร้เหตุผลสิ้นดี ชอบคิดว่าจางซื่อกรุ๊ปเป็นของตระกูลจาง การปันผลให้พวกเขาเป็นเรื่องชอบธรรม ทั้งหมดเพราะความเป็นอาวุโส ไร้ยางอายที่สุด!
เธอก็นึกไม่ถึงว่าคนตระกูลจางทั้งหมดจะมีท่าทางอย่างนี้
“เหอะๆ ฉีโม่อ่ะ ครอบครัวเธอตอนนี้ได้ยินความในใจของคนตระกูลจางแล้วสินะ?”
ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงหัวเราะเยือกเย็นดังเข้ามา เห็นแต่จางหงซวนกับจางหงจูนเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ทั้งสองคนนั่งลงที่นั่งตรงข้าม มองจางฉีโม่กับครอบครัวอย่างล้อเลียน
“พวกเธอครอบครัวตั้งใจฟังให้ดี นี่เป็นเสียงของผู้อาวุโสในตระกูลจาง! ดูสิหลังจากพวกเธอควบคุมจางซื่อกรุ๊ป แรงเกลียดชังของคนในตระกูลมากแค่ไหน? เห็นแต่พวกเธอทำแต่ความเละเทะ ทำให้ทุกคนไม่พอใจ!” จางหงจูนพูดจาสั่งสอน
“ฉะนั้นน่ะ ฉันก็จนปัญญา ต้องปลุกระดมตระกูลจาง ก่อตั้งเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปขึ้นใหม่” จางหงจูนพูดอย่างช้าๆ “ในฐานะที่ฉันเป็นใหญ่ในตระกูลจางรุ่นนี้ จะทนดูตระกูลจางพังลงในน้ำมือพวกเธอไม่ได้!”
จางฉีโม่ทำเสียง “หึ” พูดว่า “ลุงใหญ่ พวกคุณทำอย่างนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี จางซื่อกรุ๊ปพัฒนามาจนตอนนี้ ไม่ได้อาศัยคุณลุง อีกทั้ง ตระกูลจางก็ไม่ใช่เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป!”
ทั้งหมดนี้เป็นการเอาวงศ์ตระกูลมามัด บังคับเอาตระกูลจางมาผูกกับจางซื่อกรุ๊ป แล้วก็ใช้ความเป็นผู้อาวุโส อ้างคุณธรรมโจมตีกัน
ช่างน่าทุเรศจริงๆ นาทีนี้จางฉีโม่รู้สึกว่า คำว่าวงศ์ตระกูลทำให้รู้สึกน่ารังเกียจขยะแขยง
“ทุกคนจงฟัง ที่พูดมานี่เป็นคำพูดคนเหรอเปล่า? ตระกูลจางไม่ใช่เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป?ฉีโม่เอ้ย เธออย่าลืมสิว่าเธอก็แซ่จางนะ!” จางหงจูนพูดอย่างไม่เกรงใจ “เธอหาเงินกับคนนอก จนลืมไปว่าตัวเองแซ่อะไรแล้วสินะ?”
“เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปเป็นกิจการบรรพชนที่คุณท่านทิ้งเอาไว้ ไม่ใช่ให้เธอทำเละเทะ!” จางหงจูนพูดอย่างผู้มีคุณธรรม “ทางเธอดึงคนมาลงทุนพัฒนาเอง ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่า คำว่าเครื่องประดับจางซื่อนี้ ไม่อนุญาตให้เธอใช้อีกเด็ดขาด ฉันจะจัดงานแถลงข่าว ประกาศเรื่องนี้สู่ภายนอก!”
“เดี๋ยว พี่ใหญ่ จะเปิดแถลงข่าวเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยลนลานขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่ เมื่อก่อนฉีโม่กุมอำนาจ ก็เก็บตำแหน่งไว้ให้พวกพี่ใหญ่ในบริษัท นี่พวกพี่จะโค่นล้มกันเหรอ?”
“โค่นล้มอะไรกัน? ครอบครัวพวกเธอมันเป็นวายร้าย รู้ไหม? อาศัยคนภายนอกควบคุมบริษัท มารังแกผู้อาวุโสในตระกูลจาง แล้วก็ไม่ฟัง คนในตระกูลเคียดแค้นครอบครัวพวกเธอแค่ไหน?” จางหงซวนช่วยพูดอีกแรง น้ำเสียงประชด
จางหงซวนกับจางหงจูนท่าทางได้ใจ พวกเขามีชื่อที่ชอบธรรมในวงศ์ตระกูล ยืนอยู่บนศีลธรรมอันสูงส่ง อย่างไรสุดท้ายไม่ว่าจะก่อเรื่องอย่างไร ทิศทางไม่น่าจะส่งผลดีต่อจางฉีโม่ ต้องส่งผลต่อบริษัทพวกเขาอย่างรุนแรงแน่
ขอบอกว่า คนทั้งตระกูลจางไม่ชอบหน้าเธอจางฉีโม่ แล้วเธอยังจะฟ้องร้องกับคนทั้งตระกูลอีก? อย่างนี้คนภายนอกมองมา เธอจางฉีโม่จะเป็นคนดีได้อีกเหรอ?
“นี่…ฉีโม่ คราวนี้จะทำอย่างไรดี แบรนด์เครื่องประดับจางซื่อจะทิ้งไปไม่ได้นะ” ลู่หย่าฮุ่ยร้อนใจอยู่ข้างๆ เป็นกังวลอย่างมาก
“ฉัน……” จางฉีโม่รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าทำไมครอบครัวลุงใหญ่ถึงได้บีบคั้นกันอย่างนี้
เมื่อก่อนจางฉีโม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเงินทองไปสร้างแบรนด์เครื่องประดับจางจื่อ คราวนี้ถ้าเสียลิขสิทธิ์แบรนด์ไป ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย
นึกออกเลยว่า ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์มีชื่อเสียง อยู่ๆ ต้องเปลี่ยนแบรนด์ จะส่งผลกระทบมากมายแค่ไหน!